เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 7
บทที่ 7 ไม่น้อยแล้วใช่ไหม
พอคำพูดนี้พูดออกมาทุกคนก็มองไปที่อู๋ทงพร้อม ๆ กัน สีหน้าท่าทางอัศจรรย์มาก
เทพสงครามเป่ยเย่ เป็นตำนานที่ประเทศหลงหรือแม้กระทั่งทั้งโลกไม่สามารถเลียนแบบได้
แค่ลูกบุญธรรมของตระกูลเย่คนหนึ่ง จะเอามาเทียบกับเทพสงครามเป่ยเย่ได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่า ไม่ใช่ว่าลือกันว่าเทพสงครามเป่ยเย่อายุยังไม่ถึงสามสิบหรอกเหรอ? แต่ทำไมอู๋ทงถึงได้พูดว่าเพิ่งจะอายุสี่สิบกว่า ๆ ล่ะ?
เป็นไปได้ว่าเขาโชคดีได้เจอตัวจริงของเทพสงครามเป่ยเย่?
“อู๋ทง คุณเคยเจอเทพสงครามเป่ยเย่เหรอคะ?” เย่น่ามองอู๋ทงอย่างเฝ้ารอ ในใจเกิดความใฝ่ฝันอย่างไม่มีขีดจำกัด!
“แน่นอนว่าไม่ แต่ว่า…” อู๋ทงพอใจในการแสดงออกของเย่น่ามาก เสียงดังขึ้นหนึ่งระดับ “วันนี้เทพสงครามเป่ยเย่ให้เกียรติมาเยือนเมืองหรงเฉิง ท่านพ่อไร้ความสามารถ ไปต้อนรับกับผู้นำในเมือง ตอนนี้กำลังร่วมรับประทานมื้อค่ำกับเขาอยู่น่ะ!”
เฮือก!!!
เกิดเสียงสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง!
ขอเพียงได้พบเทพสงครามเป่ยเย่สักครั้งก็ถือว่าชาตินี้คุ้มแล้ว!
แต่ตระกูลอู๋ ตระกูลที่นับเป็นตระกูลระดับสองไม่ได้ตระกูลหนึ่ง อู๋เหวินฮุย เศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างฉับพลันนั่น นึกไม่ถึงว่าจะสามารถร่วมทานมื้อค่ำร่วมกับเทพสงครามเป่ยเย่ได้?
นี่แสดงถึงอะไร?
ขอเพียงเทพสงครามเป่ยเย่พอใจ ต้องการเพียงคำพูดประโยคหนึ่งก็สามารถทำให้ตระกูลอู๋กลายเป็นตระกูลระดับสองได้ หรือแม้แต่การเลื่อนขั้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้!
ทุกคนล้วนอิจฉาริษยา ล้วนแต่กำลังคิดว่าควรจะเอาอกเอาใจตระกูลอู๋อย่างไรดี
แม้แต่เย่จิ้งซานก็มีความคาดหวังเต็มใบหน้า!
ทุกคนล้วนหยุดสายตาไว้บนร่างของอู๋ทง
แต่กลับไม่เห็นสีหน้าแปลกประหลาดเป็นอย่างมากของเย่เทียนกับหลินขุย
โดยเฉพาะหลินขุยที่มองอู๋ทงเหมือนกับคนโง่เง่า
เย่เทียนสมัครเป็นทหารมาสิบปี แต่เป็นเทพสงครามเป่ยเย่มาตั้งแต่หกปีก่อน เขาตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่สนามรบเป่ยเย่ เป็นตอนที่เพิ่งจะได้รับการกล่าวขานว่าเป็นจอมพล!
หลังจากกวาดล้างความวุ่นวายที่ชายแดน เย่เทียนก็กลายเป็นจอมพลสี่ดาวที่อายุน้อยที่สุดของประเทศหลง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายทหารผู้บัญชาการสูงสุดของสนามรบเป่ยเย่ ในขณะเดียวกันก็ได้รับการต้อนรับจากผู้นำสูงสุดให้พูดคุยโดยไม่มีความลับ ยกย่องว่าเขามีปณิธานสูงเสียดฟ้า จากนั้นก็ถูกองค์กรกลยุทธ์การรบโลกพิจารณาและคัดเลือกเป็นหนึ่งในสิบมหาเทพสงครามของยุคใหม่
จนถึงตอนนี้ถึงได้มีสมญานามว่าเทพสงครามหลิงเทียน!
จนมาถึงปีนี้ เย่เทียนเพิ่งจะอายุแค่ยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น!
ชื่อที่แท้จริงของเย่เทียนรวมถึงรูปภาพไม่ได้เผยแพร่สู่ภายนอก ข้อมูลใดใดที่เกี่ยวกับเขาล้วนแต่ไม่มีอยู่ในสังคม!
ฐานะที่แท้จริงของเขา รู้เพียงแต่ว่าเป็นผู้นำทหารสูงสุดท่านั้น
ดังนั้นคนที่ได้เจอตัวจริงของเขามีไม่มาก
เพียงแต่ว่าเจ้าอู๋ทงนั่น ก่อนจะคุยโวโอ้อวดไม่รู้จักร่างแผนก่อนเอาเสียเลย?
ใช้สมญานามของเขามาเบียดเบียนเจ้าตัว?
ถ้าหากเจ้าหมอนี่ได้รู้ว่าคนที่เขาเสียดสีประชดประชันคือตัวเทพสงครามเป่ยเย่เอง เขาจะช็อกตายคาที่เลยไหม?
เย่เทียนหัวเราะ สี่สิบกว่า ๆ? กับเขา?
ฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?
“แกยังมีหน้ามาหัวเราะอยู่อีก?”
ตอนนี้ก็โดนอู๋ทงมองมาพอดี “เป็นคนน่ะ จนก็ไม่เป็นไร ทางที่ดีจะต้องมีใจแสวงหาความก้าวหน้า มิน่าล่ะถึงได้อยู่ในกองทัพต่อไปไม่ได้ สมควร!”
เย่เทียนส่ายศีรษะขำ ๆ ไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่าย
“ได้ยินมาว่าเมื่อกี้แกมอบแผ่นหยกหนึ่งคู่? ฉันอยากจะเห็นจริง ๆ เลยว่าแผ่นหยกมันเป็นยังไง!”
ความจริงไม่เป็นไปดังหวัง อู๋ทงเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน เขาจะไปเอาแผ่นหยกที่พ่อบ้านส่งให้กับเย่จิ้งซาน
“หยุดเดี๋ยวนี้ นี่เป็นของที่มอบให้คุณเย่ คุณไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!”
หลินขุยตวาดเสียงเย็น จะยับยั้งเอาไว้ แต่กลับเห็นเย่เทียนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“เขาอยากดูก็ให้เขาดูเถอะ”
หลินขุยอึ้งอยู่พักหนึ่ง ถอยไปอยู่อีกด้านอย่างเคารพ
“ถือว่าแกอยู่เป็น ถ้ามาโดนเสื้อผ้าฉันสกปรกละก็ เอาแกไปขายก็ยังชดใช้ไม่ได้” อู๋ทงจ้องหลินขุยตาเขม็ง ยื่นมือออกไปเอาแผ่นหยกมา
“จุ๊ ๆ ค่อยมีคุณค่าขึ้นมาหน่อย เพียงแต่ว่าดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่นี่ คงไม่ใช่ของก๊อปหรอกนะ?” เสียงของอู๋ทงไม่เบา พอดีกับการให้ทุกคนได้ยิน
ทุกคนมองไปที่แผ่นหยกพร้อมกัน สีหน้าครุ่นคิด
ที่หนึ่ง แผ่นหยกนั้นหายาก ถ้าอยากได้เป็นคู่ก็ยิ่งเป็นความยากในความยากอีกที
ที่สอง เย่เทียนดูไม่เหมือนคนที่สามารถซื้อแผ่นหยกได้ ของแบบนี้ถึงขั้นมีเงินก็ยังหาซื้อมาไม่ได้
“ของก๊อป? แผ่นหยกนี้เป็นของก๊อป?”
สีหน้าของเย่น่าอึ้ง มองเย่เทียนครั้งหนึ่ง รู้สึกผิดหวังเบา ๆ
“ความหายากและมูลค่าของแผ่นหยกนั้นไม่ต้องให้ผมพูดเยอะ แถมยังมีแค่ฝั่งเหนือที่มี คนที่เป็นทหาร เกรงว่าจะมีเพียงเทพสงครามเป่ยเย่เท่านั้นที่จะหามาได้”
อู๋ทงยิ่งพูดก็ยิ่งออกรส ในใจยิ่งรู้สึกลำพองมากขึ้น “เย่เทียน แกคงไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งกว่าเทพสงครามเป่ยเย่หรอกนะ? จะหลอกคนอื่นก็ต้องใช้สมองหน่อย”
พักหนึ่ง ทุกคนก็มองไปที่เย่เทียนอีกครั้ง
ล้วนแต่รอดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร
โดยเฉพาะเย่น่า ในความคิดของเธอ เย่เทียนไม่โกหกคนอื่นแน่ ๆ
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหยิบแผ่นหยกเก๊ขึ้นมาเพื่อรักษาหน้าตัวเอง
“เสี่ยวอู๋ จะมอบอะไรให้ก็เป็นอิสระของเขา ต่อให้แผ่นหยกนี่เป็นของจริง ตระกูลเย่ของฉันก็ไร้วาสนาจะได้เสวยสุข” หวังซิ่วเหลียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ เชิงดูถูก ความนัยไม่ต้องพูดก็กระจ่าง
“คุณน้า ดูท่านพูดเข้าสิ ถ้าไม่ใช่เพราะผมตาแหลมมองเขาออก ท่านกับคุณอาก็คงจะโดนหลอกไปแล้ว? ถ้าให้ผมพูดนะ คนแบบนี้ไล่ออกไปเสียดีกว่า” อู๋ทงพูดคล้อยตามหัวเราะหึ ๆ
หวังซิ่วเหลียนเบะปาก มองเย่จิ้งซานแวบหนึ่ง “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร คนที่มาเป็นแขก ดีเลวอย่างไรก็ต้องทานอาหารก่อนกลับใช่ไหมล่ะ?”
สองคนผลัดกันพูด พูดจนเย่เทียนกลายเป็นคนต่ำต้อยไปเลย
เย่เทียนส่ายศีรษะ ไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
เห้อ!
เย่น่าหลับตาลง ในใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ถ้าหากไม่ได้พบกับอู๋ทง ทั้งครอบครัวของเธอก็จะโดนหลอกแล้วใช่ไหม?
ทำแบบนี้มีผลดีกับเขายังไง? เพื่อแค่หน้าตาของตัวเองแค่นั้น?
คนอื่น ๆ ก็พากันส่ายศีรษะ นี่เป็นลูกบุญธรรมที่ไหนกัน? ไม่ต่างกับคนเนรคุณ…
“ฮ่า ๆ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?” พอหาเหตุผลได้ อู๋ทงก็กัดไม่ปล่อย ร้องเอะอะขึ้นมาเสียงดัง “เย่เทียน แกมอบของก๊อปให้คุณอาเย่ มีเจตนาอะไรกันแน่? ฉันจะยอมไว้หน้าแก แกไสหัวออกไปซะเถอะ”
“พอได้แล้ว!” ในที่สุดเย่จิ้งซานก็ทนไม่ไหวแล้ว พอเจ้าของงานวันเกิดเอ่ยปาก หวังซิ่วเหลียนกับอู๋ทงก็เงียบเป็นเป่าสากในทันที
“ของขวัญเป็นแค่น้ำใจเท่านั้น เสี่ยวเทียนให้อะไรฉันก็ชอบทั้งนั้น! เวลาไม่คอยท่า เริ่มงานเลี้ยงเถอะ!”
เจ้าของงานวันเกิดพูดแบบนี้แล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่สมควรพูดอะไรอีก
แต่พอเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้นแล้ว บรรยากาศก็ชวนอึดอัดขึ้นมา
โดยเฉพาะหวังซิ่วเหลียนที่จ้องมองเย่เทียนไม่หยุด ทำท่าทางราวกับว่ากินข้าวเสร็จก็จะไล่เขากลับไป
เย่น่าถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง “พี่เย่เทียนคะ พี่ปลดประจำการแล้วจริง ๆ เหรอคะ?”
“ใช่” เย่เทียนพยักหน้า ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร? ลูกผู้ชายคนหนึ่งไม่มีงานทำจะได้อย่างไร?”
เย่น่าขมวดคิ้ว ในใจผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง กลับยิ่งไม่หวังให้พี่เสี่ยวเทียนของเธอกลายเป็นแบบนี้
“จริงสิ!” ดวงตาสว่างวาบขึ้นฉับพลัน รีบหันไปมองที่อู๋ทง “อู๋ทง คุณรู้เห็นมามาก คนที่รู้จักก็ไม่น้อย จะช่วยหางานให้พี่เย่เทียนหน่อยได้ไหมคะ?”
“ช่วยเขา?” อู๋ทงชำเลืองมองเย่เทียนปราดหนึ่ง ไม่เต็มใจอยู่บ้าง
“เสี่ยวอู๋เอ๋ย ลองดูที่เหมาะกับเขาให้เขาหน่อยก็พอแล้วล่ะ เงื่อนไขไม่สูง ไม่หิวตายก็พอ!” หวังซิ่วเหลียนเอ่ยเรียบ ๆ อย่างถากถาง
“ใช่ค่ะ!” เย่น่ามองเขาอย่างขอร้องอ้อนวอน “เงินเดือนน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร มีเรื่องให้ทำก็พอ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป อาศัยฝีมือกับมนุษยสัมพันธ์ของคุณ น่าจะไม่ยากนะคะ?”
โดนเย่น่าชมขนาดนี้ อู๋ทงก็แสยะยิ้ม เขาแทบจะลอยขึ้นฟ้าแล้ว
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” อู๋ทงยืดหลังตรง มองไปที่หลินขุยก่อน “อืม ร่างกายของแกไม่เลวเลยนะ ไปเป็นหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยกับฉันได้”
พูดจบก็ไปมองทางเย่เทียนด้วยสีหน้าใคร่ครวญ “ส่วนเขา ดูจากแขนเล็ก ๆ ขาลีบ ๆ นั่น เห็นแก่หน้าของเสี่ยวน่า จะยอมให้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยก็ได้ ส่วนเงินเดือน… เดือนละห้าพัน น่าจะไม่น้อยนะ?”