เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 9
บทที่ 9 คนดวงซวย
“เย่จิ้งซาน ฉันจะถามแกครั้งสุดท้าย แกจะขายหรือไม่ขาย!”
หูเหยียนมองข้ามเย่เทียน ถามคำขาดกับเย่จิ้งซาน “ถ้าหากขายตระกูลเย่ก็ยังจะเป็นตระกูลเย่! ถ้าหากไม่ขาย งานเลี้ยงวันเกิดวันนี้ก็จะกลายเป็นงานศพไปจริง ๆ แล้ว!”
“ยังคิดจะจัดงานวันเกิดประท้วงตระกูลหูของฉัน? ไร้เดียงสา! ให้เวลาแกสิบนาที ไม่อย่างนั้นก็รับผิดชอบผลลัพธ์เอาเอง”
หูเหยียนดูแลตัวเองให้นั่งลง ดื่มน้ำชาไปหนึ่งอึก ท่าทางสูงส่ง!
“แก แกอย่ามารังแกกันเกินไป! แคก ๆ…” เย่จิ้งซานหน้าเขียว ในใจเดือดดาลอย่างถึงที่สุด กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง
“คุณอาครับ สุขภาพสำคัญนะครับ!” เย่เทียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตบหลังของเย่จิ้งซาน บนใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดใด
“นี่ นี่จะทำอย่างไรดี”
หวังซิ่วเหลี่ยนร้องไห้ราวกับมีใครตาย เธอโน้มน้าวอย่างต่อเนื่องว่าให้ยอมมอบภูเขาซิ่วเสว่ไป แต่กลับถูกเย่จิ้งซานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แล้วไงล่ะทีนี้ ตระกูลหูมาถึงบ้าน ยิ่งทำเรื่องให้ใหญ่โตขึ้นไปอีก
ตระกูลเย่จะต้านทานไว้ได้อย่างไร?
เหลือบตามอง เห็นอู๋ทงที่อยู่ข้าง ๆ เย่น่า สายตาก็สว่างวาบขึ้นฉับพลัน
“เสี่ยวน่า หรือไม่เธอไปขอร้องเสี่ยวอู๋ ให้เสี่ยวอู๋ช่วยพูดหน่อย?”
เย่น่าสีหน้าแข็งค้าง “แม่คะ แม่คิดอะไรอยู่น่ะ ตระกูลหูใหญ่กว่าตระกูลอู๋ อู๋ทงพูดไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
หวังซิ่วเหลียนหัวเราะเจื่อน ๆ ออกมา “แน่นอนว่าฉันรู้ แต่นี่ไม่ใช่ไม่มีวิธีแล้วหรอกเหรอ? เสี่ยวอู๋ไม่ได้พูดไว้หรอกเหรอว่าพ่อของเขามีความสัมพันธ์กับเทพสงครามเป่ยเย่นั่น? ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์นะ?”
“แต่ว่า…”
“เสี่ยวน่า แค่ขอให้เสี่ยวอู๋ช่วยพูดอะไรสักหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย หรือว่าเธอจะมองดูพ่อตัวเองถูกรังแกจนตายตาปริบ ๆ?”
เย่น่ายังอยากจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินคำนี้ก็หมดอคติในทันที
“ก็ได้ค่ะ! หนูจะลองดู!”
เธอกัดฟันอย่างช่วยไม่ได้ รีบไปอยู่ด้านหน้าอู๋ทงทันที “พี่อู๋คะ ฉันมีเรื่องอยากจะขอให้พี่ช่วยค่ะ”
อู๋ทงอึ้ง ต่อมาก็คิดอะไรได้ ร่างกายก็สั่นขึ้นมาฉับพลัน
“คุณ คุณคงจะไม่ได้คิดจะ…”
เย่น่าพยักหน้า “พี่อู๋คะ ฉันรู้ค่ะว่านี่เป็นการบีบบังคับให้พี่ลำบากใจ แต่ว่ามีแค่พี่เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตพ่อของฉันได้ ขอร้องล่ะ ขอความเมตตาให้พ่อฉันหน่อยนะคะ!”
อู๋ทงกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก ขาอ่อนอยู่นิดหนึ่ง
ไปขอความเมตตากับหูเหยียน? นี่มันต่างอะไรกับการหาเรื่องตาย?
อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นอู๋เหวินฮุยพ่อของเขาก็ต้องไม่กล้าแน่ ๆ
“เย่น่าครับ เรื่องนี้ผม…”
“พี่อู๋ ขอเพียงพี่ช่วยฉันได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรฉันก็จะตอบตกลงพี่ค่ะ”
เย่หน้าก้มศีรษะ สีหน้ามืดครึ้ม ในใจกลับขมฝาดกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง
แต่เพื่อพ่อแล้ว เพื่อตระกูลเย่แล้ว เธอจำเป็นต้องทำแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้น…” อู๋ทงมองขึ้นลงพิจารณาเย่น่า มีความคิดชั่วร้ายขึ้นมาในใจ
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่ว่าคุณต้องรักษาคำพูดนะ!”
เย่น่านิ่งค้างไปสักพัก กัดฟัน ใช้พลังทั้งร่างพยักหน้า
“ตกลงค่ะ!”
อู๋ทงยินดีปรีดา ตัดสินใจลองใจดีสู้เสือเพื่อสาวงาม!
ต่อให้หูเหยียนจะอวดดีกว่านี้อย่างไร เขาก็เป็นแค่พ่อบ้านคนหนึ่ง บางทีอาจจะไว้หน้าเขาเพราะเห็นแก่พ่อของเขาก็เป็นได้?
คิดมาถึงตรงนี้อู๋ทงก็มีความมั่นใจขึ้นมานิดหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง เดินเข้าไปทางหูเหยียน
เห็นแบบนี้แล้วหวังซิ่วเหลียนก็ผ่อนลมหายใจออกมาทีหนึ่ง
ตอนนี้คนที่คาดหวังได้มีแค่อู๋ทงเท่านั้น
ส่วนเย่เทียน? ก็แค่สวะคนหนึ่งเท่านั้น!
“พ่อ พ่อบ้านหู ผม…” อู๋ทงทำใจดีสู้เสือมาอยู่ตรงหน้าหูเหยียน ยังหวาดกลัวอยู่นิดหน่อย
“แกเป็นใคร?” หูเหยียนปรายสายตามองเขาอย่างเย็นชา น้ำเสียงหยิ่งยโส
อู๋ทงยิ้มอย่างอึดอัดขัดเขิน “ท่านจำผมไม่ได้เหรอครับ? ผมคืออู๋ทงไง เดือนที่แล้วยังเคยได้ทานอาหารร่วมกับท่านนะครับ”
“อู๋ทง?” หูเหยียนคิ้วกระตุก “ลูกชายของเจ้าอู๋เหวินฮุยนั่นน่ะเหรอ?”
อู๋ทงเหงื่อออกเต็มหน้า ดีร้ายอย่างไรอู๋เหวินฮุยพ่อของเขาก็เป็นผู้นำตระกูลอู๋ กลายเป็นเจ้านั่นสำหรับเขาเสียแล้ว?”
“ครับ ๆ ๆ อู๋เหวินฮุยเป็นพ่อของผมครับ! ท่านลองดูสิ เรื่องวันนี้ เห็นแก่หน้าพ่อของผม จะสามารถ…”
“ไม่ได้!” หูเหยียนมองเขาอย่างเยือกเย็นครั้งหนึ่ง แววตาดูถูก “แกคิดว่าแกเป็นใคร แกมีสิทธิ์พูดอะไรที่นี่ด้วยเหรอ?”
ประโยคเดียวก็ทำให้อู๋ทงหลั่งเหงื่อเย็นออกมาแล้ว
“แกไม่ลองไปสืบดูเสียบ้างล่ะ อย่าว่าแต่แกเลย ต่อให้พ่อแกมาด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขา”
โดนหูเหยียนตำหนิครั้งเดียว อู๋ทงก็กลัวสุดขีด ตัวสั่นไปทั้งตัว
อย่างไรก็ตาม ตระกูลอู๋เมื่อเทียบกับตระกูลหูแล้วยังอ่อนแอเกินไป ไม่มีกำลัง ทำได้เพียงโดนทำร้าย
หูเหยียนลุกขึ้นยืน มองเขาอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “ไปยืนอยู่เฉย ๆ อีกด้าน ถ้าหากยังกล้าพูดอะไรมากกว่านี้อีกละก็ ฉันจะจัดการกับแกด้วย”
“ครับ ๆ ๆ!”
อู๋ทงตัวสั่นไปทั้งตัว แม้แต่เหงื่อเย็น ๆ ก็ยังไม่กล้าเช็ด สีหน้าทั้งแต่ทั้งซีดขาว
กล้าเพียงยืนก้มหน้าอยู่อีกด้าน ไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย!
เฮือก!
ทุกคนสูดลมหายใจเข้าไป!
ตระกูลหูนี่อวดดีเสียจริง แม้แต่พ่อบ้านคนหนึ่งก็ยังปากกล้าขนาดนี้
“เย่จิ้งซาน ดูเหมือนแกจะไม่ยอมประนีประนอมนะ”
หูเหยียนมองไปที่เย่จิ้งซาน หมดความอดทนลงแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ”
น้ำเสียงของหูเหยียนเยือกเย็น จากนั้นก็โบกมือใหญ่ ๆ
“ที่นี่เหมือนที่ที่จะจัดงานศพที่ไหนกัน? พวกแกตกแต่งให้ผู้นำตระกูลเย่หน่อย!”
“ครับ!”
ลูกสมุนสี่คนตะโกนเสียงดังพร้อมกัน ไม่พูดอะไรอีก ทำลายงานเลี้ยงในครั้งเดียว
ไม่มีแขกคนไหนเลยที่จะไม่ตกตะลึง รีบถอยหลังไปติด ๆ กลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
โครมคราม!
พอทำลายข้าวของอาหารที่ตั้งใจเตรียมเอาไว้อย่างตั้งอกตั้งใจถูกตีคว่ำ สาดน้ำไปทั่วทั้งพื้น
แม้แต่โคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่บนกำแพงก็ถูกฉุดลงมา ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ตระกูลหู สมควรตาย!”
เย่จิ้งซานกำหมัดแน่น สีหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นไม่หยุด
สามารถจินตนาการได้ว่าในตอนนี้ในใจของเขาเดือดดาลเข้มข้นขนาดไหน
“แม่คะ นี่ นี่เราควรจะทำยังไงดีคะ?”
เย่น่าร้อนรนจนกระทืบเท้าไม่หยุด หวังพึ่งอู๋ทงไม่ได้ จบสิ้นแล้ว
“เป็นเวรกรรม เป็นเวรกรรม!” หวังซิ่วเหลียนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อละก็ งานเลี้ยงวันเกิดนี่จะต้องกลายเป็นงานศพจริง ๆ แน่
“พ่อบ้านใหญ่หู เหล่าเย่ตระกูลเรารู้ความผิดแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ปล่อยพวกเราไปเถอะ”
หวังซิ่วเหลียนทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจริง ๆ เริ่มยกธงขาวให้หูเหยียน
“ตอนนี้รู้ความผิดแล้ว? สายไปแล้ว!”
หูเหยียนยิ้มเย็น ไม่เคลื่อนไหวใดใดโดยสิ้นเชิง
“ทำลายให้หมด ให้เขาได้รู้จุดจบของการล่วงเกินตระกูลหูของพวกเรา!”
สิ้นเสียง ลูกสมุนสี่คนก็ยิ่งทุ่มแรงเข้าไปอีก
อย่าว่าแต่งานเลี้ยงเลย แม้แต่ของขวัญอวยพรวันเกิดที่ได้รับก็ยากที่จะหนีไปจากกรงเล็บของปีศาจ
ของขวัญทุกประเภทแตกพังอยู่เต็มพื้น คนที่มองเห็นหัวใจกระตุกวูบ
“ขอร้องพวกคุณล่ะ อย่าทำลายเลย นี่เป็นการทำบาปทำกรรมนะ!”
เห็นตระกูลเย่กำลังจะกลายเป็นลานขยะ หวังซิ่วเหลียนก็รู้สึกสิ้นหวังอยู่ในใจ กดฟันคุกเข่าไปทางหูเหยียน
“พ่อบ้านหู พรุ่งนี้พวกเราจะเอาภูเขาซิ่วเสว่ออกมาให้ ขอร้องล่ะ พวกคุณปล่อยพวกเราไปเถอะ ขอโขกหัวให้แล้ว”
หวังซิ่วเหลียนทุกข์ทรมานขึ้นมา ภายใต้สายตาเดือดดาล หมดความอดทนของเย่น่าและเย่จิ้งซาน เห็นแล้วก็จะคุกเข่าลงไป แต่กลับโดนประคองไว้ในทันที
“เย่เทียน แกทำอะไร?”
เห็นเป็นเย่เทียน หวังซิ่วเหลียนก็โมโหจากหลาย ๆ เหตุผล
“แก สบายอกสบายใจอะไรกัน? ยังไม่พอใจที่ตระกูลเย่ของฉันน่าสมเพชไม่พอเหรอ? ถ้าหากไม่ใช่เพราะแม่ของแก พวกเราจะมาถึงขั้นนี้เหรอ? พวกแกสองแม่ลูกมันเป็นตัวซวย เลี้ยงพวกแกไว้ ตระกูลเย่ของฉันก็ถือว่าซวยครั้งใหญ่แล้ว”
ภายใต้ความเศร้าโศกและความเคียดแค้น หวังซิ่วเหลียนก็เอาความในใจที่เก็บกดเอาไว้เต็มสมองพูดออกมา