เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 110
บทที่ 110 ฉีหรูเสวี่ยไปจากบ้านตระกูลเย่แล้ว
Ink Stone_Fantasy
“เมื่อกี้ไม่ใช่ว่านายยุ่งมาก ไม่อยากจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่ไปปอีก? ฉันยุ่งนะ!” หยางอี้พูด มองเย่เทียนเฉิน จงใจทำท่าทางอยากให้เขารีบๆ ไปซะ
เย่เทียนเฉินรู้สึกหมดคำพูดเหลือเกิน จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่า ลูกพี่หยางอี้ที่สง่าผ่าเผยคนนี้ บทจะหน้าด้านขึ้นมาจะร้ายกาจกว่าตนเองสิบเท่า ขิงยิงแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ
“เมื่อกี้ผมรีบเพราะผมปวดฉี่หรอก ตอนนี้อั้ดไว้แล้ว ไม่รีบแล้วครับ เลื่อนขั้นให้พ่อผมสามขั้นเป็นไง?” เย่เทียนเฉินพยายามสุดความสามารถเพื่อความสุขของพ่อ หยางอี้เป็นคนใหญ่คนโต ถ้าหากเขาพูดสักประโยค การที่เย่หงจะเลื่อนขั้นต่อๆ กันสามก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เรื่องบางเรื่องเย่เทียนเฉินสามารถทำเองได้ เรื่องบางเรื่องต้องให้ผู้อื่นช่วย ดังเช่นเรื่องการเลื่อนตำแหน่งทางราชการของพ่อของตน ต้องให้หยางอี้เอ่ยปากจึงจะทำได้ แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคนนี้จะแกล้งเขาเล่น ไม่ยอมรับปากง่ายๆ แน่
“ปีนี้พ่อของนายก็จะเข้ามหาวิทยาลัยพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ถึงตอนนั้นก็มีหวังว่าจะได้เข้ามารับราชการในเมือง ในส่วนนี้นายวางใจได้ ชางหลางรับปากเงื่อนไขนี้ไปแล้ว แล้วก็ทำได้แล้วด้วย!” หยางอี้กล่าวยิ้มๆ
“ผมพูดถึงเรื่องเลื่อนขั้นให้พ่อของผมสามขั้น…” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างอับจนคำพูด
“เรื่องนี้น่ะเหรอ ต้องรอให้ฉันตรวจสอบดูก่อนว่าที่นายพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วค่อยตบรางวัลตามผลงาน…”
“ไม่สนุก ไม่สนุกเลย ไปล่ะ…”
เย่เทียนเฉินหิ้วกระเป๋าของตนเดินมุ่งหน้าไปยังประตู หยางอี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินช่างมีความพิเศษจริงๆ นิสัยของคนคนนี้เหมาะแก่การทำเรื่องต่างๆ ที่บุคลากรในระบบของประเทศไม่สามารถทำได้ ที่สำคัญก็คือเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศ ฝีมือก็แข็งแกร่ง ยากมากที่ประเทศจีนจะมีผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เกิดขึ้น ต่อไปนี้จะต้องใช้เขาให้ดีดี
“จริงสิ เจ้าหนูวันๆ หัดก่อเรื่องในเมืองหลวงให้น้อยๆ หน่อยนะ ได้ข่าวว่าอีกไม่กี่วันฉีหรูเสวี่ยก็จะหมั้นกับฉินเหิงแล้ว…” หยางคิดนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้จึงกล่าวเตือนเย่เทียนเฉินที่กำลังเปิดประตู
“อย่ายุ่งกับผม!”
เย่เทียนเฉินกล่าวสี่คำนี้ทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของหยางอี้ เมื่อเห็นชางหลางด้านล่างตึก ก็เดินไปข้างนอกด้วยความไม่พอใจ โดยที่ไม่ได้พูดเรื่องที่จะสู้กับชางหลางขึ้นมาเลย ตอนนี้จิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉีหรูเสวี่ย ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญมาก ตนเองไม่ได้มีความรู้สึกดีๆต่อเธอเลยสักนิด
เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าฉีหรูเสวี่ยต้องหมั้นกับฉินเหิง เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยอาศัยอยู่ที่บ้านของตน ได้ยินเธอพูดกับหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวินว่าเธอต้องการไล่ตามความสุขของตนเอง ไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างตระกูล มีความฝันและเป้าหมายเป็นของตัวเอง ในสังคมปัจจุบันยากที่จะหาผู้หญิงเช่นนี้ได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินค่อนข้างที่จะนับถือความกล้าหาญของฉีหรูเสวี่ยในระดับหนึ่ง
“ไอ้หนูไม่อยากสู้กับฉันเหรอ? พวกเราไปสนามฝึกกันตอนนี้เลยเป็นไง? คนอย่างฉันคำไหนคำนั้น” ชางหลางเอ่ย มองไปยังเย่เทียนเฉิน
“ไม่ว่าง ผมยุ่งมาก คุณไปเล่นคนเดียวเถอะ ผมกลับบ้านก่อนล่ะ!” เย่เทียนเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ชางหลางได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขารู้ว่าคนคนนี้อยากจะสู้กับตนมาตลอด แล้วครั้งนี้ชางหลางเองก็จริงจังมาก ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉินสักหน่อย ที่ไหนได้ไอ้หนูนี่กลับไม่สนใจ ทำให้ชางหลางรู้สึกสงสัยจริงๆ
“กลับบ้าน งั้นการต่อสู้ของพวกเราจะต้องรอถึงเมื่อไร? หรือว่านายกลัวแพ้?” ชางหลางจงใจพูดจายั่วยุเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินมองชางหลาง สรุปก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ในใจของตนรู้สึกไม่ดี คิดเพียงอยากจะกลับบ้านเร็วๆ ไม่มีความปราถนาที่จะสู้กับชางหลางเลย
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินหิ้วกระเป๋าเป้เดินมุ่งหน้าตรงไป ชางหลางกอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ไอ้หนูนี่กินยากินยาผิดมารึไง? ไม่นึกเลยว่าจะไม่อยากสู้กับฉันแล้ว?”
เย่เทียนเฉินโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่ด้านนอก แล้วตรงกลับบ้าน หาวออกมาครั้งหนึ่ง นั่งสูบบุหรี่อยู่บนที่นั่งของรถแท็กซี่ ในหัวปรากฏภาพของฉีหรูเสวี่ย ตั้งแต่ที่ได้พบกับผู้หญิงคนนี้จนถึงตอนที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของตนและสร้างวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ทั้งสองไม่ถูกกัน ไม่คุ้นเคยกับอีกฝ่าย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏอยู่ในหัวของเย่เทียนเฉินไม่ขาดสาย
“ยัยบ๊องเอ๊ย ไม่มีความสามารถแล้วยังจะมาไล่ตามความสุขอะไรนั่นของตัวเองอีก เห้อ…” เย่เทียนเฉินเอ่ยแล้วทอดถอนใจ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เทียนเฉินมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เขาหิ้วกระเป๋าเป้ของตน เปิดประตูออกด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเรื่องของฉีหรูเสวี่ยจะทำให้เขารู้สึกรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เจอหน้าแม่และน้องสาตั้งหลายวัน จึงรู้สึกคิดถึงอยู่ในใจ
“แม่ น้อง ผมกลับมาแล้ว!” เย่เทียนเฉินตะโกน
เย่เทียนเฉินเดินเข้าประตูบ้านถึงได้พบว่าในคฤหาสน์ไม่มีคน ไม่รู้ว่าน้องและแม่ไปไหน วันนี้เป็นวันเสาร์ อาจจะออกไปช้อปปิ้งก็เป็นได้ เย่เทียนเฉินโยนกระเป๋าเป้ไว้บนโซฟา หยิบโคล่ากระเป๋าหนึ่งออกมาจากตู้เย็น ดื่มอึกๆ อักๆ เข้าไปหลายคำ แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาแม่
“ฮัลโหล แม่อยู่ไหนกันครับ? ผมกลับมาแล้ว!” เมื่อต่อสายติดเย่เทียนเฉินก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“แม่กับน้องสาวลูกกำลังช้อปปิ้งกันอยู่ อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว ถ้าลูกหิว ในตู้เย็นชั้นล่างสุดมีของกินอยู่ ลูกจัดการเองเลยนะ!”
เมื่อวางสายไป เย่เทียนเฉินก็หิวนิดหน่อยจริงๆ ตู้เย็นบ้านเขามีสามชั้น แม่บอกว่าของกินอยู่ชั้นล่างสุด น่าจะเป็นช่องแช่แข็ง จึงดึงช่องแช่แข็งออกมาดู เห็นว่าด้านในมีกุ้งมังกรตัวใหญ่ตัวหนึ่งแช่แข็งอยู่ ซึ่งยังไม่ถูกใครกินไปเลยสักนิด ราวกับอยู่ข้างล่างมาโดยตลอด
เย่เทียนเฉินหยิบกุ้งมังกรออกมา หุงข้าว นำกุ้งมังกรไปอุ่นในไมโครเวฟแล้วกินเข้าไป บอกได้เลยว่ารสชาติกุ้งมังกรตัวนี้อร่อยมาก เย่เทียนเฉินกินข้าวไปห้าชามติด แล้วค่อยเรอออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนโซฟาแล้วหลับไปโดยไม่ได้เก็บถ้วยเก็บตะเกียบ การเดินทางไปประเทศMในครั้งนี้เหนื่อยอยู่บ้างจริงๆ ตั้งแต่เฮลิคอปเตอร์ถึงวอชิงตันก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยสักนิด โดยเฉพาะตอนที่สู้กับโทมัส ทำให้เย่เทียนเฉินสูญเสียพลังพิเศษไปเยอะมาก
ครั้งนี้เย่เทียนเฉินใช้เคล็ดวิชาพลังพิเศษที่ไม่เหมือนกันสองสายซึ่งใช้พลังเยอะมาก แรกเริ่มใช้เคล็ดวิชาพลังสายอสุนี จนเมื่อโทมัสใช้เคล็ดวิชามังกรวารีออกมา เขาจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงใช้เคล็ดวิชาสายพสุธาเข้าต่อต้าน มิฉะนั้นจะต้องตายเป็นแน่
เย่เทียนเฉินหลับไปโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เมื่อเขาลืมตาตื่น แม่กับน้องก็กลับมาแล้ว
“พี่ พี่ตื่นแล้วเหรอ จะงกไปรึเปล่า? ซื้อสร้อยเพชรมาให้น้องสาวแค่อันเดียวเนี่ยนะ?” เย่เชี่ยนเหวินชี้ไม้ชี้มือไปยังสร้อยเพชรบริเวณลำคออย่างลำพองใจ เอ่ยขึ้นแล้วมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจ
“โลภจริง นี่มันสร้อยเพชรเลยนะ ดูดีๆ ราคาตั้งห้าหมื่นกว่า” เย่เทียนเฉินรู้สึกไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง เขาเอ่ยขึ้น มองเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่จริงน่า? ห้าหมื่นกว่าเหรอ? ฮี่ๆ พี่ชาย พี่ดีกับหนูมากจริงๆ!” เย่เชี่ยนเหวินได้ยินพี่ชายบอกราคาสร้อยเพชรก็พลันเปลี่ยนสีหน้าทันที เธอพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
เย่เทียนเฉินยืนขึ้น บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง มือซ้ายหยิบกำไลข้อมือเลี่ยมเพชรคู่หนึ่งไว้ในมือ มือขวาเคาะศีรษะเย่เชี่ยนเหวินเบาๆแล้วพูดว่า “ไปไกลๆ เลยยัยเด็กเห็นแก่เงิน ว่าแต่แม่อยู่ไหน?”
“พี่ยังจะถามอีกนะ กินข้าวเสร็จแล้วจานก็ไม่ล้าง แม่กำลังล้างจานอยู่ในครัว” เย่เชี่ยนเหวินทำปากยู่แล้วเอ่ยขึ้น
เย่เทียนเฉินหยิบกำไลข้อมือเลี่ยมเพชรเดินเข้าไปในครัว เห็นหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่กำลังล้างจานอยู่ เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดว่า “แม่ครับ ดูสิครับว่าคราวนี้ลูกซื้ออะไรกลับมาให้แม่?””
หลัวเยี่ยนเห็นกำไลเพชรในมือลูกชายก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่เธอมีเรื่องในใจ คิดอยู่ตลอดว่าควรจะทำอย่างไรดี ตกลงว่าควรจะบอกลูกชายเช่นนี้หรือไม่
“แม่ครับ แม่เป็นอะไร? มีเรื่องไม่สบายใจเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยยิ้มๆ
“ใช่แล้ว ลูก เรื่องการหมั้นของหรูเสวี่ยกับฉินเหิงลูกได้ข่าวรึยัง?” หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉิน แล้วจึงเปิดปากถาม
“ครับ ได้ยินมาแล้วครับ เธอหมั้นกับฉินเหิงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ตระกูลฉินมีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่ หากเกี่ยวดองกับตระกูลไฉีอย่างแน่นแฟ้นได้ก็ไม่เลวเลยนะครับ!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด
“ลูก ลูกก็รู้ว่าหรูเสวี่ยไม่อยากแต่งให้กับฉินเหิง เธอไม่ได้ชอบฉินเหิง แม่รู้ว่าเรื่องนี้แม่ไม่ควรพูดอะไรมาก แต่ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แม่คิดว่าหรูเสวี่ยเธอน่าสงสาร ผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ ไม่ได้พบความสุขที่ตนเองต้องการ แม่เสียใจจริงๆ” หลัวเยี่ยนเอ่ยด้วยท่าทีโศกเศร้า
เย่เทียนเฉินเองก็เข้าใจดี วันเวลาที่ฉีหรูเสวี่ยเข้ามาอยู่ในบ้านนั้นเธอเข้ากับแม่และน้องสาวได้เป็นอย่างดี ทุกคนล้วนมีความสุข แล้วหลัวเยี่ยนก็ชอบใจฉีหรูเสวี่ยมาตลอด ตามที่เธอพูด ยุคสมัยนี้ หากต้องการหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งสวย ทั้งสามารถออกหน้ารับแขกและลงครัวทำอาหารได้นั้น ช่างยากเหลือเกิน ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“แม่ครับ แม่คงไม่ได้คิดจะให้ลูกชายไปทำลายงานแต่งหรอกนะครับ? ทำแบบนี้มันจะวุ่นวายเกินไปสักหน่อย ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ของพวกเรา ตระกูลฉีและตระกูลเหิง จะต้องอับอายขายหน้ากันหมด ไม่ดีหรอกครับ…” เย่เทียนเฉินคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบเปิดปากพูด
“ต่อให้เป็นเพื่อนธรรมดา แม่ก็ไม่อยากเห็นหรูเสวี่ยกระโดดเข้าไปในกองไฟ อยากจะช่วยเธอ น่าเสียดายที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้ วันที่เธอไป กอดแม่แล้วร้องไห้อยู่นาน เหมือนกับลูกสาวของแม่ที่กำลังจะแต่งงานออกไปเลย แม่เสียใจจริงๆ ลูกคิดว่าคนตระกูลฉีพวกนั้นจะคิดยังไง ต่อให้ใช้การแต่งงานของลูกๆ เพื่อยกระดับอิทธิพลครอบครัว ก็คงไม่ทำเกินไปหรอกใช่ไหม? หรูเสวี่ยเป็นผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ ควรจะมีความสุขเป็นของตัวเอง” หลัวเยี่ยนเอ่ยแล้วเดินออกจากห้องครัว รู้สึกเสียใจกับฉีหรูเสวี่ยจริงๆ
เห็นท่าทางเสียใจของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี อย่างไรเสียเขากับฉีหรูเสวี่ยก็ชอบทะเลาะกัน ที่คิดไม่ถึงก็คือ ฉีหรูเสวี่ยมาอาศัยที่บ้านของตนไม่กี่วัน ก็ถึงกับมีความผูกพันธ์อย่างลึกล้ำกับแม่และน้องขนาดนี้แล้ว หรือผู้หญิงคนนี้จะมีเสน่ห์เฉพาะตัวมากจริงๆ?
………………………………….