เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 126
เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ – บทที่ 126 หนึ่งในสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ
เย่เทียนเฉินเป็นเพียงวัยรุ่นอายุยี่สิบปีเท่านั้น หลงจากที่ปลดประจำการจากกองทัพและกลับมาที่เมือง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเดิม เขาไม่ใช่คุณชายเสเพลเย่เทียนเฉินคนนั้นอีกต่อไปแล้ว และไม่ใช่ตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง เขาในตอนนี้ไม่หาเรื่องใคร แต่ใครก็หาเรื่องเขาไม่ได้
ตอนที่เขาขี้เล่นขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนอับจนคำพูด เหมือนพวกอันธพาลอะไรเทือกนั้น พอจริงจังขึ้นมา พูดจาเผด็จการ การกระทำเด็ดขาด กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ขนาดหยางอี้ยังสั่นสะท้าน
หยางอี้มองเย่เทียนเฉิน เขามีงานที่จะให้เย่เทียนเฉินทำจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่กล้าส่งชางหลางไปรับเขามายังที่ทำงานของตนหลังจากที่อีกฝ่ายเพิ่งก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นมาหมาดๆ ซึ่งเป็นการบอกคนอื่นกลายๆ ว่าเขาหยางอี้คุ้มครองเย่เทียนเฉินอยู่
ต้องทราบว่าครั้งนี้เย่เทียนเฉินบุกเข้าไปก่อเรื่องที่ตระกูลฉินอย่างใหญ่โต ทำให้ฉินอี้และฉินเหิงตาย นี่เป็นเรื่องที่สามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งประเทศจีนได้เลย ต่อให้หยางอี้ที่เป็นระดับบิ๊กก็ยังไม่กล้า ไม่อาจก่อเรื่องติดๆ กันในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้ เดิมทีก็ไม่มีใครที่ทำแบบนี้อยู่แล้วเพราะเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลฉิน และเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนสนิทของฉินอี้ แม้ตำแหน่งของหยางอี้จะสูง แต่ก็ไม่อาจรับความเสี่ยงได้ เนื่องจากความผิดที่เย่เทียนเฉินก่อในครั้งนี้ใหญ่คับฟ้าจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะภารกิจค่อนข้างเร่งด่วน หยางอี้คงไม่ทำแบบนี้ ที่สำคัญก็คือเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วมีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่เหมาะสมจะทำภารกิจนี้ที่สุด และยังไม่ดึงดูดความสงสัยของคนอื่นสักนิด
“ฉันรู้แล้วว่านายพิเศษ ชางหลางเองก็บอกว่านายแข็งแกร่งมาก ได้ยินมาว่านายได้รับฉายาใหม่ที่ประเทศM ซะด้วย ปีศาจตะวันออกใช่ไหม?”
“ผู้เฒ่าครับ ดูแล้วคุณคงเชื่อคำพูดของผมทุกอย่าง ส่งคนไปพิสูจน์ความจริงและตรวจสอบการกระทุกอย่างของผมที่ประเทศM แล้ว รู้ว่าผมทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมากแค่ไหน เลื่อนขั้นให้พอผมสามขั้นแล้วรึยังครับ?” เย่เทียนเฉินยิ้ม กล่าวเรียกร้องอย่างไร้ยางอาย
“นายยังอยากช่วยพ่อของนายเลื่อนตำแหน่งราชการอีกหรือ? ครั้งนี้ก่อเรื่องตระกูลฉินจนใหญ่โต ไม่พัวพันไปถึงพ่อของนายจนสูญเสียตำแหน่งก็ไม่เลวแล้ว อย่าคิดให้มันมากเกินไป!” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจพลางเอ่ยปากพูด
“งั้นก็ช่างเถอะ พวกเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว บายๆ!”
เย่เทียนเฉินเป็นคนที่มีเอกลักษณ์มากจริงๆ ไม่เห็นว่าหยางอี้สำคัญเลยสักนิด ในสายตาของเขา หยางอี้ก็เหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง แน่นอนว่านับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ไม่เลวเลย ส่วนเรื่องตำแหน่งราชการอะไรนั่น เย่เทียนเฉินไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เนื่องจากชาติก่อนของเขา ได้ไปถึงขั้นเกิดวิฤตการณ์ไปทั่วทั้งโลกแล้ว ไม่มีประเทศชาติ ไม่มีกองทัพ มีเพียงผู้แข็งแกร่งถึงจะสามารถรอดชีวิตต่อไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้ค่า การมีชีวิตรอดเป็นการพิสูจน์ความสามารถที่ดีที่สุด
“เห้อ นี่เป็นภารกิจที่ง่ายและสบายใจ ทั้งยังสามารถช่วยให้นายผ่านพ้นอุปสรรคไปได้อีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือช่วยทำให้ตระกูลของนายค่อยๆ รุ่งเรืองขึ้น มีคนมากมายที่พบแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อนายไม่ต้องการ งั้นฉันไปหาคนอื่นก็แล้วกัน…” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินที่เตรียมจะเดินออกไปโดยไม่สนใจสักนิด ทำให้เขาโกรธจนกัดฟัน แต่ยังแสร้งทำเป็นเสียดายแล้วพูดออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินที่อยู่ตรงประตูห้องทำงานพลันพุ่งมาหน้าโต๊ะของพยางอี้ หัวเราะฮี่ๆ แล้วเอ่ยปากขึ้น “ผู้เฒ่าครับ นี่เป็นความผิดของคุณนะ มีเรื่องดีๆ แบบนี้ทำไมไม่พูดออกมาเร็วๆล่ะ? ผู้ใหญ่พูดจาช้าเกินไป บางครั้งก็จะทำให้ผู้เยาว์เข้าใจผิดได้ จำไว้นะครับว่าครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีก พูดมาเถอะ เรื่องอะไร บางทีผมอาจจะยินดีช่วยคุณก็ได้?”
ตอนนี้นับว่าหยางอี้เข้าใจคำพูดของชางหลางแล้ว เย่เทียนเฉินคนนี้ เห็นว่าฝีมือของเขาแข็งแกร่ง ตอนจริงจังก็ราวกับเทพแห่งความตาย ยามปกติจะคำพูดจาหรือการกระทำล้วนไม่น่าเชื่อถือ หากจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขา อาจจะถูกทำให้โมโหจนตายก็เป็นได้
หยางอี้จับจุดนิสัยเหล่านี้ของเย่เทียนเฉินได้แล้วเช่นกัน เบื้องหน้าดูเหมือนเย่เทียนเฉินจะเป็นคนไร้สมองคนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วฉลาดมาก ฝีมือของเขาแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่พวกบุ่มบ่ามอย่างเด็ดขาด คำพูดคำจาการกระทำไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ได้แสดงถึงสมองและแผนการของเขา เพียงแต่มีหลายอย่างที่เขาชอบใช้กำปั้นเข้าจัดการ นอกจากนี้เย่เทียนเฉินยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเกลียดชังการถูกคุกคาม หากมคนกล้าคุกคามเขาไม่ว่าเรื่องอะไร คุกคามญาติมิตรข้างกายเขา ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ต้องถูกเขาฆ่าทิ้ง ยังดีที่คนคนนี้ไม่ใช่พวกเลือดเย็นที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ มิฉะนั้นในฐานะที่เป็นบุคคลระดับสูงของประเทศ หยางอี้ก็จะไม่ทนยอมให้เย่เทียนเฉินก่อเรื่องมั่วซั่ว คงคิดหาทางฆ่าเขาไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามในสายตาของพวกเขา ความปลอดภัยของประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง
ดังนั้น คนฉลาดเช่นหยางอี้จึงรู้ว่ามีเพียงการพูดคุยกันเช่นนี้ มีเพียงการใช้การพูดคุยอย่างมีความสุขและสบายๆ มารับมือกับเย่เทียนเฉิน อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังเป็นคนชอบเล่นสนุก กับคนแบบนี้ต้องใช้ภารกิจที่น่าสนุกมาดึงดูดเขา มิฉะนั้นใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้
หากเรื่งนี้ถูกคนอื่นรู้ เกรงว่าจะต้องตกใจจนคางร่วง หยางอี้ที่เป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่โตที่น่าเกรงขายังไม่อาจออกคำสั่งกับเย่เทียนเฉินได้ แล้วยังต้องใช้วิธีแบบนี้มา “ล่อลวง” เย่เทียนเฉินให้ยอมทำภารกิจ จะว่าไป เย่เทียนเฉินคนนี้ก็สมควรจะภาคภูมิใจในตัวเองจริงๆ
“ในเมื่อนายสนใจขนาดนี้ งั้นฉันก็จะพูดให้ฟังสักหน่อยแล้วกัน ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงมีดาวประจำมหาวิทยาคนหนึ่ง สวยขนาดไหนฉันไม่ขอบรรยาให้นายฟังก็แล้วกัน เดี๋ยวนายได้เห็นก็รู้เอง ภารกิจก็คือหาเธอให้เจอ คุ้มครองเธอ แค่นี้ก็พอแล้ว!” หยางอี้พูดพลางมองเย่เทียนเฉิน
“คุ้มครองดาวประจำมหาวิทยาลัย? ผู้เฒ่าครับ ภารกิจของคุณมันโบราณจริงๆ มีอะไรที่มันใหม่กว่านี้หน่อยไหม?” เย่ทียนเฉินถามแล้วเบ้ปาก ความจริงเขาไม่สนใจดาวอะไรทั้งนัน ไม่ใช่ว่าไม่มีดาวแล้วจะไม่มีผู้หญิงสักหน่อย ใช่ไหม?
“อืม โบราณไปจริงๆ ด้วย แต่เหมือนจะเคยได้ยินมาว่าดาวมหาวิทยาลัยคนนี้เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ ไม่ใช่ผู้หญิงไม้ประดับที่ทำอะไรไม่เป็น ฝีมือแข็งแกร่งมาก ได้ยินมาว่าครั้งนี้ไม่เพียงแต่มามหาวิทยาลัยหลงเถิงเพื่อมาเรียนหนังสือ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการวัดฝีมือกันระหว่างสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณ…” หยางอี้กล่าวต่อไป
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางอี้ เย่เทียนเฉินพลันสนใจขึ้นมาแล้ว ตอนแรกเขาก็ค่อนข้างสนใจในเรื่องวรยุทธ์ของพรรควรยทุธโบราณอยู่แล้ว คิดมาตลอดว่าจะนำพลังพิเศษและเคล็ดวิชาพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง แต่ไหนแค่ไรก็ไม่เคยได้ยินว่าพรรควรยุทธโบราณมีสี่ยอดคนงามด้วย อยากจะดูสักหน่อยจริงๆ ผู้หญิงทั้งสี่คนที่ฝีมือไม่ธรรมดาแล้วยังสวยขั้นสุด จะมีหน้าตายังไงกันแน่?
“การะประลองของสี่ยอดคนงาม? ที่เมืองหลวงเนี่ยนะ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย
“เรื่องนี้ฉันเองก็เพียงแค่ได้ยินมา ส่วนรายละเอียดเกรงว่าต้องรอให้นายไปตรวจสอบด้วยตัวเอง…” หยางอี้เห็นเย่เทียนเฉินสนใจก็กล่าวออกมายิ้มๆ
“ผมว่านะ คุณคงไม่หลอกผมหรอกมั้งครับ? คงไม่ใช่ว่าดาวมหาวิทยาลยอะไรนั่นเป็นป้าแก่ๆ คนหนึ่งหรอกนะ?” เย่เทียนเฉินถามออกมาอย่างไม่คิดอะไร
“ไอ้หนูนี่…ฉันบอกความจริงกับนายไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเป็นดาวมหาวิทยาลัยหลงเถิงจริงๆ แล้วก็เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดคนงามแห่งพรรควรยุทธโบราณจริงๆ นายพูดแบบนี้ถือเป็นการดูหมิ่นเธอนะ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก ขนาดคนแก่อย่างฉันก็ยังรับไม่ได้” หยางอี้ทำท่าทางโมโหออกมาแล้วตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน
“ดีๆๆ ผมเชื่อ ผมเชื่อครับ พูดมาเถอะ ชื่ออะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม
“ตงฟางเมิ่ง!”
“ตงฟางเมิ่ง? ยังมีแซ่ตงฟางอยู่อีกเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามคำถามโง่ๆ ออกไป ทำให้หยางอี้โกรธจนแทบจะตกเก้าอี้
“ดูก็รู้ว่าไอ้หนูอย่างนายไม่ตั้งใจเรียน ไม่รู้จริงๆ เหรอ นายสอบเข้ามหาวิทยาลัยหลงเถิงที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้ไง คงไม่ใช่ว่าตระกูลเย่ของนายยัดใต้โต๊ะหรอกนะ? แซ่ขของชาวจีนก็ยิ่งใหญ่ลึกซึ้งเหมือนกับวัฒนธรรมนั่นแหละ แซ่ที่มีมากกว่าหนึ่งตัวอักษรก็มี เพียงแต่ค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ ถูกคนส่วนใหญ่ลืมเลือนไปหมดแล้ว เห้อ ความไร้วัฒนธรรมช่างน่ากลัวจริงๆ!” หยางอี้กล่าว ทำท่าทางรับไม่ได้ออกมา
“พอได้ยินก็รู้สึกขัดๆ แล้วยังฟังดูแปลกๆ ต่อให้ผู้หญิงคนนี้จะสวยยังไงก็ต้องมีขีดจำกัดแน่นอน ผมจะลองไปพิจารณาดูสักหน่อยแล้วกัน…” เย่เทียนเฉินแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่สนใจ
“ไม่ นายไม่ต้องพิจารณาก็ได้ ฉันกำลังคิดว่ามีคนอื่นที่สามารถสำเร็จภารกิจนี้อีกไหม อย่างเช่นเถี่ยฉุย…” หยางอี้เข้าใจนิสัยของเย่เทียนเฉิน เขาพูดออกมาพลางทำท่าทางใคร่ครวญ
“ช่างเถอะ ผู้เฒ่า ผมจะรับปากคุณง่ายๆ เลยแล้วกัน ที่สำคัญคือผมคิดว่าเถียฉุยน่าเกลียดเกินไป หากไปมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะต้องทำให้น้องสาวน้องชายตกใจแน่ นี่เป็นเรื่องไม่ควรเลย!”
เย่เทียนเฉินทำท่าทางราวับเป็นผู้กอบกู้โลก หยางอี้มองจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คนคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นเทพแห่งความตาย เกรงว่าจะเป็นนักแสดงตลกด้วย ไม่ไปแสดงหนังตลอกก็จะเป็นการเสียดายความสามารถเปล่าๆ ไม่รู้ว่าหากเถี่ยฉุยได้ยินจะตามล่าเย่เทียนเฉินสุดชีวิตหรือเปล่า
เรียกได้ว่าเถี่ยฉุยนอนอยู่ดีๆ ก็โดนปืนจริงๆ ปากของเย่เทียนเฉินไม่ละเว้นใครเลย ตอนนี้เถี่ยฉุยจามสามครั้งติดๆ กัน ในใจคิดว่าใครกันที่มันนินทาตัวเองอยู่ อย่างไรก็ตาม เขาคงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเย่เทียนเฉินที่ดูเหลาะแหละคนนี้
“ในเมื่อตกลงแล้ว ฉันก็จะเชื่อว่านายสามารถทำได้ เรื่องตระกูลฉินฉันจะติดต่อกับผู้นำระดับสูงขั้นหนึ่งให้ พยายามทำให้เรื่องสงบลงให้ได้ ช่วงนี้นายก็อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีก หยุดสักหน่อยเถอะ” หยางอี้มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์
“คำพูดนี้คุณไม่ควรจะมาพูดกับผมนะครับ ควรจะไปพูดกับคนที่มาหาเรื่องผม บอกให้พวกเขาอย่ามาหาเรื่องผม ไม่งั้นผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้…” สองหมัดของเย่เทยนเฉินกำแน่น ราวกับใกล้จะคุมไม่อยู่จนจะระเบิดออกมา
“เอาล่ะ วันนี้นายไม่ต้องกลับบ้านแล้ว ฉันกลัว่านายจะถูกยอดฝีมือลอบโจมตีระหว่างทางแล้วถูกฆ่า พักอยู่ที่คฤหาสน์ไม่ไกลจากที่นี่เถอะ ที่นั่นมีบอดี้การ์ดอยู่บ้าง คงจะปลอดภัย!” หยางอี้กล่าว
“งั้นก็ต้องขอบคุณมากครับ ความจริงผมง่วงนิดหน่อยแล้ว ไปก่อนนะครับ ตอนกลางคืนให้บอดี้การ์ดของคุณเอาปลาเอาเนื้อมาเสิร์ฟด้วยนะ ผมขี้เกียจออกไป…” เย่เทียนเฉินกล่าวแล้วหัวเราะฮี่ๆ
หยางอี้รู้สึกรับไม่ได้ ทำได้แต่เปล่งเสียงรอดไรฟันออกมาคำหนึ่ง ไสหัวไป…
……………….