เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 144
เย่เทียนเฉินถูกชางหลางและเฮยเมี่ยนพาไปถึงด้านหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง ในขณะที่ยังไม่เดินไปเข้าด้านหน้าของคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งหลายคน กระทั่งมีการผันผวนของพลังพิเศษที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย ดูท่าแล้วรอบๆ คฤหาสน์หลังนี้คงมียอดฝีมือระดับสูงมากมายคุ้มครองอยู่ บุคคลใดๆ ก็ตามที่พยายามจะเข้ามาใกล้ล้วนถูกฆ่าโดยไม่ปราณี
เฮยเมี่ยนเดินอยู่ด้านหน้าสุด ถัดมาเป็นชางหลาง จากนั้นจึงเป็นเย่เทียนเฉิน ตอนที่พวกเขาเดินถึงหน้าประตูคฤหาสน์ บอดี้การ์ดสองคนที่สวมสูทสีดำ ดูเผินๆ เป็นบอดี้การ์ดธรรมดาไม่มีอะไรแตกต่าง แต่กลับทำให้เย่เทียนเฉินต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเขารู้สึกได้ว่าบอดี้การ์ดสองคนนี้เป็นเพียงบอดี้การ์ดเฝ้าประตู แต่ล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ อย่างน้อยกองกำลังทหารหนึ่งกองร้อยไม่อาจเอาชนะสองคนนี้ได้โดยเด็ดขาด
บอดี้การ์ดทั้งสองตัวค้นของ เฮยเมี่ยน ชางหลางและเย่ทียนเฉินก่อน จากนั้นจึงใช้ของที่ดูเหมือนเครื่องตรวจจับสแกนบนร่างของทุกคน หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด จึงยืนสองด้านเป็นสัญญาณให้ทั้งสามเข้าไปได้
“สองคนนี้เป็นคู่เกย์ใช่ไหม? ถึงกับชอบลูบคลำบนร่างกายของคนอื่น หรือว่าจะกลัวมีดที่พี่ชายพกมาด้วย?” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
ไหนเลยจะรู้ว่า คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้บอดี้การ์ดทั้งสองคนที่เดิมทียืนอยู่ทั้งสองฝั่งและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปแล้ว จะลงมือกับเย่เทียนเฉินในทันที รวดเร็วหาที่เปรียบ บุคคลที่อยู่ด้านซ้ายใช้พลังกงเล็บอินทรีย์คว้าจับเข้าที่ลำคอของเย่เทียนเฉิน ส่วนคนทางด้านขวาใช้วิชาหมัด ต่อยไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน
ผัวะ!
ฉัวะ!
ใครก็คิดไม่ถึงว่าบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงประตูทั้งสองคนจะลงมืออย่างกะทันหัน และยังโจมตีใส่เย่เทียนเฉินอย่างรุนแรง ตอนนี้เฮยเมี่ยนกับชางหลางได้เดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้ว พวกเขาคิดอยากจะช่วยเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถทำได้ ต่างหันกลับมามองภาพนี้ด้วยความตกตะลึง
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าบอดี้การ์ดสูทดำสองคนนี้จะลงมือกะทันหัน นี่เป็นสิ่งที่เขาเองก็คาดไม่ถึง ดังนั้นเมื่อเผชิญกับการโจมตีของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนี้ สายตาของเย่เทียนเฉินพลันเย็นยะเยือก โจมตีตอบโต้อย่างรวดเร็ว ออกกระบวนท่าในเวลาชั่วพริบตา
ในตอนที่บอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนและเย่เทียนเฉินหยุดลง เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถป้องกันการโจมตีของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนี้ได้ และยังป้องกันพร้อมๆ กันด้วย ความสามารถของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนี้ ถึงแม้ว่าบางทีจะไม่ถึงระดับสูงแบบเฮยเมี่ยนแต่ก็ต่างกันไม่มาก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองลงมือพร้อมกัน ความสามารถจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ยากที่จะต้านทานได้
มือขวาของเย่เทียนเฉินต่อยออกไปเช่นเดียวกัน กระแทกจนบอดี้การ์ดสูทดำทางด้านขวามือกระเด็นออกไป ส่วนมือซ้ายก็คว้าแขนของบอดี้การ์ดสูทดำทางด้านซ้าย และสะบัดเขาไปทางด้านหลัง โยนออกไปอย่างรุนแรง
พริบตาเดียวก็สามารถสกัดกั้นการโจมตีของบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนได้ ทั้งยังเป็นการโจมตีกะทันหันอีกด้วย มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ดูราวกับว่าต้องการจริงจังขึ้นมาแล้ว บอดี้การ์ดสูทดำเฝ้าประตูทั้งสองคนยังมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้จนแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึง ดูเหมือนว่าในหมู่ยอดฝีมือที่คุ้มครองอยู่รอบๆ คฤหาสน์หลังนี้ จะมีบุคคลที่สุดยอดที่สุดอยู่ ความสามารถจะต้องลึกล้ำเกินหยั่งอย่างแน่นอน
บอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนนั้นต่างตกตะลึง พวกเขาดูถูกเย่เทียนเฉินอยู่บ้างจริงๆ คิดไม่ถึงว่าวัยรุ่นที่เดินอยู่ด้านหลังสุด ดูท่าทางไม่เอาอ่าว พูดจาไม่จริงจังคนนี้ จะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ สามารถสกัดกั้นการโจมตีของพวกเขาทั้งสองโดยที่ไม่กินแรงเลยแม้แต่น้อย ทำให้พวกเขายากจะเชื่อจริงๆ
“ท่าทางคนที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จะเป็นคนใหญ่คนโต ขนาดบอดี้การ์ดเฝ้าประตูยังแข็งแกร่งขนาดนี้…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่มีพิษมีภัย
“ไอ้หนูนายจะอยู่สงบๆ ให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เฮยเมี่ยนเดินมา พูดพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
“ไม่ได้ ฉันก็คือฉัน เป็นดอกไม้ไฟที่มีสีไม่เหมือนกัน…” เย่เทียนเฉินพูดเรายิ้มอย่างยั่วยุ
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เฮยเมี่ยนรู้สึกทนไม่ไหวอยากที่จะพุ่งเข้าไปอัดเขาแรงๆ สักยก ที่นี่คือสถานที่แบบไหนกัน? เป็นสถานที่ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีคนกล้ามากำเริบเสิบสาน ไม่ต้องพูดถึงกำเริบเสิบสานเลย ขนาดพูดเล่นยังไม่มีใครกล้า เย่เทียนเฉินคนนี้ มาครั้งแรกก็ตกอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดขนาดนี้แล้ว แล้วยังมีอารมณ์มาหยอกล้ออยู่อีก นี่เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถล้อเล่นได้โดยสิ้นเชิง ทำให้คนอื่นอับจนคำพูดจริงๆ ไอ้หนูนี่ไว้ใจไม่ได้เลย
“เย่เทียนเฉิน ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาล้อเล่นได้ เข้าไปกับพวกเราก่อนเถอะ!” ชางหลางรีบเดินเข้ามาพูดพลางส่งสายตาบอกใบ้ให้เย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินมองชางหลางปราดหนึ่ง พูดตามจริงความประทับใจที่เขามีต่อชางหลางไม่เลวเลยทีเดียว คิดอยากจะประลองฝีมือกับเขาตลอดเวลา แต่ชางหลางคนนี้ก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก แล้วยังมีใจคิดช่วยเหลือเขา จะมากจะน้อยก็ต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงลงมือกับเฮยเมี่ยนไปแล้ว เขาไม่สนใจว่าคุณจะเป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้าก็ดี จะเป็นยอดฝีมือระดับทัพดินก็ดี ตลอดมาเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่ไม่กล้าลงมือเพราะคู่ต่อสู้แข็งแกร่งจนเกินไป
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ลูกผู้ชายที่แท้จริง จะไม่ขาดเขลาเพราะศัตรูแข็งแกร่งจนเกินไปอย่างเด็ดขาด หากต้องเปรียบเทียบความสามารถของคู่ต่อสู้ให้แน่ใจว่าตนเองสามารถชนะได้แล้วค่อยลงมือ นี่ยังนับว่าเป็นยอดฝีมืออะไรอีก? สามารถเรียกได้ว่าเป็นการใช้ความแข็งแกร่งข่มเหงผู้น้อยก็เท่านั้น
“ช่างเถอะ อยากจะพบใครก็รีบพบหน่อย ผมไม่สนใจเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“แก…” เฮยเมี่ยนโกรธจนกัดฟันแน่น เย่เทียนเฉินคนนี้ เขาคิดว่าตนเองจะไปพบคนธรรมดาอะไรหรือไง? ต้องทราบว่าครั้งนี้คนที่ต้องการพบเย่เทียนเฉินเป็นคนใหญ่คนโต เป็นคนสำคัญอย่างมากคนหนึ่งในประเทศจีน
“เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” ชางหลางกลัวว่าเฮยเมี่ยนกับเย่เทียนเฉินจะก่อเรื่องอีก จึงรีบพูดขัดขึ้นมา
ทั้งคฤหาสมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นที่หนึ่งคือห้องโถง ชั้นที่สองให้ความรู้สึกเหมือนห้องประชุม ชั้นที่สามมีทางเดินยาวมากๆ ทางหนึ่ง ทุกชั้นจะมีบอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนอยู่ห่างกันทุกๆ สามเมตร เป็นการจัดวางกองกำลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งบอดี้การ์ดสูทดำเหล่านี้ยังทำให้ความรู้สึกไม่แตกต่างจากบอดี้การ์ดสูทดำทั้งสองคนที่ยืนหน้าประตูนั้นเลย กระทั่งแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็คือคนที่ซ่อนตัวเพื่อคุ้มครองอยู่รอบๆ คฤหาสน์เหล่านั้น
เย่เทียนเฉินตามเฮยเมี่ยนและชางหลางไปจนถึงปลายทางเดินชั้นสาม ที่ปลายทางมีบอดี้การ์ดสูทดำสวมหูฟังไร้สายอยู่สองคน ดำเนินการค้นตัวของพวกเย่เทียนเฉินทั้งสาม ทุกกระบวนการเข้มงวดเป็นอย่างมาก ทำเอาเย่เทียนเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์
“พวกคุณเข้าไปได้แล้วครับ!” บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งเอ่ย
เฮยเมี่ยนพยักหน้า มองเย่เทียนเฉินและชางหลางปราดหนึ่ง ผลักประตูไม้หนานมู่ให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไป ชางหลางและเย่เทียนเฉินตามไป ทั้งสามเดินเข้าไปในห้องด้วยกัน
ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่มากๆ ดูเหมือนห้องสำนักงานที่ใหญ่มากห้องหนึ่ง ทางด้านขวามือมีห้องพักอยู่ห้องหนึ่ง ทั้งสองด้านมีต้นบอนไซอยู่ ด้านซ้ายมือมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ทั้งสองด้านของโต๊ะมีโซฟาวางอยู่ เบื้องหน้าของโต๊ะทำงานมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ แม้ว่าเส้นผมจะไม่มีสีขาวเลยแม้แต่เส้นเดียว แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่านี่คือผู้อาวุโสคน ในตอนที่เขาเบื่อๆ ก็ดูทีวีและเคยเห็นคนคนนี้
บริเวณโซฟาด้านข้างมีหยางอี้นั่งอยู่ เขากำลังสนทนากับผู้อาวุโส เมื่อเห็นเฮยเมี่ยน ชางหลางและเย่เทียนเฉินเดินเข้ามา ผู้อาวุโสก็ยิ้มมองเย่เทียนเฉิน ส่วนหยางอี้ก็หยุดพูด
“รายงานท่านผู้นำ เย่เทียนเฉินมาถึงแล้วครับ!” เฮยเมี่ยนเดินไปเบื้องหน้าผู้อาวุโส ทำวันทยาหัตถ์ด้วยความเคารพครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
“อืม!”
ผู้อาวุโสพยักหน้า เฮยเมี่ยนยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนชางหลางก็ไปยืนอยู่ข้างหนึ่งโดยไม่พูดอะไร มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะผู้อาวุโสกำลังมองสำรวจเขาอยู่ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเมตตา หยางอี้ที่อยู่ข้างๆ เองก็ไม่พูดอะไร
เย่เทียนเฉินถูกผู้อาวุโสมองจนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ผู้อาวุโสตรงหน้านี้เขาเคยเห็นมาก่อน เมื่อก่อนเคยเห็นในทีวี เป็นผู้อาวุโสที่ดีงามคนหนึ่ง เป็นผู้อาวุโสที่ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชน อุทิศตนเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติและสันติสุขของประชาชน อดทนต่อความลำบากและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในใจของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกเคารพเป็นอย่างมาก คนชราเช่นนี้ถึงควรค่าต่อการเคารพของผู้อื่น
“นั่นห็คือหลานของเย่หย่วนซาน เย่เทียนเฉิน?” ผู้อาวุโสเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วครับผู้อาวุโส คุณรู้จักผม นับเป็นเกียรติของผมแล้ว ยินดีที่ได้พบครับ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้ายิ้มๆ แล้วจับมือกับผู้อาวุโส ทำเอาเฮยเมี่ยนกับชางหลางมองจนปากอ้าตาค้าง
“เย่เทียนเฉิน ไอ้หนูแกทำอะไร ออกห่างจากท่านผู้นำซะ!” เฮยเมี่ยนดุเสียงดัง
“นี่ เฮยเมี่ยน ฉันกับท่านผู้อาวุโสกำลังคุยเล่นกันอยู่ นายจะสอดปากทำไม? ไปยืนข้างๆ โน้น!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนปราดหนึ่งแล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เมื่อพูดจบก็ไม่รอให้เฮยเมี่ยนระบายความโกรธออกมา เย่เทียนเฉินจับมือผู้อาวุโสยิ้มๆ แล้วพูดต่อไปว่า “ผู้อาวุโสครับ ไอ้ดำนี่น่าเกลียดอยู่บ้าง แต่ฝีมือก็ไม่เลวเลย คุณก็อย่าไปตำหนิที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยครับ ผมขอโทษแทนเขาด้วย!”
เฮยเมี่ยนแทบจะถูกคำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนตาย ตนเองทำอะไรผิด? ถึงต้องให้ไอ้หมอนี่ขอโทษท่านผู้นำแทนตนเอง? แล้วยังพูดราวกับว่าเฮยเมี่ยนทำความอะไรผิดจริงๆ
“ฮ่าๆ ฉันว่าเด็กอย่างนายน่าสนใจมากจริงๆ ไม่เลว ไม่เลว!” ผู้อาวุโสพูดยิ้มๆ
“ใช่ครับ ใครเห็นใครก็รัก ดอกไม้เห็นก็เบ่งบาน รถเห็นก็ยางแบน ผีหน้าดำเห็นก็ต่อย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ ในตอนที่พูดประโยคสุดท้ายยังไม่ลืมหันไปมองเฮยเมี่ยน
“แก ไอ้หนู แกปล่อยมือท่านผู้นำเดี๋ยวนี้…” เฮยเมี่ยนโกรธจนทนไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ต่อหน้าท่านผู้นำ เขาเองก็ไม่กล้าลงมือสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ทำได้เพียงตะโกนเท่านั้น
“นี่นายพูดผิดแล้ว ท่านผู้นำกับฉันพบกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนญาติมิตร จิตใจสื่อถึง เป็นเขาที่จับมือฉันไม่ยอมปล่อย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
ท่านผู้นำ ใช่แล้ว คนที่เฮยเมี่ยนและชางหลางพาเย่เทียนเฉินมาพบเป็นผู้นำระดับหนึ่ง แม้ว่าปากของเย่เทียนเฉินจะพูดจาหยอกล้อ แต่ก็ไม่กล้าไม่เคารพท่านผู้นำเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่ากลัวอะไร แต่เป็นเพราะรู้สึกเคารพ เป็นความเคารพที่มาจากส่วนลึกในใจ นี่เป็นผู้อาวุโสที่ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชนคนหนึ่ง มีเมตตามีมิตรภาพ แต่ก็ไม่สูญเสียบรรยากาศดั่งราชา มีอำนาจที่ไม่เปิดเผยออกมา กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกสั่นสะท้าน