เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 169
เพื่อที่จะหาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษามารักษาแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินจึงพยายามคิดทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ชางหลางนำข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษที่ประเทศจีนรวบรวมมาในหลายปีนี้ออกมาให้ แต่ว่า ดูเหมือนหลังจากที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษทั้งหมดเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินจะยิ่งหมดหวัง เพราะว่าเขาไม่พบการบันทึกของผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ในตอนที่เย่เทียนเฉินคิดว่าคงจะต้องหาวิธีอื่นนั้น เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรเขียนอยู่สี่ตัว แต่กลับเป็นตัวอักษรสี่ตัวที่สามารถทำให้เขาสั่นสะท้านได้ ‘จอมแพทย์เทวะ!’
เมื่อได้ยินชางหลางสาธยาย เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะลอบตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะมั่นใจได้ว่าจอมแพทย์เทวะก็คือผู้มีพลังพิเศษในสายรักษา และยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย สามารถช่วยคนใกล้ตายคนหนึ่งยืดเวลาชีวิตออกไปอีกยี่สิบปี แล้วยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่ายี่สิบปีหลังจากนี้ จะไม่มีทางกลับมาอีก เมื่อคิดดูแล้วทำให้รู้สึกน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก
“จอมแพทย์เทวะทำได้ยังไงก็ไม่มีใครรู้ ในตอนนั้นได้ยินมาว่ามีแค่เขากับผู้นำระดับสูงสุดอยู่ภายในห้อง รอบด้านถูกคุ้มครองด้วยยอดฝีมือที่เป็นสุดยอดในหมู่หัวกะทิ!” ชางหลางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“งั้นหลายปีมานี้ มีข่าวคราวเกี่ยวกับจอมแพทย์เทวะบ้างหรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่มี ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาช่วยยืดชีวิตของผู้นำสูงสุดก็หายไปไม่เหลือร่องรอย!” ชางหลางพูดแล้วจึงส่ายหน้า
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว สามารถได้รับข่าวสารของจอมแพทย์เทวะเขาย่อมต้องดีใจมากอยู่แล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยก็ยังมีความหวัง ยังมีความหวังที่จะช่วยแม่ของเสี้ยวหยา แต่ว่าไม่ได้มีข่าวของจอมแพทย์เทวะคนนี้มาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังอยู่ในโลกมนุษย์หรือไม่ การจะหาเจอหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ว่าจอมแพทย์เทวะจะต้องยังอยู่ในโลกมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะคนๆนี้เป็นคนที่ฉลาดมาก เพราะเหตุใดคนที่มีวิชาแพทย์ขั้นสูงและยังมีความสามารถด้านพลังพิเศษที่แข็งแกร่งถึงได้หายไปอย่างไม่เหลือร่องรอยหลังจากที่ช่วยให้ผู้นำระดับสูงสุดยืดอายุออกไปอีกยี่สิบปี?
เหตุผลนั้นง่ายมาก วิชาแพทย์ของเขาได้เกินกว่าระดับเขตแดนไปแล้ว ช่วยผู้นำระดับสูงสุดของประเทศยืดชีวิตออกไปอีกยี่สิบปีก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวว่าหลังจากนี้อีกยี่สิบปีจะไม่กลับมาอีก แต่ประโยคนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในตอนที่ผู้นำระดับสูงเจ็บป่วยอย่างรุนแรง ก็ยังตามหาเขา เมื่อถึงตอนนั้นจริงๆ เกรงว่าเขาที่เป็นจอมแพทย์เทวะไม่เพียงไม่ได้รับการยกย่อง แต่จะมีอันตรายถึงชีวิต
นี่ก็เหมือนกับว่า คนคนหนึ่งในช่วงเวลาใกล้ตาย ได้ถูกหมอผู้หนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้ เขาก็จะเชื่อในฝีมือของหมอคนนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อเขาใกล้จะตายอีกครั้ง ก็หวังว่าหมอคนนั้นจะสามารถช่วยเหลือเขาไว้ได้ แต่ถ้าหมอทำไม่ได้ ความหวาดกลัวในความตายเช่นนั้นก็จะทำให้คนๆนั้นบ้าคลั่ง กระทั่งสังหารผู้อื่นได้
ดังนั้นจอมแพทย์เทวะจึงเป็นคนที่ฉลาดมาก หลังจากที่ช่วยผู้นำระดับสูงสุดยืดชีวิตไปอีกยี่สิบปี ข่าวคราวก็หายไปไม่อย่างเหลือร่องรอยในทันที นี่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะถึงชีวิตที่จะตามมาถึงในภายหลัง
“ดูท่าแล้วหากต้องการตามหาจอมแพทย์เทวะจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง
“ยากมากแน่นอน เพราะได้ยินว่าวิชาปลอมแปลงของจอมแพทย์เทวะสูงส่งลึกล้ำมาก คนปกติไม่มีทางมองออกอย่างเด็ดขาด!” ชางหลางพูดพลางส่ายหน้า
“วิชาปลอมแปลง จอมแพทย์เทวะรู้วิชาปลอมแปลงด้วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว จอมแพทย์เทวะเคยสอนทักษะนี้ให้กับหน่วยปฏิบัติการพิเศษแห่งชาติ ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงใช้อยู่ และยังไม่เคยถูกเปิดโปงมาก่อน…” ชางหลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“ดี ผมมีเบาะแสแล้ว!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม
“หือ? ไอ้หนูนายตามหาจอมแพทย์เทวะมีเป้าหมายอะไร? รักษาโรคเหรอ?”
ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่าเย่เทียนเฉินดูข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษ เพียงเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ต้องการตามหาผู้แข็งแกร่งเพื่อมาประมือด้วยก็เท่านั้น เพราะว่าคนๆ นี้เหมือนกับพวกบ้าการต่อสู้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเพื่อหาจอมแพทย์เทวะ ในตอนนี้ชางหลางไม่เข้าใจจริงๆ เย่เทียนเฉินต้องการจะทำอะไรกันแน่?
“ใช่แล้วครับ ช่วยรักษาโรคนกเขาไม่ขันของคุณไง!” เย่เทียนเฉินพูดจาหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้หนู…หาเรื่องโดนอัดซะแล้ว!” ชางหลางหันไปมอง แต่เย่เทียนเฉินกระโดดลงรถไปเรียบร้อยแล้ว อดไม่ได้ที่ปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความจนใจ
“ขอบคุณมากครับ ถ้ามีเวลาจะเลี้ยงข้าวคุณนะ เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว…” เย่เทียนเฉินตะโกนบอกชางหลาง
เย่เทียนเฉินมองชางหลางขับรถจี๊ปทหารจากไป ในมือของเขายังถือกระดาษที่เขียนว่าจอมแพทย์เทวะเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา ในที่สุดก็หาผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาพบแล้ว เช่นนี้ก็มีความหวังที่จะทำให้แม่ของเสี้ยวหยาอยู่ต่อไปได้แล้ว เพียงแต่หากคิดจะหาจอมแพทย์เทวะให้เจอเกรงว่าจะไม่ง่าย เมื่อปีนั้นทางรัฐจะต้องส่งคนและยอดฝีมือออกไปตามหาเป็นจำนวนมาก แต่ก็หาไม่พบ เห็นได้ว่าจอมแพทย์เทวะมีการเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว เย่เทียนเฉินหวังว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ความหวาดระแวงของจอมแพทย์เทวะจะผ่อนคลายลงมาก อีกทั้งตนเองยังมีการคาดเดาที่บ้าบิ่นอย่างหนึ่ง จะต้องถูกต้องอย่างแน่นอน
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว เย่เทียนเฉินก็นั่งลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วเริ่มกินอาหารเช้า อาหารเช้าที่แม่ทำเป็นอาหารที่เย่เทียนเฉินชอบที่สุดอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง บะหมี่ผัดซอส ตั้งแต่เล็กจนโตก็เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินชอบกิน ทุกครั้งต้องกินสองชามใหญ่ถึงจะหยุด
“แม่ครับ ยังมีอีกไหม เติมให้ผมหน่อย!” เย่เทียนเฉินกินไปพลางตะโกนไปทางห้องครัวไปพลาง
“ยังมีอีก รู้อยู่ว่าลูกกินเยอะ…” หลัวเยี่ยนหัวเราะ ยกหมี่ผัดซอสถ้วยเล็กเดินออกมาแล้วเติมลงในถ้วยของเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วครับ หมี่ผัดซอสที่แม่ของผมทำ อร่อยกว่าข้างนอกเยอะเลย ต่อให้มีคนต่อแถวยาวเหยียดก็กินไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“ลูกนี่…ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้อวี่สวิ๋นโทรมาหาลูก บอกว่าให้ลูกรีบไปมหาวิทยาลัยหน่อย มีเรื่องด่วน!” หลัวเยี่ยนคิดถึงเรื่องที่หลิงอวี่สวิ๋นโทรมาเมื่อครู่นี้ได้จึงรีบเอ่ยปาก
“ครับ ได้ครับ ยัยคนนี้รบกวนคนอื่นตั้งแต่เช้าเชียว เมื่อคืนก็ถูกทำให้โกรธกลับไป วันนี้เช้ายังโทรมาอีก หน้าหนาจริงๆ…” เย่เทียนเฉินกินไปพลางบ่นไปพลาง
“ลูกพูดอะไร? เมื่อคืนลูกทำให้อวี่สวิ๋นโกรธหรือ?” หลัวเยี่ยนได้ยินเย่เทียนเฉินพึมพำกับตัวเองจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเข้มงวด
“เอ๋? ปะ เปล่าครับ แม่ฟังผิดแล้ว ผมจะไปทำให้อวี่สวิ๋นโกรธได้ยังไงล่ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ไปหาเรื่องเธอหรอก!” เย่เทียนเฉินเห็นสีหน้าของผู้เป็นแม่ก็รีบอธิบายออกมา
หลัวเยี่ยนส่ายหน้า ในใจเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาบ้างจริงๆ แล้ว ลูกของตนคนนี้เมื่อก่อนก็เกเร ตอนนี้รู้ความแล้วก็ยังมีอีคิวต่ำมาตลอด กังวลจริงๆว่าในอนาคตจะแต่งเมียไม่ได้ แล้วตัวเองจะไม่ได้อุ้มหลาน
เพียงไม่นานเย่เทียนเฉินก็กินบะหมี่จนหมด อาบน้ำง่ายๆ ครู่หนึ่ง แล้วจึงสวมเสื้อยืดสีขาวของตน กางเกงชายหาด และรองเท้าแตะคู่หนึ่งออกจากบ้านไป หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เห็นก็ตะโกนเรียก คิดจะให้เย่เทียนเฉินกลับมาเปลี่ยนให้ดูดีขึ้น แต่เด็กคนนี้ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของตนออกไปแล้ว
บนถนน เย่เทียนเฉินบิดคันเร่งจนถึงขีดสุด เขาชอบความรู้สึกที่มีลมพัดเข้ามาปะทะนี้มาก ให้ความรู้สึกปลดปล่อย เขาขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงจำนวนไม่น้อย
การที่ดึงดูดสายตาของนักศึกษาชายหญิงในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเย่เทียนเฉินหล่อ แต่เป็นเพราะการแต่งตัวของเขาไม่เข้ากับมอเตอร์ไซค์สุดเท่คันนี้เลยจริงๆ มอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นคันที่เย่เทียนเฉินขับมาตลอด อย่างน้อยที่สุดก็หลายแสน ดูเท่มาก แต่เขาสวมเสื้อผ้าแบบนี้ ดูแล้วช่างทำให้ผู้คนรู้สึกอับจนคำพูดจริงๆ
“ไอ้บ้านนอกนี่เป็นใคร น่าเสียดายรถมอเตอร์ไซค์ดีๆ แบบนี้ เสียของจริงๆ!”
“นาย…เบาเสียงหน่อย เขาก็คือคนที่อัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่…”
“อะไรนะ? ไม่จริงน่ะ? นี่…”
“ได้ข่าวว่าหลี่อี้พายอดฝีมือเทควันโดไปก็ยังอัดเจ้าหมอนี่ไม่ได้ ช่างร้ายกาจจริงๆ…”
“เขาอัดเซวียนเยวี๋ยนอวี่ไปแล้วยังอยู่รอดถึงวันต่อไปได้อีก? จะเจ๋งเกินไปแล้ว!”
นักศึกษาสอดรู้สอดเห็นกลุ่มหนึ่งอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบาอยู่รอบข้าง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินเห็นหลิงอวี่สวิ๋นรอตนเองอยู่ที่นั่นนานแล้ว เธอกำลังยู่ปากเล็กๆ อันน่ารัก ใช้ดวงตางดงามจ้องไปยังเย่เทียนเฉิน ความโมโหเมื่อวานไม่มีแล้ว ตอนนี้ตนเองรออยู่ที่มหาวิทยาลัยหลงเถิงมาเกือบหนึ่งชั่วโมง เย่เทียนเฉินเพิ่งจะมา เธอกำหมัดอันขาวนวลแน่น เกิดความรู้สึกว่าต้องการจะอัดเจ้าหมอนี่ขึ้นมาจริงๆ
“ป่านนี้เพิ่งจะมาถึง ไม่รู้ว่ารึไงว่าคุณหนูอย่างฉันรอนายอยู่ที่นี่มาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว?” หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วเอ่ยถาม
“เธออยากรอเองนี่ มันเรื่องอะไรของฉันล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“นาย…”
“ไปเถอะ ไปเถอะ มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ…” เย่เทียนเฉินขัดคำพูดของหลิงอวี่สวิ๋น กล่าวจบก็เดินไปข้างในประตูมหาวิทยาลัย
หลิงอวี่สวิ๋นแทบจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนบ้า ให้ผู้หญิงคนหนึ่งรอเกือบหนึ่งชั่วโมง ผู้ชายมาถึงก็ควรจะกล่าวอะไรสักหลายประโยค อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทางเหมือนเย่เทียนเฉิน อีคิวเป็นศูนย์จริงๆ ไม่มีความรักหยกถนอมบุปผาที่ผู้ชายควรกระทำต่อผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะโกรธ แต่เธอก็ทำอะไรเย่เทียนเฉินไม่ได้ จึงกระทืบเท้าเล็กๆ อย่างรุนแรงแล้วค่อยเดินตามไปข้างหลังเย่เทียนเฉิน พูดว่า “วันนี้เป็นวันรายงานตัววันแรกนายก็มสายแล้ว จะต้องถูกอาจารย์ที่ปรึกษาตำหนิแน่ หึ!”
“อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง?” เย่เทียนเฉินเอียงคอถาม
“นายปีหนึ่ง ฉันปีสอง นายยังมาถามฉันว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของนายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอีก?” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวด้วยความระอา
“ไม่รู้เหรอ ไม่รู้ก็ช่างเถอะ ดูแล้วเธอก็ไม่ได้คุ้นเคยกับมหาวิทยาลัยหลงเถิงเหมือนกัน!” เย่เทียนเฉินพูดพลางยักไหล่
“อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกนายเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีอายุแค่ยี่สิบสองปี!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“อายุยี่สิบสองก็เป็นที่ปรึกษาแล้วเหรอ? ดูท่าทางจะสวยมากจริงๆ ไปดูสักหน่อย…” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
เมื่อวานเป็นวันลงทะเบียน วันนี้เป็นวันรายงานตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อให้อาจารย์ที่ปรึกษาทราบจำนวนนักเรียนทั้งชั้นเรียน เย่เทียนเฉินรายงานตัวเรียนภาควิชาโบราณคดี นี่ยิ่งทำให้หลิงอวี่สวิ๋นรู้สึกจนใจจริงๆ