เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 17
บทที่ 17 กล้าแตะต้องน้องสาวฉัน? หาที่ตาย!
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังพิเศษภายในร่างกายจนถึงตีสี่กว่าถึงจะค่อยๆ หลับไป เหนื่อยจนเหงื่อชุ่มศีรษะ พบว่าร่างกายนี้บรรจุพลังได้น้อยมากอย่างที่คิดเอาไว้ รวมกับแก่นพลังในสมองที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร จะฝืนให้พลังอันเบาบางที่อยู่ภายในร่างกายของตนเองไปกระแทกก็ทำไม่ได้ มีเพียงการต่อสู้เป็นตายเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้ตนเองแข็งแกร่ง ก้าวทีละก้าวไปยังโลกของผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป
เสียงเคาะประตูตึงๆๆ ดังขึ้น เย่เทียนเฉินหนวกหูจนทนไม่ไหว เมื่อคืนนี้ทำอะไรมากมาย ทั้งยังบ่มเพาะพลังจนถึงตีสี่ หลับไปอย่างยากลำบาก ยังไม่ทันได้หลับสนิทก็ได้ยินเสียงเคาะประตู รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง
“พี่ พี่ ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินใช้แรงเคาะประตูไปพลาง ตะโกนไปพลาง
“หรูเสวี่ย จะให้พี่นอนตื่นสายหน่อยไม่ได้เหรอ? ไม่ต้องเรียกพี่ไปกินข้าวแล้ว พี่จะนอนจนกว่าจะตื่นเอง” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหาวหวอดๆ
“นี่ พี่ พี่ไม่รักษาคำพูดเลย ไหนบอกว่าวันนี้จะส่งหนูไปเรียน จะกลับคำเหรอ?” เย่เชี่ยนเหวินยืนทำปากจู๋อย่างน่ารักอยู่ตรงประตู อยากจะกัดพี่ชายของตัวเองสักหลายครั้ง
“อะไร? พี่จะไปส่งเธอเรียนงั้นเหรอ? ไม่ใช่มั้ง เหมือนพี่จะไม่เคยตกลงกับเธอเรื่องนี้นะ?”
“หึ ไม่รักษาคำพูดจะต้องกลายเป็นลูกหมาน้อย คนไม่รักษาคำพูด หนูจะไปฟ้องแม่”
พอได้ยินเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวพูดอย่างโมโห แล้ววิ่งตึงตังลงไปจากชั้นสอง เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งก่อนที่จะลุกจากเตียง ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเมื่อไร เย่เทียนเฉินก็เอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก เรื่องที่รับปากเธเอาไว้ไปแล้วก็ย่อมต้องทำให้ได้
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินพาเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาวนั่งรถเมล์ไปยังโรงเรียนมัธยมของเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินซื้อรถไม่ได้ แม้ว่าตระกูลเย่จะตกต่ำลง ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตในระดับชนชั้นกลางไม่ได้ เพียงแต่เย่หงสองสามีภรรยาคิดว่าหากให้ลูกๆ พบกับรสชาติต่างๆ ของชีวิตตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้กลายเป็นคนเข้มแข็ง และมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นได้
“พี่ หนูได้ยินพ่อบอกว่าตอนนี้พี่เป็นประธานกรรมการของเครือไห่หวังแล้ว จากนี้ให้หนูไปเป็นเลขา ของพี่ดีไหม?” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้เหรอ…น่าจะไม่ได้นะ” เย่เทียนเฉินไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมา
“ทำไมล่ะ?” เย่เชี่ยนเหวินกล่าวถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ผู้ชายหาเลขา ก็คือหากิ๊ก หลังจากที่พี่กลายเป็นประธานกรรมการแล้ว ก็ต้องหาเลขาสาวสวยสักแปดคนสิบคน ถึงตอนนั้นหากมีข่าวลืออื้อฉาวอะไรออกมา เธอจะไม่กลับไปฟ้องที่บ้านทันทีเลยเหรอ? ดังนั้นเธอจะเข้าบริษัทของพี่ไม่ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางหัวเราะฮ่าๆ
“หึ พี่นี่แย่จริง กลับบ้านไปตอนเย็นหนูจะฟ้องพ่อกับแม่” เย่เชี่ยนเหวินหัวเราะชั่วร้ายข่มขู่เย่เทียนเฉิน
“ฮี่ๆ อยากฟ้องแต่เธอไม่มีหลักฐาน ให้ตายพี่ก็ไม่ยอมรับหรอก”
“พี่…พี่นี่แย่มาก หนูไม่สนใจพี่แล้ว!”
ระหว่างทาง เย่เทียนเฉินกับเย่เชี่ยนเหวินต่างพูดคุยหยอกล้อกัน ความรักของพี่ชายน้องสาวไม่เลวเลย เย่เทียนเฉินไม่อยากให้น้องสาวต้องทุกข์ใจ เรียนหนังสืออย่างสบายอกสบายใจ แลได้เรียนต่ออย่างมีความสุข จากนั้นก็หางานดีๆ ทำ แต่งงานมีลูก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก้พอแล้ว หากว่ามีใครกล้ามาทำลายความสุขของน้องสาวของตน เย่เทียนเฉินจะไม่ปราณีแน่
“พี่ งั้นหนูเข้าไปก่อนนะ” พอเย่เชี่ยนเหวินเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียนมัธยมของเมืองหลวง ก็หันมาพูดกับเย่เทียนเฉินพลางโบกมือให้
“อื้ม ไปเถอะ ตอนเย็นกลับบ้านให้ตรงเวลาด้วยนะ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องให้พี่มาบอกหรอกน่า!”
เย่เชี่ยนเหวินทำหน้าตาตลกใส่เย่เทียนเฉิน แล้วเดินเข้าประตูโรงเรียนไป ใครจะทราบว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะหมุนตัวเดินจากไป รถ BMW คันหนึ่งก็มาจอดขวางหน้าเย่เชี่ยนเหวิน มีชายสวมสูทแบรนด์เนมคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบปีลงมาจากรถ สิ่งที่ทำให้คนประทับใจเป็นพิเศษก็คือ มุมปากด้านขวาของชายคนนั้นมีไฝอยู่เม็ดหนึ่ง หลังจากที่ชายคนนั้นลงมาจากรถแล้ว ก็มีชายฉกรรจ์อีกสองคนลงมาจากรถ มองคนบนถนนอย่างดุร้าย ทำให้นักเรียนทีเข้าไปข้างในโรงเรียนตกใจกลัวจนสั่นไปทั้งตัว
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เดินไปหาเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องสาว ตอนนี้เองชายคนนั้นก็กล่าวกับเย่เชี่ยนเหวินว่า “บังเอิญจริงๆ เชี่ยนเหวิน ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย มาเป็นแฟนของเฉินหาวคนนี้ซะเถอะ ฉันรับรองเลยว่าตระกูลเย่ของเธอจะไม่มีใครกล้ามารังควานอีก”
“ไสหัวไปซะ ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วนะ ฉันไม่ชอบนาย คนอย่างนายไม่มีค่าพอให้ฉันชอบหรอก” เย่เชี่ยนเหวินทำหน้าดุแล้วกล่าวออกมาอย่างดุดัน
“หือ? แม่งเอ้ย เย่เชี่ยนเหวิน ฉันให้เกียรติแต่เธอไม่เอา ใครๆ ก็รู้ว่าตระกูลเย่ของเธอตกต่ำมาตั้งนานแล้ว พี่ชายของเธอเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งเมืองหลวง ฉันขอเตือนให้เธอมาเป็นแฟนฉันซะดีๆ ไม่งั้นตระกูลเย่ของเธอจะลืมตาอ้าปากไม่ได้ไปตลอดกาล!” พอเฉินหาวเห็นว่าเย่เชี่ยนเหวินไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความโกรธสุดขีด
“นาย….ห้ามมาว่าพี่ชายฉันแบบนั้นนะ” เย่เชี่ยนเหวินโกรธจนกำหมัดแน่น อยากจะพุ่งเข้าไปต่อยเฉินหาวสักหลายหมัด ตระกูลเย่ตกต่ำลงแล้วจริงๆ แต่เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาพูดถึงพี่ชายเธอแบบนั้น
“ทำไม? พี่ชายเธอมันก็เป็นแค่เศษสวะ เป็นตัวตลก ยังไม่ยอมให้คนว่าอีกเหรอ? หรืออยากจะลงมือกับฉัน? วันนี้ฉันจะบังคับเธอด้วยกำลังเอง พาผู้หญิงคนนี้ขึ้นรถซะ” เฉินหาวกล่าวอย่างยโส
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ทางซ้ายมือของเฉินหาว ยื่นมือออกไปหวังจะจับเย่เชี่ยนเหวินมา
เปรี้ยง!
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเพิ่งจะยื่นมือออกไป ร่างก็ปลิวกระเด็นออกไปก่อนจะตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง เย่เชี่ยนเหวินตกตะลึง หมุนตัวไปเห็นเป็นเย่เทียนเฉินพี่ชายของตน ใบหน้ารูปไข่ที่ดุดันเอาพลันปรากฏรอยยิ้มหวานออกมา
“แก…แกแม่งเป็นใครวะ? กล้ามายุ่งเรื่องของฉันงั้นเหรอ?” เฉินหาวมองเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วกล่าวถามไปอย่างหยิ่งผยอง
“ต่อไปอย่างมายุ่งกับน้องสาวฉันอีก ไม่งั้นขาสุนัขของแกได้หักแน่” เย่เทียนเฉินกล่าวออกมาเสียงเรียบ
“เฮอะ แกแม่งก็คือเย่เทียนเฉินนี่เอง ไอ้คนไม่เอาไหนของตระกูลเย่ ความอัปยศของตระกูลเย่ทั้งตระกูล….”
“อ๊าก”
คำกล่าวเยาะเย้ยของเฉินหาวยังไม่ทันจะจบ ก็ถูกหมัดของเย่เทียนเฉินต่อยปลิวออกไป ก่อนจะร่วงลงบนพื้น กินดินเข้าไปคำหนึ่ง ร้องโอดครวญราวกับหมูถูกเชือด คำรามว่า “ฆ่ามัน ฆ่าไอ้เวรนี่ซะ”
ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งควักมีดออกมาจากข้างหลังทันที ก่อนจะฟันลงไปที่ศีรษะของเย่เทียนเฉิน ผู้คนและนักเรียนบริเวณรอบๆ ต่างก็ตกใจ รีบถอยหลังออกไป เย่เทียนเฉินใช้แขนข้างหนึ่งบังเย่เชี่ยนเหวินไว้ด้านหลัง เผชิญหน้าเพียงลำพัง
มีดฟันลงมา คนทั้งหมดต่างสูดหายใจเฮือกหนึ่ง หากว่าถูกฟันโดน ศีรษะที่แข็งเหมือนเหล็กคงถูกผ่าออกเป็นสองส่วนแน่ๆ แต่เย่เทียนเฉินกลับใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ข้างขวาคีบคมมีดเอาไว้ พวกคนที่มามุงดูตกใจจนปากอ้าตาค้าง ใครเคยเห็นคนถูกมีดฟันแล้วไม่หลบแต่กลับพุ่งเข้าหาบ้าง? ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมากกว่าก็คือยังใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้คีบไว้ได้อีก หากฟันลงมาได้ล่ะก็ เกรงว่าฝ่ามือทั้งหมดคงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแน่
แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคนก็คือ นิ้วกลางและนิ้วชี้ข้างขวาของเย่เทียนเฉินสามารถคีบคมมีดที่ชายฉกรรจ์คนนั้นฟันลงมาเอาไว้ได้ ราวกับคีบด้วยคีมเหล็ก ไม่ว่าชายฉกรรจ์คนนั้นจะออกแรงสักแค่ไหน กระทั่งใช้สองมือจับด้ามมีดแล้วกดลงไป ก็ไม่สามารถทำให้คมมีดขยับลงได้แม้แต่นิ้วเดียว
ในสายตาของคนหลายคน เย่เทียนเฉินกำลังใช้แรงน้อยเอาชนะแรงมาก ใช้แรงของนิ้วมือทั้งสองของตนหยุดพลังทั้งหมดของชายฉกรรจ์ผู้นั้น แต่กลับไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินนั้นกำลังทดสอบพลังพิเศษของตนเองอยู่ ตอนที่เขาพุ่งเข้าไปก็ขับเคลื่อนพลังภายในร่างไปรวมไว้ที่นิ้วกลางและนิ้วชี้ขวา ตอนที่ชายฉกรรจ์คนนั้นฟันมีดลงมา ก็ใช้พลังพิเศษหนีบคมมีดเอาไว้ ทำให้ชายฉกรรจ์ไม่อาจฟันมีดลงไปต่อได้ นี่เป็นวิธีการที่อันตรายในการกระตุ้นพลังพิเศษวิธีหนึ่ง
กร่อก!
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เย่เทียนเฉินใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ข้างขวาหักมีดในมือของชายฉกรรจ์ผู้นั้น คนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจเสียจนคางแทบหลุด
เย่เทียนเฉินใช้เท้าถีบชายฉกรรจ์คนนั้นกระเด็นออกไป ทิ้งมีดที่นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบจนหักไป มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มพลางเดินไปหายังเฉินหาว
เฉินหาวย่อมเห็นภาพอันเหี้ยมหาญของเย่เทียนเฉิน ตกใจจนร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งแต่แรก จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินผู้น่าขบขันของทั้งเมืองหลวงกลับเก่งถึงขนาดนี้
“แก…แกคิดจะทำอะไร พ่อฉันคือเฉินหู่ มี…..”
เปรี้ยงๆๆ! เย่เทียนเฉินยกขากระทืบลงไปบนร่างของเฉินหาวสามครั้ง จนเฉินหาวหมดสติไป ไม่ทราบว่าซี่โครงหักไปกี่ซี่ ผู้คนบริเวณที่ดูอยู่ต่างก็ตกตะลึงไม่หยุด
“กล้ามาวุ่นวายกับน้องสาวฉัน ต่อให้พ่อแกคือหลี่กัง[1]ก็ไม่รอด” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงเย็น
นี่เป็นประโยคฮิตประโยคแรกในเมืองที่เย่เทียนเฉินเรียนรู้หลังจากหลับชาติมาเกิดใหม่ โดยที่เย่เชี่ยนเหวินเป็นคนสอน ตอนนี้นับว่าได้ใช้ประโยชน์แล้ว
“มัวแต่ตะลึงอะไรอยู่ รีบเข้าไปเรียนสิ!” เย่เทียนเฉินเดินไปถึงด้านหน้าเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องที่ยังคงอึ้งอยู่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่ พี่สุดยอดจริงๆ” เย่เชี่ยนเหวินได้สติกลับมา คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายของตนจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ จึงเอ่ยอย่างดีใจ
“ฮ่าๆ รีบเข้าไปเถอะ จะสายแล้วนะ!” เย่เทียนเฉินลูบหัวเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องอย่างรักใคร่
เย่เชี่ยนเหวินหันกายเดินไปในโรงเรียน จู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงหันมากล่าวว่า “พี่ พ่อของเฉินหาวคือเฉินหู่ เป็นพวกสารเลวของเขตนี้ ฉายาสุนัขงานศพ ได้ยินว่ามีอิทธิพลมาก….”
“เข้าไปเถอะ ไม่ต้องกังวล พี่จัดการได้” เย่เทียนเฉิยกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางโบกมือให้น้องสาว
หลังจากเย่เทียนเฉินมองดูเย่เชี่ยนเหวินผู้เป็นน้องเดินเข้าไปในโรงเรียน ตอนที่หมุนตัวมาก็พบว่าเฉินหาวกับลูกสมุนทั้งสองคนได้ขับรถหนีไปแล้ว
เย่เทียนเฉินโบกแท็กซีมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ของเครือไห่หวัง เขากำลังจะได้นั่งตำแหน่งประธานกรรมการเป็นครั้งแรก และจะได้เซ็นหนังสือสัญญาถอนหมั้นกับตระกูลฉี
ตอนที่เย่เทียนเฉินไปถึงเครือไห่หวัง ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ไม่พูดไม่ได้ว่าถนนหนทางของเมืองหลวงนั้นมีรถติดหนักตลอดทาง ติดอยู่หลายชั่วโมง โชคดีที่เย่เทียนเฉินไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร เดินทางมาถึงอาคารสำนักงานเครือไห่หวังได้อย่างไม่รีบไม่ร้อน
เครือไห่หวังเป็นบริษัทที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง อาคารสำนักงานของสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง ที่เมืองใหญ่เมืองอื่นๆ ก็มีสาขาของบริษัทอยู่เช่นกัน นอกจากนั้นตึกยี่สิบสองชั้นตึกนี้ก็เป็นที่สถานที่ทำงานของสำนักงานใหญ่เครือไห่หวังทั้งหมด ที่นี่เป็นเครือข่ายที่รวบรวมการขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมอาหารและอื่นๆ ไว้ด้วยกัน ธุรกิจใหญ่โต กำไรก็งดงาม
“หยุดนะ คุณเป็นใครกัน? ที่นี่เป็นอาคารสำนักงานของสำนักงานใหญ่เครือไห่หวัง บุคคลไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า”
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูใหญ่ของเครือไห่หวังก็ถูกยามที่ยืนเฝ้าอยู่คนหนึ่งขวางเอาไว้
………………………………………
[1] มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศจีน นายหลี่ ฉีหมิง ขับรถชนแล้วหนี จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกลุ่มนักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ต้องเข้ามาขวาง และบอกให้เขารับผิดชอบ แต่เขากลับตะโกนท้าทายให้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับเขาได้ ด้วยประโยคที่ว่า “ไปเลย เชิญไปฟ้องร้องได้เลย “พ่อข้า คือหลี่กัง”” และนับจากนั้นมา ประโยค “พ่อข้า คือหลี่กัง” ก็ฉาวโฉ่ไปทั่วประเทศ