เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 6
บทที่ 6: คืนเต้าหู้ของฉันมา!
Ink Stone_Fantasy
“อาลัยอาวรณ์? ถ้าจะถามว่าอะไรที่น่าอาลัยอาวรณ์ จริงๆมันก็มีอยู่….” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอย่างออกมาอย่างครุ่นคิด
“งั้น งั้นสิ่งที่นายอาวรณ์ที่สุดคืออะไร” หานเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างใจเต้น
“ดูเหมือนว่าตอนที่ฉันออกจากบ้านมา น้องสาวจะให้หมูน้อยมาตัวหนึ่งแต่ลืมหยิบมาด้วย พวกเราจะกลับไปเอาเหรอ?”
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะกล่าวจบ ใบหน้าที่เขินอายของหานเจี๋ยก็มืดครึ้มลงทันที บิดคันเร่งของรถมอเตอร์ไซด์จนสุด ขับมุ่งตรงไปยังสนามบินด้วยความเร็วสูงสุด
หานเจี๋ยยืนอยู่ที่สนามบิน มองเที่ยวบินไปสู่จิงตูบินออกไป ในใจรู้สึกสูญเสียอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะการจากไปของเย่เทียนเฉิน หรือเป็นเพราะคิดว่าในอนาคตจะไม่ได้เจอเจ้าเด็กนี่แล้ว ในใจรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย
หลังจากนั่งเครื่องบินมาสามชั่วโมง เย่เทียนเฉินก็มาถึงสนามบินจิงตู เดินออกมาจากสนามบิน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือซื้อเต้าหู้ถ้วยหนึ่ง เดินไปกินไป ถ้าหากว่าถูดคนที่นั่งเครื่องบินเที่ยวเดียวกันมาเห็นคงจะตกใจไม่น้อย เนื่องจากเจ้าหมอนี่ตั้งแต่ขึ้นเครื่องก็เรียกหาของกินมาตลอด กินมาตลอดสามชั่วโมง กินจนแอร์โฮสเตสคนงามที่คอยส่งอาหารแทบจะกรอกตามองบน เจ้าหมอนี่กินไม่หยุดราวกับเป็นอดอยากปากแห้งมานาน
เย่เทียนเฉินใช้มือซ้ายหิ้วเป้ทหาร มือขวาถือถ้วยเต้าหู้ ค่อยใช้มือซ้ายคนก่อนจะตักเข้าปาก รู้สึกว่าไม่เลวเลย ในโลกก่อนนั้นทุกที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม ทั้งระหว่างประเทศและระหว่างผู้คน กระทั่งระหว่างคนกับสัตว์อสูรก็มี ไม่มีเวลาไหนที่จะไม่มีการต่อสู้ บวกกับมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมขั้นรุนแรง จะไปมีอาหารเลิศรสเช่นนี้ได้อย่างไร มีน้ำแร่ที่สะอาดๆสักหนึ่งขวดก็หรูแล้ว เพราะน้ำแร่ทำให้เกิดการล้อมตายของผู้แข็งแกร่งไปไม่น้อย นี่คือสภาพอันน่าสังเวชของโลกก่อน
เดินไปพลางกินไปพลาง เย่เทียนเฉินที่เดินเอื่ยเฉื่อยไม่รู้แล้วว่าตนเองเดินมาถึงที่ไหน มองซ้ายขวาก็พบว่าเป็นซอยเล็กๆ ในจิงตูมีซอยเล็กๆเช่นนี้มากมาย เย่เทียนเฉินรู้ตำแหน่งที่ตั้งของบ้าน เพียงแต่อยากค่อยๆเดินกลับไปไม่อยากรีบร้อน กินให้อิ่มเสียก่อนค่อยว่ากัน
ทันใดนั้นเอง ขณะที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปถึงกลางซอย มีสางงามคนหนึ่ง รูปร่างสูงสวมใส่ชุดแฟชั่นทันสมัย สวมแว่นกันแดดสีดำ วิ่งตรงมาทางเย่เทียนเฉิน จนเกือบจะชนกันอยู่แล้ว ไม่รอให้เย่เทียนเฉินหันมามอง สาวงามคนนั้นก็จับแขนเย่เทียนเฉินแน่น
“พี่ชาย มีคนจะลักพาตัวฉัน ช่วยบังไว้หน่อย ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ”
“หือ?”
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะประเมินหญิงสาวร่างสูงด้านหลังตน พบว่าหญิงคนนี้สูงราวร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร เตี้ยกว่าตนครึ่งหัว สวมใส่แว่นกันแดดสีดำอันใหญ่ ดูแล้วให้อารมณ์เหมือนดาราอยู่หลายส่วน แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความงดงาม
ขณะเดียวกัน ตอนที่หญิงงามคนนั้นหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนที่ใส่สูทสีดำก็กรูกันกันเข้ามาในซอนทั้งหน้าหลัง กระทั่งกระโดดลงมาจากสองข้างกำแพง เข้ามาล้อมเย่เทียนเฉินและผู้หญิงคนนั้น
ไม่รอให้หญิงสาวต่อสายถึงตำรวจ บอดี้การ์ดสูทดำคนหนึ่งก็เข้ามาแย่งโทรศัพท์ของเธอไป แล้วทำลายมันอย่างไม่แยแส
“แก พวกแกจะเอายังไง?” หญิงสาวกล่าวถามออกไปด้วยความกลัว
“คุณหนูเฟยเฟย เชิญคุณไปกับพวกเราด้วย มิฉะนั้นจะหาว่าพวกเราโหดร้ายไม่ได้” ชายสูทดำคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาเป็นบอดี้การ์ดที่มีใบหน้าค่อนข้างเท่
“พวกแก….ฉัน…ไม่เห็นเหรอว่าแฟนฉันอยู่ที่นี่? พวกแกกล้าลักพาตัวฉัน เขาไม่ปล่อยพวกแกไปแน่!” หญิงสาววิตกกังวล ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี อาจเป็นเพราะกลัวมากเกินไป สองมือต่างจับแขนเย่เทียนไว้แน่นแล้วกล่าวออกมาเสียงดัง
บอดี้การ์ดสูทดำที่เป็นคนพูดอดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินรู้สึกรันทดเล็กน้อย ตนกับผู้หญิงทที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกัน แปปเดียวก็กลายเป็นแฟนไปเสียแล้ว อีกทั้งดูแล้วสถานการณ์ไม่ใช่เล็กๆ อาจทำให้ยุ่งยากได้ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่รนหาความยุ่งยาก เขากลัวความยุ่งยากเป็นที่สุด ไอเรื่องวีรบุรุษช่วยสาวงาม ในโลกเก่านั้นมีสาวงามมากมาย หากพบสาวงามแล้วต้องช่วย ถ้าอย่างนั้นคงได้เหนื่อยตาย
“อย่ามองฉันสิ ฉันไม่รู้กับเธอเลยนะ บาย!”
เย่เทียนเฉินยักไหล่กล่าว กำลังจะเดินจากไป หญิงงามจับแขนเขาแน่นด้วยความโกรธ โกรธจนอยากจะกัดเจ้าหมอนี่สักหลายแผล ในใจก็คิดว่าไอหมอนี่เป็นคนแบบไหนกัน ตนเองเป็นสาวงามดูดีมีระดับขนาดนี้ เจอกับการลักพาตัว ถ้าเป็นผู้ชายปกติ คงจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามอย่างไม่ห่วงชีวิต จะไปเหมือนเจ้าหมอนี่ได้อย่างไร เหมือนกับพวกไม่มีอีคิวอย่างนั้นแหละ
“เพ้ย นายยังเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า ฉันมองนายผิดไปจริงๆ!”
เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงตะโกนลั่นของสาวงามก็ยังไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไป หันมากินเต้าหู้ต่อ เตรียมออกไปจากวงล้อมของบอดี้การ์ดสูทดำเหล่านี้ ไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องประเภทนี้ ไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินกลัว แต่มันไม่เกี่ยวกับเขา จำเป็นต้องหาเรื่องด้วยเหรอ?
ขณะที่เย่เทียนเฉินกำลังเตรียมตัวเดินจากไปนั้น หัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำก็เข้ามาขวางเบื้องหน้าของเขา ทั้งยังปัดเต้าหู้ในมือของเขาจนคว่ำลงพื้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “ฉันให้แกไปแล้วเหรอ?”
แต่เดิมบอดี้การ์ดกลุ่มนี้ก็ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตา คิดเพียงว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนที่สามารถจัดการได้ทุกเมื่อ หัวหน้าบอดี้การ์ดคนนั้นปัดถ้วยเต้าหู้ในมือเย่เทียนเฉินแล้วจึงเดินไปหาสาวงามคนนั้นเพื่อจะจับ ขณะเดียวกันก็ยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า “พวกเราไม่ทำร้ายเธอหรอก แค่อยากจะหาโอกาสพูดคุยกับพ่อของเธอสักหน่อย”
ปัง!
หัวหน้าบอดี้การ์สูทดำเพิ่งจะยื่นมือออกไป ก็ถูกเตะเข้าที่ก้น กระเด็นไปไกลหลายเมตร ก่อนตกลงมาหน้าทิ่มพื้น
ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกตะลึง มองไปยังเย่เทียนเฉิน ไม่คิดว่าเจ้าหมอนี่จะกล้าลงมือ
“แกตบฉันได้ แกด่าฉันได้ แต่แกมาลงมือกับเต้าหู้ของฉัน ทำให้ฉันต้องหิว นี่มันจะทำให้ฉันโกรธ” เย่เทียนเฉินใช้นิ้วชี้มือขวาชี้ไปยังพวกบอดี้การ์ดสูทดำด้วยความโกรธพลางกล่าวออกมา
“ยัง ยังจะยืนเซ่อกันอยู่อีก ฆ่ามันซะ” หัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำกระแทกพื้นจนเลือดกลบปากตะโกนเสียงดังลั่น
บอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนพุ่งเข้าไปยังเย่เทียนเฉิน ส่วนหญิงสาวก็รีบหลบไปข้างๆ เย่เทียนเฉินโกรธมาก ด้วยฝีมือของเขาแล้วบอดี้การ์ดสูทดำพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย ไม่ควรค่าแก่การลงมือของเขาก็เท่านั้น และไม่อยากเล่นบทวีรบุรุษช่วยสาวงาม แต่ตอนนี้เขาถูกทำให้โกรธเสียแล้ว ออกหมัดอย่างไม่ลังอเล ต่อยหนึ่งหมัดปลิวไปหนึ่งคน ในปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “คืนเต้าหู้ฉันมา คืนเต้าหู้ฉันมา…..”
หัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ยังมีคนที่ยืนอยู่ข้างสาวงามคนนั้น ต่างก็มองเย่เทียนฉินราวกับตัวประลาด ใครก็คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆเจ้าหมอนี่จะลงมือ ทั้งยังแข็งแกร่งขนาดนี้ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนไม่มีใครเข้าใกล้ตัวได้เลย ดูเหมือนทั้งหมดจะถูกต่อยปลิวในหมัดเดียว ก่อนจะลงมากระแทกพื้นส่งเสียงร้องโอดโอย แล้วลุกไม่ขึ้นอีก
ไม่ถึงสองนาที บอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนต่างก็ทรุดลงกับพื้น ไม่มีสักคนเดียวที่สามารถลุกขึ้นได้ ใบหน้าของเย่เทียนเฉินปรากฏอารมณ์เศร้าเสียใจออกมาพลาง
สาวงามมีปฏิกริยาขึ้นมา รีบวิ่งตามเย่เทียนเฉินไป เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ถึงแม้ว่าบอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนที่ต้องการจับตนเองจะถูกซัดลงไปหมอบกับพื้นแล้ว แต่หากมีใครสักคนที่สามารถลุกขึ้นได้ก็เพียงพอแล้วที่จะจับเธอ
“นี่ นี่ รอฉันด้วยสิ รอฉันด้วย….ฉันชื่อซูเฟยเฟย นายชื่ออะไรเหรอ?” สาวงามวิ่งเหยาะๆตามตูดเย่เทียนเฉินพลางตะโกนถามออกมา
เย่เทียนเฉินไม่แม้แต่จะหันไปมอง รีบข้ามถนนหายไป ซูเฟยเฟยกัดฟันเซ็กซี่ของตนด้วยความโมโห ดวงหน้าน่ารักบึ้งตึงกล่าวออกมาว่า “ฉันคนนี้สู้เต้าหู้ถ้วยเดียวไม่ได้เลยเรอะ? ไอคนไร้วัฒนธรรม”
เย่เทียนเฉินไม่เก็บเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆนี้มาใส่ใจแม่สักนิด จริงๆแล้วหากไม่ใช่เพราะหัวหน้าบอดี้การ์ดสูทดำคนนั้นปัดเต้าหู้ของเขาตกไปเขาก็ไม่มีทางลงมือเด็ดขาด
เย่เทียนเฉินโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง มุ่งตรงกลับไปบ้าน โลกเดิมนั้นเขาตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง เกิดใหม่ในโลกนี้เขาได้มี ก็รู้สึกรอคอยความอบอุ่นของครอบครัวอยู่บ้าง
รถแท็กซี่จอดลงหน้าประตูบ้านพักที่ไม่ได้หรูหราแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ มองเห็นบ้านสองชั้นเล็กๆหลังนี้ มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา เดินมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูใหญ่ กำลังจะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องรับแขกในบ้าน มือขวาของเย่เทียนเฉินยกค้างไว้ เขาอยากจะฟังสักหน่อย
“แม่ อย่าร้องไปเลย ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นก็ถอนหมั้นไปเถอะ ตระกูลเย่ของพวกเราไม่แคร์หรอก” เย่เทียนเฉินฟังออกว่าเสียงนี้เป็นเสียงของเย่เฉี่ยนเหวินน้องสาวของเขา
“เฉี่ยนเหวิน แม่ไม่ได้กังวลเรื่องตระกูลฉีจะถอนหมั้น แต่เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายลูก แม่ได้ยินพวกอาใหญ่ของลูกพูดกันว่า ครั้งนี้พวกพี่ชายลูกออกไปปฏิบัติภารกิจ ถูกลอบโจมตี อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว” แม่ของเย่เทียนเฉินชื่อหลัวเยี่ยน เป็นแม่บ้านทั่วไป ตระกูลหลัวนับว่าเป็นตระกูลที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กในจิงตู
“วางใจเถอะแม่ พี่ไม่เป็นไรหรอก เขาต้องกลับมาแน่ ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นก็หพวกเขาถอนหมั้นไปเถอะ พี่จะต้องหาคนสวยๆได้แน่” เย่เฉี่ยนเหวินมีสีหน้าบึ้งตึงกล่าวออกมาด้วยความขุ่นเคือง
หลัวเยี่ยนถอนหายใจ เช็ดน้ำตาที่หางตา ลูกชายคนนี้ทำให้เธอเป็นห่วงตั้งแต่เด็ก ก่อปัญหาไปทั่ว ทั้งวิวาททั้งขลุกอยู่กับผู้หญิง หลังจากเกิดเรื่องตระกูลหลิ่ว ลูกชายก็ดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ขนาดมหาวิทยาลัยก็ไม่เรียนแล้ว ยืนยันว่าอยากจะเป็นทหาร ไหนเลยจะรู้ว่าผลจะกลายเป็นแบบนี้
“พวกคุณปู่กับอาใหญ่ของลูกพูดแล้ว ถ้าหากว่าตระกูลฉีมาถอนหมั้น ก็ให้พวกเราย้ายออกไปจากจิงตู ไม่อนุญาตให้กลับมาอีก เรื่องตระกูลหลิ่วทำให้ตระกูลเย่เสียหน้ามาก ถ้าตระกูลฉีมาขอถอนหมั้นอีก พวกเราก็คงไม่มีหน้าอยู่ในจิงตูแล้ว….”
“แม่ ไปก็ไปสิ พวกเราเป็นครอบครัวกัน ไม่สนหรอกว่าต้องไปอยู่ที่บ้านหลัก ไม่ว่าพี่จะเป็นยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของหนู พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” เย่เฉี่ยนเหวินพยามปลอบแม่เต็มที่ ไม่อยากให้เธอต้องเสียใจ
ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกเจ็บแปลบ พยายามอย่างยิ่งให้ตัวเองยิ้ม พลางหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ไขเปิดประตูใหญ่ของบ้านแล้วเดินเข้าไป
……………………………