เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 61
บทที่ 61 เลือกหักขาสุนัขของแกมาซะ
Ink Stone_Fantasy
ฉินเหิงมีอำนาจแข็งแกร่งและวางท่าทางใหญ่โตเป็นอย่างมาก ตบลงไปที่ใบหน้าของหลูวั่งครั้งหนึ่งจนมุมปากมีเลือดไหลออกมา แต่หลูวั่งกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้ากลับแม้เพียงนิด เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเหิง ตระกูลหลูของตนเองก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลเหิง กล่าวให้ชัดเจนก็คือ หากฉินเหิงบันดาลโทสะ เพียงนิ้วเดียวก็สามารถทำลายตระกูลหลูของตนได้ พ่อของเขาที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็นับว่าจบสิ้นแล้ว
โลกนี้ เดิมทีก็เป็นโลกที่ผู้อ่อนแอเป็นอาหารของผู้แข็งแกร่ง คุณอ่อนแอ ก็จะได้รับความอยุติธรรม ต่อให้ถูกอัด ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ สถานที่ใดที่มีคนก็จะมีการแข่งขันและการกดขี่ข่มเหง
“ขะ…ขอโทษครับ นายน้อยฉิน ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นคุณ ผมต้องขอโทษคุณด้วยครับ!” หลูวั่งถูกตบหน้าไปหนึ่งครั้ง จนมุมปากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา แต่กลับรีบกล่าวขอโทษฉินเหิง
ปัง!
ฉินเหิงใช้ขาเตะเข้าไปที่ท้องของหลูวั่ง ทำให้เขากระเด็นไปไกลหลายเมตร หลูวั่งเจ็บจนใช้มือทั้งสองกุมท้องไว้แน่นพลางกัดฟันกรอด แต่ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มขมขื่นว่า “นายน้อยฉิน ผม…ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…ขอ…ขอโทษครับ!”
“ขอโทษ? ขอโทษคำเดียวนับเป็นอะไรได้? กล้ามาวิจารณ์ตระกูลฉินของฉัน วันนี้บิดาจะหักขาแกข้างหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน” ฉินเหิงยังไม่ยอมจบง่ายๆ ตะโกนออกมาอย่างโอหังเต็มที่
“นายน้อยฉิน น้องหลูไม่ได้ตั้งใจ ทุกคนก็แค่คุยเล่นกันเท่านั้น อย่าใส่ใจเลยนะครับ”
เพียะ!
ชายคนหนึ่งที่ต้องการช่วยหลูวั่งพูดสักหลายประโยค คำพูดเพิ่งออกจากปาก ก็ถูกฉินเหิงตบไปทีหนึ่ง ถูกตบจนล้มลงกับพื้น เจ็บจนกัดฟันแน่น
เหล่าคุณชายทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ ต่างก็คิดไม่ถึงว่าฉินเหิงจะป่าเถื่อนจะหยิ่งผยองถึงขั้นนี้ ทุกคนเพียงแค่คุยเล่นกันเท่านั้น อีกอย่างฉินเหิงก็ไม่ได้พูดอะไรร้ายๆ เกี่ยวกับตระกูลฉิน เพียงแค่กล่าวถึงตระกูลฉินเท่านั้นเอง ฉินเหิงกลับใช้อำนาจภูมิหลังของตระกูลลงมือทำร้ายคน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ช่างยะโสโอหังจริงๆ
“แกนับเป็นตัวอะไรถึงกล้ามาพูดกับบิดา พวกแกที่นี่หลายคนก็แค่ตระกูลเล็กๆ ตระกูลเหิงของฉันทำลายพวกแกได้ตามใจ!” ฉินเหิงต้องการกระตุ้นความโกรธของผู้คนที่นี่ ไม่ว่าใครก็ไม่อยู่ในสายตาทั้งนั้น เขาเหิมเกริมขึ้นขั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเพราะคิดว่าไม่มีใครที่สามารถหาล่วงเกินตระกูลเหิงของเขาได้ ราวกับว่าใครเจอเขาจะต้องหลบไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างไรอย่างนั้น
“คุณ…ฉินเหิง คุณจะเอาแต่ใจเกินไปรึเปล่าครับ ต่อให้ตระกูลฉินของคุณจะเป็นตระกูลที่โดดเด่นก็เถอะ ทำไมต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ ดูถูกคนอื่นเช่นนี้ด้วยล่ะครับ?”
“ใช่แล้ว ถึงตระกูลฉินของคุณเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่จุดสูงสุดสักหน่อย ยังมีสามตระกูลใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงของจีน ตระกูลฉินของคุณเองก็เทียบไม่ได้”
“พี่ฉิน ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ทำไม่ต้องใช้อำนาจรังแกผู้อื่นอย่างนี้ด้วยล่ะ?”
คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนจากตระกูลที่มีภูมิหลังทั้งยังหยิ่งผยองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ถึงอย่างไรเป็นมนุษย์ก็ต้องมีขีดจำกัด อีกทั้งในเมืองหลวงที่เป็นสถานที่ที่มีเสือหมอบมังกรซ่อน หากกำเริบเสิบสานจนเกินไปย่อมไม่ดีแน่!
แต่ฉินเหิงคนนี้โอหังอวดดี จองหองพองขนจนถึงขั้นไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ความเย่อหยิ่งอวดดีเช่นนั้นราวกับว่าทั่วทั้งเมืองหลวงต้องฟังคำพูดของตระกูลฉิน ราวกับประเทศจีนมีตระกูลฉินของเขาควบคุมอยู่ก็มิปาน
“แม่งเอ๊ย พวกแกก็ไม่ดูฐานะของตัวเองบ้างล่ะ กล้ามาพูดกับบิดาเช่นนี้ อยากจะถูกหักขากันใช่ไหม?” ฉินเหิงตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความหยิ่งผยอง
ได้ยินคำพูดของฉินเหิง หลายคนก็สงบปากสงบคำ พวกเขาต่างก็เป็นลูกหลานเสเพล แต่ก็มีชาติตระกูล ในยามปกติย่อมไม่ยอมแพ้แน่นอน แต่จะอย่างไรตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ในหมู่คน ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีใครที่ชาติตระกูลจะเทียบได้เลยสักคน จึงมิอาจหาเรื่องได้
สมมติว่าพวกเขาสามารถลงมือกับฉินเหิงได้ ถึงอย่างไรก็อาจจะลำบากไปถึงตระกูลของตนเอง ดังนั้นจะต้องคิดใคร่ครวญให้ดีๆ สถานที่อย่างเมืองหลวงแห่งนี้ ตระกูลบางตระกูลสามารถดำรงอยู่ได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลชั้นสามชั้นสี่
“ไอหยา พี่ฉิน อย่าได้โมโหเลยครับ อย่าโมโหเลย ใจเย็นๆ นะครับ ใจเย็นๆ ไม่ทราบว่าลมอะไรพัดพี่ฉินมา ทำให้เป้ยเฟิงเซวียนเล็กๆ ของพวกเรามีหน้ามีตาจริงๆ!” คุณชายที่ชอบเลียแข้งเลียขาคนหนึ่งรีบพูดไกล่เกลี่ย
ฉินเหิงมองทุกคนอย่างเหยียดหยาม เปิดปากกล่าวออกมาอย่างเผด็จการว่า “ต่อไปนี้ฉันไม่อนุญาตให้พวกแกมาซุบซิบนินทากันที่นี่อีก ได้ยินรึยัง?”
“ฉินเหิง คุณจะเอาแต่ใจเกินไปรึเปล่า? ที่นี่เป็นที่สาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมาที่นี่ คุณอาศัยอะไรมาห้ามไม่ให้พวกเรามา?” ยังคงมีคนที่ไม่อาจทนได้กับคำพูดอันร้ายกาจเช่นนี้ ฉินเหิงช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน ถึงกับไม่สนใจเหตุผล หยิ่งยะโสจริงๆ
“มึงแม่งกวนตีนใช่ไหม? เชื่อไหมว่าบิดาสามารถซื้อเป้ยเฟิงเซวียนได้ทันทีเลย? เชื่อไหมว่าบิดาสามารถเอาชีวิตมึงได้ตอนนี้เลย?” ฉินเหิงคำรามใส่ชายที่พูดออกมาด้วยความโกรธ
เจอกับความเอาแต่ใจและความวางท่ากดข่มผู้อื่นของฉินเหิง คุณชายหลายคนในที่นี้ต่างก็เหม่อลอย คนคนนี้เหมือนกับหมาบ้า แถมยังเป็นหมาบ้าที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อีกต่างหาก ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะล่วงเกินได้ หลายคนได้แต่กักเก็บความโกรธไว้ในใจไม่กล้าพูดออกมา ท่าทีอันไร้ยางอายไม่เห็นใครอยู่สายตาของฉินเหิง คิดว่าไม่มีใครในเมืองหลวงที่จะรักษาเขาได้เลยจริงๆ
“จะขอบอกพวกแกให้ชัดเจนไปเลย วันนี้บิดามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะถามอะไรพวกแกสักหน่อย รู้ไหมว่าไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินมันอาศัยอยู่ที่ไหน?” ฉินเหิงเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
ได้ยินคำพูดของฉินเหิง หลายคนก็ตกตะลึงอยู่ในใจ แม้จะตกใจแต่ก็สามารถเข้าใจได้ ที่แท้ฉินเหิงมาปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน ก็เพราะจะต้องการจะไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ช่างใช้อำนาจเที่ยวระรานชาวบ้านจริงๆ
หลายคนทราบว่าบุญคุณความแค้นของเย่เทียนเฉินและฉินเหิงอาจจะเป็นเพราะฉีหรูเสวี่ยแห่งตระกูลฉี ผู้หญิงคนนี้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสวยทัดเทียมกับหลิ่วหรูเหมยสาวงานอันดับหนึ่งแห่งเมือหลวง ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด น้อยคนที่จะเคยเห็นรูปร่างหน้าตาจริงๆ ของเธอ ดังนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้ว่า ฉินเหิงหาเรื่องสั่งสอนเย่เทียนเฉินเป็นเพราะการตายของหลี่เถี่ยสุนัขรับใช้ของตระกูลฉิน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องในมมือหลี่เถี่ยที่ไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
อีกทั้งบิดาของเขาฉินเทาหยวนสงสัยว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเย่เทียนเฉิน ฉินเหิงจึงนำผู้คุ้มกันติดตัวมาสองคนเพื่อมาหาเย่เทียนเฉิน หากว่าจำเป็นเขาก็จะฆ่าเย่เทียนเฉินซะ กล่าวอย่างชัดเจนก็คือ ฉินเหิงไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาเลยจะไปหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ความหยิ่งผยองและความโอหังช่างเหิมเหริมเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ฉินนี่พี่จะ…”
“เฮอะ บอกพวกแกตามตรง วันนี้ฉันฉินเหิงมาเพื่อสั่งสอนเย่เทียนเฉินโดยเฉพาะ ฉันจะทำให้เย่เทียนเฉินคุกเข่าร้องขอชีวิตกับฉันต่อหน้าพวกแกทุกคนที่อยู่ที่นี่ ถ้ามันกล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ฉันจะหักขาสุนัขของมันซะ!” ฉินเหิงสบถเสียงเย็นพลางกล่าวออกมา
“พะ…พี่ฉิน ไอ้เด็กเย่เทียนเฉินคนนั้นฝีมือไม่อ่อนแอ ตอนแรกก็อัดลั่วเหลยที่เทียนซ่างเหรินเจียนจนไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้ตอบ พี่ก็ระวังหน่อยนะครับ” หลูวั่งที่กุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเองไว้แสดงความหวังดีต่อฉินเหิง ต่อให้ฉินเหิงหักขาของเขา เขาก็ไม่กล้าพูดจาไร้มารยาทกลับไป นี่เป็นเพราะเบื้องหลังและศักยภาพขงอตระกูล จึงจำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตาม
ปัง!
คำพูดของหลูวั่งเพิ่งออกจากปาก ฉินเหิงก็เตะไปอีกครั้งหนึ่ง คนคนนี้เป็นไอ้บ้าคนหนึ่งจริงๆ เป็นหมาบ้าตัวหนึ่ง เป็นหมาที่ไร้มนุษยธรรม ผู้อื่นเตือนคุณด้วยความหวังดี คุณกลับลงมือทำร้ายคน ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย ช่างเหลือเกินจริงๆ
“ลั่วเหลย? มันนับเป็นตัวอะไรได้? ความสามารถของมันเทียบได้กับลูกน้องของฉันรึไง? ด้วยบอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งสองคนที่อยู่ข้างหลังฉัน ไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนเฉินแค่คนเดียว ต่อให้เย่เทียนเฉินสิบคนก็ต้องมาคุกเข่าต่อหน้าบิดาที่นี่และก้มหัวร้องขอชีวิต” ฉินเหิงยิ่งพูดก็ยิ่งบ้า บ้าจนไม่มีขอบเขต
“งั้นก็ดีครับ งั้นด็ดีครับ!” หลูวั่งมองฉินเหิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“เย่เทียนเฉิน บิดาไม่สนใจว่ามันจะร้ายกาจแค่ไหนหรือจะมีฝีมือแค่ไหน เจอฉันฉินเหิงก็ต้องคุกเข่า กล้าหาเรื่องคนตระกูลฉินของฉันก็ต้องตาย ถ้าหากตอนนี้มันปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ฉันจะหักขาสุนัขของมันทันที…อ๊าก!”
ฉินเหิงเพิ่งจะพูดจบก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ขาซ้ายทรุดลงแตะพื้นในท่าคุกเข่า เลือดสดๆ ไหลออกมาเป็นสาย ตะเกียบอันหนึ่งแทงทะลุออกมาจากต้นขาของเขา ฉินเหิงเจ็บเสียจนร้องออกมาราวกับหมูถูดเชือด
ทุกคนในที่นี้ต่างก็ตกใจจนนิ่งอึ้งไปแล้ว มองฉากที่เกิดขึ้นกะทันหันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่นึกเลยว่าจะมีคนลงมือกับฉินเหิงที่กำเริบเสิบสาน ไม่รู้หรือว่านี่จะเป็นการล่วงเกินฉินเหิงและหาเรื่องใส่ตัว?
มีคนมองไปยังทิศทางที่เย่เทียนเฉินอยู่ ต่างก็มองไปยังชายคนที่นั่งกินข้าวอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอดอย่างประหลาดใจ ดูเหมือนเขาจะนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ มาตลอด ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมภายในนี้เลย ไม่มีใครรู้จักเขา ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่ว่าตะเกียบที่ใช้กินข้าวของเขาหายไปอันหนึ่ง ทุกคนต่างก็มองออกว่าคนที่ลงมือก็คือชายวัยรุ่นอายุราวยี่สิบปีคนนี้
“มึง มึงแม่งเป็นใคร? กล้าลงมือกับบิดา รนหาที่ตาย!” สองมือของฉินเหิงกุมอยู่ที่ขาซ้ายของตนตรงที่มีเลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุดพลางตะโกนอย่างเหิมเกริม
“แกอยากจะหักขาคนอื่น แต่กลับไม่รู้ว่าขาสุนัขของตัวเองไม่แข็งแรงเลยสักนิดรึไง?” เย่เทียนเฉินยักไหล่ มองไปยังฉินเหิงอย่างไม่สนใจพลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
เหล่าคุณชายที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็มองเย่เทียนเฉินอย่างตกตะลึงจนตาค้าง ทุกคนไม่รู้จักไอ้หนุ่มคนนี้ ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของเย่เทียนเฉินที่เป็นเรื่องขบขันในเมืองหลวงจะโด่งดัง แต่ทุกคนก็แค่มองเขาเป็นเรื่องขบขันเท่านั้น ไม่มีใครอยากจะไปดูลูกหลานไม่เอาไหนคนหนึ่งของตระกูลชั้นสามว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นแค่เรื่องตลกหลังอาหารก็แค่นั้น
“จบแล้ว ไอ้หมอนี่ตายแน่ ไม่คิดว่าจะกล้าลงมือกับฉินเหิง”
“ถึงฉินเหิงจะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่คนที่พวกเราจะหาเรื่องได้ สหายคนนี้มีความกล้าหาญ แต่กลับไม่คิดว่าจะมีผลอะไรตามมา”
“ที่นี่ต้องมีการฆ่ากันแน่ๆ ไอ้หนุ่มนั่นต้องตายแน่ พวกเรารีบไปกันก่อนดีกว่า อย่าถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย”
คุณชายหลายคนวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ไม่มีสักคนเดียวที่จะมองเย่เทียนเฉินในแง่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเย่เทียนเฉิน แต่เบื้องหลังครอบครัวของทุกคนไม่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำเท่าฉินเหิง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ไม่โดดเด่นอย่างเย่เทียนเฉินคนนี้จะร้ายกาจอะไรมากมาย หากจะกล่าวว่าเขาสามารถรับมือกับฉินเหิงได้ ไม่มีสักคนในที่นี้ที่จะเชื่อ
ตอนนี้เอง หลูวั่งที่อยู่ด้านหนึ่ง ตอนที่เขาเห็นเย่เทียนเฉินก็รู้สึกไม่เชื่อสายตาอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “เย่ เย่เทียนเฉิน…”
……………………………………………