เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 91
บทที่ 91 ความโกรธครั้งแรก
Ink Stone_Fantasy
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น เย่เทียนเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ส่วนบลัดกรีดร้องออกมาพลางกระเด็นออกไปแล้วตกลงสู่พื้นอย่างแรง มือขวาของเขาบิดจนเปลี่ยนรูป เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่ขาดสาย เกรงว่าแม้แต่กระดูกก็แหลกจนใช้การไม่ได้ ใบหน้าของเขาขาวซีดไปทั้งหน้า เจ็บจนแยกเขี้ยวพลางลุกขึ้นมาจากพื้น มองไปทางเย่เทียนเฉินอย่างโหดดหี้ยม ในดวงตาเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน
หนึ่งหมัด เพียงแค่หนึ่งหมัดเท่านั้น หมัดนี้ของบลัดใช้แรงเต็มกำลัง ส่วนเย่เทียนเฉินเพียงแค่ยกหมัดขึ้นมาต้อนรับตามใจ ก็ทำให้เขาถูกต่อยจนกระเด็น มือขวาแหลกเหลวกระดูกหัก เกรงว่าชั่วชีวิตมือขวานี้คงไม่อาจใช้การได้ พิการไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เฟยอวิ๋นที่อยุ่อีกด้านหนึ่งก็ตกใจจนคางแทบร่วง บลัดเป็นคนที่เขารับมือ เมื่อสักครูทั้งสองสู้กันอย่างรุนแรงไปครึ่งชั่วโมงกว่า เขาย่อมเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ตามฝีมือแล้ว บลัดนับว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่สามคนนี้ แต่จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเพียงจุดเดียวก็คือพลังกาย พลังกายที่แข็งแกร่งมาก หนึ่งหมัดมีพลังถึงหนึ่งพันจวิน(ประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันกิโลกรัม) เมื่อสักครู่เฟยอวิ๋นเองก็โดนไปหลายหมัดจนเลือดแทบพุ่งกระฉูด
ตอนนี้ เย่เทียนเฉินเองก็สะบัดหมัดไปมา ท่าทางราวกับไม่ได้ใช้แรงมากมายอะไร แต่กลับซัดบลัดจนกระเด็นออกไปและมือขวาหักงอจนเลือดสดๆ หยดออกมา
“แก…” โกสต์กัดฟันลุกขึ้นยืน มือซ้ายกุมไหล่ขวาของตน มือขวาของเขาสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว กระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่มี นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเลย
“ดูแล้วกำปั้นของแกจะแข็งไม่พอ” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวกับโกสต์ด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้เอเชียขี้โรคเอ๊ย สมควรตายให้หมด!” บลัดตะโกนออกมาอย่างเกรียวกราด
เย่เทียนเฉินใบหน้ามืดครึ้ม ทันใดนั้นก็เหลือทิ้งไว้เพียงเงารางๆ ที่จุดเดิม ความเร็วเกือบจะถึงระดับสุดยอด เขาเองก็เริ่มโกรธบ้างแล้ว ไม่คิดเลยว่าในโลกแห่งนี้ ผ่านไปหลายปีขนาดนนี้แล้ว คำว่าไอ้เอเชียขี้โรค ประชาชนชาวจีนลืมเลือนกันไปนานแล้ว แต่ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในใจของชาวต่างชาติ พวกเขาดูถูกชาวจีนอย่างพวกเราจากก้นบึ้งของหัวใจ ผ่านหลายร้อยปีแล้ว ก็ยังคงเล่าลือกันรุ่นสู่รุ่นว่าพวกเราชาวจีนเป็นไอ้เอเชียขี้โรค
ซู่!
เลือดสดๆ สาดกระเซ็น ความเร็วของเย่เทียนเฉินเกือบจะถึงขีดสุด ดูเหมือนว่าคนทั้งหมดต่างก็เห็นไม่ชัดเจนว่าเขาลงมืออย่างไร จึงใช้มีดฟันหัวบลัดขาดได้ ตอนนี้บนร่างของเย่เทียนเฉินอัดแน่นไปด้วยบรรยากาศแห่งความดุร้ายจนโกสต์และชาโดว์ตกใจ แม้จะเห็นน้องสามถูกฆ่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่กล้าเข้าไปใกล้
“เอเชียขี้โรค? ฉันว่าคนประเทศMของพวกแกสิขี้โรค ต่อไปนี้ใครกล้าพูดคำนี้อีก แล้วถูกฉันเย่เทียนเฉินได้ยิน จะเป็นเหมือนไอ้หมอนี่!”
เมื่อกล่าวจบ เย่เทียนเฉินก็พลันโยนศีรษะของโกสต์ไปบนอากาศดังฟิ้ว ก่อนจะตกลงมาบนฟื้นอย่างแรง เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในฐานะของลูกหลานชาวจีน ในชาติก่อนก็เคยต่อสู้ทั้งวันทั้งคืน ปกป้องมนุษยชาติจากภัยอันตราย เขาไม่ได้แบ่งแยกชาติพันธุ์ เพราะว่าในชาติก่อนไม่มีประเทศอะไรอยู่เลย ไม่มีชนเผ่า มีเพียงแค่คุณอ่อนแอก็ถูกรังแกหรือถูกกิน นั่นเป็นโลกที่คนกินคนโดยแท้จริง มันก็ง่ายๆ เท่านี้เอง
แม้ว่าจะไม่มีการแบ่งแยกชาติพันธุ์ แต่เย่เทียนเฉินก็ยังเป็นลูกหลานชาวจีน ดังนั้นเขาจึงไม่อนุญาตให้ใครพูดจาดูถูกเผ่าพันธุ์ของตนเอง นี่คือความนับถือในชาติพันธุ์ สูงส่งเกินกว่าขอบเขตของปัจเจกบุคคลไปแล้ว
“น้องสาม ไอ้หมูตะวันออกสมควรตาย ฉันจะฆ่าแก…” ชาโดว์ได้สติกลับมาก็ตะโกนเสียงดังลั่นพลางพุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉิน
“ไป!”
โกสต์ลากชาโดว์ที่ต้องการพุ่งเข้าไปสู้แลกชีวิตกับเย่เทียนเฉิน เขารู้ดีว่าหากชาโดว์พุ่งเข้าไปจะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับน้องสามบลัดอย่างแน่นอน ชายวัยรุ่นชาวตะวันออกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่รู้ว่าทำไม ความเข้มข้นของกลิ่นไอแห่งความโหดเหี้ยมบนร่างจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสัตว์ร้ายที่โมโห ใครกล้าเข้าใกล้ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งโกสต์ก็ไม่ปฏิเสธโอกาสในการสู้กับเย่เทียนเฉิน ดังนั้นจึงลากน้องสองชาโดว์หนีไป
“ตามไป จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!” หลิวอวี่ได้สติกลับมาก็เรียกเจียงเหมิงแบะเฟยอวิ๋น เตรียมตามไปฆ่าโกสต์และชาโดว์
“ไม่จำเป็น ให้ฉันไปเถอะ พวกนายกลับไปคุ้มครองหลิ่วหรูเหมย” เย่เทียนเฉินเปิดปากกล่าว
“สหายเย่ ถ้าหากแดม่อนโกสต์กับชาโดว์หนีไปได้ อาจจะมีเรื่องยุ่งยากตามมามาก” ทัศนคติในใจของหลิวอวี่ที่มีต่อเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นคำเรียกก็ไม่เหมือนเดิม เขารู้ว่าบางทีเมื่อก่อนตนอาจจะเข้าใจเย่เทียนเฉินผิดไป คนหนุ่มที่มีฝีมือแข็งแกร่งอย่างมากคนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีความยโสเลยแม้แต่น้อย กลับมีคุณธรรมน้ำใจเป็นอย่างมา
“ผมรู้ครับ ดังนั้นผมต้องตามไปโจมตี แล้วก็ถือโอกาสทำลายรังของพวกกลุ่มทหารารับจ้างมารโลหิต พอถึงเวลาพวกคุณก็ไปทำการแลกเปลี่ยนก่อน ผมจะตามไปให้เร็วที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางพยักหน้า
เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นมองกันครู่หนึ่ง พวกเขาไม่ใช่คนที่ไม่ฟังเหตุผลอะไร เพียงแต่ตอนเริ่มแรกยังไม่มีความมั่นใจในตัวเย่เทียนเฉินก็เท่านั้น ก็แค่อายุยี่สิบปี ถึงกับมีฝีมืออันเก่งกาจเช่นนี้ รวมกับการเยาะเย้ยถากถางของเย่เทียนเฉินบนเฮลิคอปเตอร์ ทำให้พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ดูแล้วคำพูดเหล่านั้นของเย่เทียนเฉินเตือนสติพวกเขา ศัตรูครั้งนี้แข็งแกร่งมาก ไม่อาจลำพองใจได้ ไม่อาจดูแคลน และไม่อาจคิดไปเองได้
“สหายเย่ เรื่องราวที่ผ่านมาต้องขอโทษด้วย” เจียงเหมิงกล่าวอย่างจริงใจ
“ฉัน นายถูกพูด หองทัพเหยี่ยวเป็นกองทหารปัจเจกที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ แต่ที่ต่างประเทศยังมีองค์กรที่แข็งแกร่งกว่าอยู่…”
เย่เทียนเฉินมองเจียงเหมิงและฟยอวิ๋น ความจริงแล้วเย่เทียนเฉินค่อนข้างชื่นชมพวกเขาทั้งสอง เพียงแต่เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นโอหังเกินไป โอหังซึมลึกไปถึงกระดูก คิดว่ากองทัพเหยี่ยวไร้คู่ต่อกรในใต้หล้า นี่ช่างย่ำแย่เหลือเกิน เพราะเย่เทียนเฉินเข้าใจดีกว่า ในโลกนี้มีผู้แข็งแกร่งขากพรรควรุทธโบราณอยู่เช่นกัน และมีผู้มีพลังพิเศษที่พลังแข็งแกร่งอยู่ด้วย คนธรรมดาต่อให้เก่งกาจเพียงใด หากต้องปะทะกับคนเหล่านี้ ก็มีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้ก้าวเดิน
“พวกนายสามคนไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ดีดีเถอะ ปฏิบัติการแลกเปลี่ยนในคืนนี้ อย่ามาถ่วงขาพี่ชายก็แล้วกัน!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงไล่ตามโกสต์และชาโดว์ไป
ครั้งนี้ เมื่อได้ยินคำพูดไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ของเย่เทียนเฉิน หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างไม่โกรธ กลับรู้สึกว่าคนคนนี้ ในตอนที่จริงจังก็ยังแสดงนิสัยอันธพาลออกมาเล็กน้อย แม้ว่าจะดูเหมือนลูกผู้ดีเสเพลอยู่บ้าง แต่ก็มีความจริงใจต่อพวกพ้องเพื่อนฝูง
เย่เทียนเฉินพุ่งออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขาติดตามโกสต์และชาโดว์ไป ตอนที่สิบปีศาจแห่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตบุกโจมตีเข้ามา เย่เทียนเฉินก็มีแผนการอยู่แล้วว่าจะไม่ฆ่าทั้งหมด จะต้องเหลือไว้คนสองคน เพราะเขาจะใช้โอกาสนี้หารังของกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต และจัดการกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต ถอนรากถนอโคนองค์กรนี้ซะ มีเพียงเช่นนี้ถึงจะนับว่าได้แก้แค้นให้แกสหายศึกที่พลีชีพไปที่ป่าหมอกดำอย่างแม้จริง
เกิดเป็นอัจฉริยะ ตายไปก็เป็นผีวีรบุรุษ เกิดเป็นผู้ชาย หากไม่สามารถแก้แค้นให้พี่น้องของตนที่ตายไป ไม่สามารถคุ้มครองคนของตนได้และทำให้พวกเขาต้องพบกับความอัปยศ อยู่ไปจะมีความหมายอะไร?
“เย่เทียนเฉินล่ะ?” หลิ่วหรูเหมยกล่าวถามด้วยความร้อนใจ
หลิ่วหรูเหมยและหย่งชุนไท่ตามมา หย่งชุนไท่เพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นต่างก็อยู่ที่นี่ มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ไม่เจอ
“เขาตามไปฆ่าโกสต์และชาโดว์ครับ” หลิวอวี่กล่าวรายงาน
“เจ้าหมอนี่ทำไมบ้าบิ่นขนาดนี้ ไม่รู้รึไงว่าอย่าต้อนสุนัขให้จนตรอก?” ใบหน้าอันงดงามของหลิ่วหรูเหมยบูดบึ้ง กล่าวออกมาอย่างโกรธเคือง
“เขาบอกว่าถ้าถึงเวลาแล้ว ให้พวกเราไปทำการแลกเปลี่ยนก่อน เขาจะตามมาแน่” เจียงเหมิงกล่าว
“เจ้าโง่นี่ ช่างทำให้คนโกรธจนตายได้จริงๆ เลย” หลิ่วหรูเหมยปากก็ด่าเย่เทียนเฉิน แต่น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ให้อารมณ์ของภรรยาบ่นสามี
“เฮอๆ ไอ้หนูเย่เทียนเฉิน ถึงจะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่เมื่อกระทำใดๆ ก็รู้จักหนักเบา การต่อสู้ในครั้งนี้ยอดบอดี้การ์ดของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วตายกับเกือบหมด สูญเสียอย่างใหญ่หลวง ต่อไปอาจจะต้องเผชิญหน้ากับผู้มีพลังพิเศษ ก็ยิ่งอันตราย หวังว่าทุกคนจัเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย” หย่งชุนไท่กล่าวยิ้มๆ
“ครับ!” พวกหลิวอวี่ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน
หลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น ทั้สามเรียกรวมบอดร้การ์ดที่ยังไม่ตายและพอเคลื่อนไหวได้ให้เก็บกวาดคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วที่พินาศย่อยยับ กระทั่งมีศพอยู่เต็มพื้น มีทั้งศพไร้หัว และพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ มองดูแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นกลัว
“ไปเถอะคุณหนู เจ้าหนูนั่นไม่เป็นอะไรหรอก อย่าได้เป็นห่วงไปเลย!” หย่งชุนไท่เห็นหลิ่วหรูเหมยยืนอยู่กับพี่ มองไปยังประตูรั้วของคฤหาสน์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล จึงได้หล่าวขึ้น
“ใคร ใครเป็นห่วงเขากันคะ หนูก็แค่กลัวว่าถ้าเจ้าคนชั่วนั่นตายไป จะกระทบกับปฎิบัติการครั้งนี้” หลิ่วหรูเหมยได้สติกลับมาก็กล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่สายตากลับยังมีเจือแววกังวลที่มิอาจลบออกไปได้
หากจะกล่าวว่าหลิ่วหรูเหมยหลงรักเย่เทียนเฉินเข้าแล้ว ก็ดูจะเร็วเกินไป รวมกับเรื่องที่ถูกใส่ร้ายเมื่อก่อน ทำให้เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่ว่าโดยที่ไม่รู้ตัว ในใจของเธอก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อเย่เทียนเฉิน เปลี่ยนแปลงทัศนคติ เนื่องจากหากไม่ใช่เพราะเจ้าคนชั่วนั่น เธอก็เกือบจะตายไปแล้วถึงสองครั้ง เมื่อก่อนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ต้องพัวพันกันอุตลุด พบหน้สกันอย่างอึดอัดใจ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงช้าๆ ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะมีความรู้สึกต่อเธอหรือไม่ ในใจของหลิ่วหรูเหมยก็เป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว
หย่งชุนไท่เห็นทุกสิ่งเหล่านี้ในสายตา หลิ่วหรูเหมยก็เป็นดั่งหลานสาวแท้ๆ ของเธอ ถ้าหากหลิ่วหรูเหมยสามารถแต่งให้กับสามีที่แข็งแกร่งเช่นเย่เทียนเฉิน ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วและผู้อาวุโสตระกูลเย่จะเห็นด้วยหรือไม่? หรืออาจกล่าวได้ว่าด้วยนิสัยของเย่เทียนเฉิน หากถึงจุดนี้เข้าจริงๆ ผู้อาวุโสทั้งสองคงไม่หวังอะไรกับเขาแล้ว
เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าหลิ่วหรูเหมยเป็นห่วงเขา หากว่ารู้ เกรงว่าจะต้องเกิดสงครามปากครั้งใหญ่กับเธออีกครั้งเป็นแน่ ตอนนี้เขาตามการผันผวนของพลังของโกสต์และชาโดว์ไป ตามไปเงียบๆ ตลอดทาง เพื่อจะไปถอนรากถอนโคนกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต
โกสต์และชาโดว์คิดว่าพวกตนหนีมาได้แล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าถูกเย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ล็อคเป้าเอาไว้นานแล้ว ความผันผวนของพลังงานภายในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อสักครู่ที่ฆ่าบลัด เย่เทียนเฉินก็ใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ล็อคเป้าไปยังพลังภายในร่างกายของโกสต์และชาโดว์ ต่อให้พวกเขาวิ่หนีไปไกลเพียงใด ใช้วิธีไหนในการหนี ล้วนไม่มีประโยชน์ จะต้องถูกเย่เทียนเฉินติดตามไปได้อย่างแน่นอน
………………………………………………………………………..