เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 175 ถือโอกาสฝึกฝนกายเนื้อ
เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ใส่แว่นกันแดดสีดำขนาดใหญ่และผ้าปิดปากสีขาวเดินเข้าไปในหอพักนักศึกษาหญิง เย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว นี่เป็นผู้หญิงคนที่สี่ที่เขาพบตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัยหลงเถิง สองคนก่อนหน้านี้ก็คือหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยา จากนั้นก็เป็นผู้หญิงที่ลึกลับอย่างฉินเหยาเยว่ มักจะทำให้เขามีความรู้สึกไม่ถูกต้อง ตกลงว่าไม่ถูกต้องตรงไหนก็พูดไม่ได้ กลับรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับตัวเอง บางทีหลังจากนี้คงจะเปิดเผยก็ได้!
เย่เทียนเฉินมองท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาเสี้ยวหยา หลังจากที่ดังอยู่ประมาณสิบครั้งก็รับสาย
“หยาเอ๋อร์ เป็นยังไงบ้าง ไปกินข้าวกันได้หรือเปล่า?”
“อืม รอแปบหนึ่งนะ กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้!” เสี้ยวหยาพูดแล้ววางสายไป
รอสักครู่ก็ได้ เย่เทียนเฉินรอไปครึ่งชั่วโมงกว่า ถึงจะเห็นเสี้ยวหยาเดินออกมาจากหอพักนักศึกษาหญิงอย่างรีบร้อน ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อหอมๆ ดูท่าแล้วจะเก็บกวาดห้องจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่บ่นใบหน้าบริสุทธิ์นั้นดูยับยุ่งอยู่บ้าง
“ขะ ขอโทษที เมื่อครู่นี้ฉันถูพื้น เลยช้าไปหน่อย!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดขึ้น
“อย่าขยับ…”
“เอ๋? อะไรเหรอ?”
เสี้ยวหยาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินโดยไม่ขยับ เขาหยิบใยแมงมุมออกจากบนผมของเสี้ยวหยาเบาๆ พูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “วันนี้พวกเรากินวุ้นเส้นกันไหม?”
“อะ อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ไม่ทันระวัง พวกเราไปกันเถอะ เพื่อแสดงความขอโทษ ฉันจะพาเธอไปที่ที่หนึ่ง กินของอร่อย!” เสี้ยวหยาพูดอย่างน่ารัก
“ของอร่อย ของอร่อยอะไร?” เมื่อพูดถึงเรื่องกิน เย่เทียนเฉินก็กระตือรือร้นขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไปกินบาร์บีคิวเถอะ ในซอยเล็กๆซอยหนึ่ง บาร์บีคิวไม่เลวเลย!” เสี้ยวหยาพูดแล้วจึงยิ้มด้วยท่าทางน้ำลายสอ
“ฮ่าๆ ดูแล้วคงแอบไปกินบ่อยๆ แล้วถูกจับได้ล่ะสิ” เย่เทียนเฉินจงใจพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง
“นายสิถูกจับได้ เป็นร้านที่พ่อพาฉันไปกินเมื่อก่อน รสชาติไม่เลวเลย อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล!” เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไม่มีปัญหา เธอบอกทาง เดี๋ยวฉันจะขับรถไปหญิงชายร่วมมือกันทำงานไม่เหนื่อย!” เย่เทียนเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อือ!” เสี้ยวหยาไม่ได้เกรงใจ และไม่พูดอะไรมาก รู้ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้ปากไม่ดี เหมือนกับที่หลิงอวี่สวิ๋นพูด คนๆ นี้ในตอนที่ร้ายขึ้นมา ก็จะต้องใช้วิชาหยิกอันรุนแรงไปรับมือเขา
เย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์สุดหล่อไปจากประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิงด้วยกันกับเสี้ยวหยาท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ในตอนที่พวกเขากำลังจะจากไป ชายหลายคนเห็นก็เดินออกมาจากถนน มองรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินทะยานออกไป ชายคนหนึ่งเปิดปากเอ่ย “เมื่อครู่นี้พวกนายได้ยินชัดเจนหรือยัง? ก็เขาจะต้องไปที่ซอยแคบๆ นั่นแน่นอน ประกาศให้พี่น้องของพวกเรารู้ว่าพาคนไปปิดล้อมได้เลย”
“หึ ไอ้หนูนี่รนหาที่ตายจริงๆ ซอยเล็กนั้นทั้งหน้าทั้งหลังก็มีถนนอยู่เส้นเดียว สองด้านล้อมด้วยกำแพงสูงสามเมตร ถ้าปิดทางไว้ทั้งหน้าทั้งหลัง ต่อให้มีปีกก็หนีไม่รอด” ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยานัดกันโดยลำพัง ในใจของทั้งสองมีความสุขมาก ไม่มีใครมารบกวน มีเพียงพวกเขาสองคน นี่เป็นความสุขที่พูดไม่ได้ ทั้งสองเดินทางไปกินบาร์บีคิวในซอยแคบด้วยความเบิกบานใจ แต่กลับไม่รู้ว่าวิกฤตเป็นตายกำลังค่อยๆ เข้ามาใกล้พวกเขา
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเย่เทียนเฉินได้ไปถึงในซอยแคบนั้นแล้ว ที่นี่โด่งดังมากในเมืองหลวง เย่เทียนเฉินแม้จะไม่เคยมา แต่ก็เคยได้ยินมาก่อน เป็นซอยลึกที่มองไม่เห็นปลายทาง ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“ทำไมไม่เจอแล้วล่ะ? เมื่อก่อนก็ยังเห็นอยู่เลย จะย้ายไปตรงโน้นหรือเปล่านะ? พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” เสี้ยวหยามองไปด้านในอย่างน่ารัก เมื่อมองไม่เห็นจึงเอ่ยปากพูดขึ้น
“ได้!”
เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ ขับรถเข้าไปช้าๆ เมื่อขับรถเข้าไปในซอยลึกแห่งนี้ถึงครึ่งซอย เย่เทียนเฉินก็ชะงักไป ซอยนี้ปากทางทั้งสองกว้าง ตรงกลางแคบ สามารถให้รถเก๋งผ่านได้คันเดียว เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การลอบโจมตี
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากข้างหลัง ในขณะเดียวกันเบื้องหน้าก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น เป็นเสียงบิดคันเร่งสุดแรงที่เมื่อใครได้ฟังก็ต้องตกใจ
เสี้ยวหยาเองก็ตกตะลึง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้เธอถึงจะพบว่า ซอยแคบที่คึกคักมากทั้งซอยในสมัยก่อน ในตอนนี้กลับเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว
“หยาเอ๋อร์ อย่ากลัวไป อีกสักครู่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องอยู่ติดฉันเอาไว้”
เย่เทียนเฉินรู้ว่าถูกลอบโจมตีแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือมองโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณเลย ดูท่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมมาดี มีใจแน่วแน่ว่าต้องการฆ่าตนเอง เย่เทียนเฉินย่อมไม่กลัวอยู่แล้ว ล้อเล่นอะไรกัน ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน หากต้องการเก็บคนไม่กี่คนก็เป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย เพียงแต่ว่าเย่เทียนเฉินต้องการจะเล่นเป็นเพื่อนคนกลุ่มนี้เท่านั้น สิ่งที่เขาชอบที่สุดยังคงเป็นการใช้มือเปล่าฆ่าคน เช่นนี้จะค่อนข้างสดชื่น
หลังจากที่เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาลงจากรถ มอเตอร์ไซค์สองคันทั้งหน้าหลังขับพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ต้องการจะชนให้พวกเขาตาย และในมือของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนยังมีมีดตัดฟืนอยู่อีกด้วย
ทันใดนั้น สายตาของเย่เทียนเฉินสว่างวาบ ป้องกันเสี้ยวหยาให้อยู่ข้างหลังแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าขยับ!”
ในตอนที่เสี้ยวหยาได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็เคลื่อนไหวแล้ว พุ่งไปด้านหน้าหลายก้าวอย่างว่องไว เข้าไปรับมือกับมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้าย ใช้ขาเหยียบปีนไปบนกำแพงด้านข้างแล้วกระโดดขึ้น ต่อยหมัดออกไปอย่างหน้าอกของคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้ายคนนั้น จนกระเด็นออกไป
ไม่มีการชะงักแม้เพียงชั่วครู่ ในตอนที่เย่เทียนเฉินอัดคนขับรถมอเตอร์ไซค์ทางด้านซ้ายจนกระเด็นออกไปนั้น เขาก็แย่งมีดตัดฟืนในมือของคนผู้นั้นมา เหมาะสมทีเดียว คนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามาทางด้านขวาฟันมีดลงมายังศีรษะของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินตวัดมีดกลับไปโดยไม่หันไปมองแม้แต่น้อย สะอาดหมดจด เสียงอึกอักดังขึ้น คนขี่รถมอเตอร์ไซค์ทางด้านขวาถูกเย่เทียนเฉินตัดหลอดลมจนขาด เลือดสดๆทะลักไหลออกมา
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ตรงกลางซอยแคบอย่างเย็นชา รถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันทะยานเข้ามาจากด้านหน้าและด้านหลังของเขา เสียงตู้มดังขึ้นสองครั้ง รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีคนขี่ทั้งสองคันชนเข้ากับกำแพง เกิดเป็นเสียงระเบิดครั้งใหญ่ ไฟลุกท่วมฟ้า สะท้อนภาพของเย่เทียนเฉินที่ถือมีดอยู่ในมือ ยืนปกป้องเสี้ยวหยาอยู่กลางซอยราวคนเหล็ก
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ดังขึ้นจากปากซอยทั้งสองด้าน เขาขมวดคิ้ว เมื่อคำนวณจากเสียงฝีเท้าแล้ว อย่างน้อยก็มีสามสี่ร้อยคนที่ไหลทะลักเข้ามาในนี้ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเสี้ยวหยา ถึงแม้ว่าพลังพิเศษของเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เหนื่อยได้ ที่สำคัญก็คือ เขาต้องการเอาชีวิตของคนกลุ่มนี้ทิ้งไว้ที่นี่ เรื่องการหนีนั้น แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำมาก่อน อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ใช้พลังพิเศษ จะใช้มือเปล่าเปิดเส้นทางแห่งเลือดออกไป ถือโอกาสนี้ฝึกฝนกายเนื้อของตนเอง
“เทียนเฉิน…” เสี้ยวหยามองปากซอยซ้ายขวาทั้งสองทาง มีเงามืดครึ้มของกลุ่มคนไหลทะลักเข้ามา ในมือของแต่ละคนถือมีดตัดฟืนเอาไว้ ท่าทางโหดเหี้ยมดุดัน ใครมาเห็นก็ต้องขาอ่อน มีคนจำนวนเท่าไหร่กัน คนสามสี่ร้อยที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ไม่มีใครที่ไม่กลัว
“หยาเอ๋อร์ เธออย่ากลัวไปเลย อยู่ใกล้ฉันเอาไว้ ฉันจะฆ่าเปิดเส้นทางแห่งเลือดแล้วพาเธอออกไป!” มุมปากของเย่เทียนเฉินปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายแล้วพูดขึ้น
เสี้ยวหยาเห็นใบหน้าเยือกเย็นของเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นในใจของเธอก็ไม่หวาดกลัวขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว ความแน่วแน่มาดเข้มที่แพร่กระจายออกมาจากร่างของเย่เทียนเฉินทำให้เธอเชื่อใจ เชื่อใจในความสามารถของเย่เทียนเฉิน เชื่อว่าเขาจะต้องสามารถพาตนเองออกไปได้อย่างปลอดภัย
“อืม!” เสี้ยวหยาจับมือของเย่เทียนเฉินแน่นแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินยิ้มพยางพยักหน้า มือซ้ายจับมือเสี้ยวหยา มือขวากำมีดตัดฟืนแน่น มองไปยังกองทัพมีดตัดฟืนที่ล้อมเข้ามาทางหน้าหลัง ในใจของเขาไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงสังเกตอย่างระมัดระวัง ป้องกันว่าจะมีคนลอบโจมตีและจะทำให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ อย่างไรเสียกลุ่มคนที่ทะลักเข้ามาอย่างหนาแน่นทั้งซ้ายขวาสองด้านนี้ อย่างน้อยก็มีถึงสามสี่ร้อยคน
“เย่เทียนเฉิน ไอ้ลูกเต่า พี่หู่ของพวกเรามีคำสั่งมา ให้ตัดหัวของแกกลับไปรายงาน ไป…”
ชายฉกรรจ์ที่เดิมมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยา ใช้มีดตัดฟืนในมือชี้ไปยังจมูกของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม เพียงแต่น่าเสียดายที่คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงอึกอัก มีดตัดฟืนในเมืองของเย่เทียนเฉินแทงไปที่หน้าอกของเขาเรียบร้อยแล้ว…
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะรวดเร็วและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับส่งพี่น้องมาสามร้อยกว่าคน ทั้งยังมีมีดตัดฟืนอยู่ในมือ ล้อมตนเองไว้ในซอยแคบ ต้องการจะฟันคนให้เละเป็นโจ๊ก
เย่เทียนเฉินไม่คิดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ตั้งนานแล้ว เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษ จะถือโอกาสนี้ฝึกฝนการความสามารถของกายเนื้อของตนเสียหน่อย ดังนั้นจึงแทงมีดออกไปยังหน้าอกของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเองโดยไม่พูดไม่จา แล้วใช้เท้าถีบออกไปจนกระเด็น ชนเข้ากับคนกลุ่มใหญ่
เหล่าพี่น้องที่เป็นลูกน้องของอาหู่ที่เหลือได้สติกลับมา ต่างก็มีใบหน้าโหดเหี้ยมดุดัน กำมีดตัดฟืนในมือแน่น โอบล้อมเข้าไปยังเย่เทียนเฉินละเสี้ยวหยา
มือซ้ายของเย่เทียนเฉินจับมือเสี้ยวหยา มีดตัดฟืนที่อยู่ในมือขวาก็มีเลือดสดๆ หยดลงมา เมื่อถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าไว้ไมตรี ทางด้านพละกำลังไม่อาจแพ้ได้ ทุกการลงมือจำเป็นต้องเก็บชีวิตคนไปด้วย มิเช่นนั้นหากพลังกายเริ่มอ่อนแรง แล้วคนทั้งสามร้อยคนพุ่งเข้ามาด้วยกัน ต่อให้เป็นคนที่ร้ายกาจขนาดไหนก็ถูกฟันจนเละเป็นโจ๊กได้
“ฟัน ฟันมันให้ตาย!”
ในตอนนี้ อันธพาลคนหนึ่งได้สติกลับมาจึงตะโกนออกไปเสียงดังแล้วสะบัดมีดฟันเข้าใส่เย่เทียนเฉินเป็นคนแรก แววตาของเย่เทียนเฉินเย็นยะเยือก คมมีดเปล่งประกาย หลอดลมของอันธพาลน้อยผู้นั้นถูกตัดขาด ล้มลงท่ามกลางกองเลือดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในตอนนี้ เหล่าอันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสองด้านต่างก็ล้อมกันเข้ามา มีดตัดฟืนในมือขวาของเย่เทียนเฉินสะบัดออกไปไม่หยุด ทุกครั้งที่สะบัดจะต้องมีอันธพาลคนหนึ่งล้มลงไปนอนจมกองเลือด ไม่ถึงสองนาที บนพื้นก็มีศพล้มอยู่สิบกว่าศพ ตัวของเย่เทียนเฉินเต็มไปด้วยเลือด เพียงแต่เป็นเลือดของศัตรูทั้งนั้น
อันธพาลที่ถือมีดตัดฟืนอยู่ในมือทั้งสามร้อย กว่าคนต่างก็ชะงักไป จ้องมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง กระทั่งมีบางคนที่ร่างกายสั่นระริก พวกเขาเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมด้านมืดอย่างแท้จริง ฆ่าคนโดยไม่สนใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉิน ทุกครั้งที่ออกมีด ต่างก็ต้องมีคนสิ้นชีพ ฆ่าคนเป็นผักปลาราวกับเป็นคนเหล็ก ไม่มีสักคนเดียวที่จะไม่รู้สึกสั่นไหวและตกใจ
เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาที่อยู่ด้านหลัง จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าเธอจะเชื่อในความสามารถของเย่เทียนเฉิน แต่ก็ตกใจจนหน้าซีด ขาแทบจะก้าวไม่ออก เพราะว่าความจริงมันโหดร้ายนองเลือดจนเกินไป สถานการณ์ทำให้คนสั่นสะท้านจนเกินไป ถูกล้อมรอบด้วยศพหลายศพ เลือดสดๆ นองเต็มพื้น
……………………..