เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 183 สร้างอำนาจของตน
การปรากฏตัวของอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ระหว่างเขากับอู๋เสวี่ยไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกันมากนัก ที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ฆ่าอู๋เสวี่ยเป็นเพราะรู้สึกชื่นชมในนิสัยและความสามารถ ตอนนี้อู๋เสวี่ยมาหาเขาเพื่อมาบอกกับเขาว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั่งเครื่องบินเที่ยวพิเศษรอบดึกมาที่เมืองหลวง เห็นได้ชัดว่ากลับมาเพื่อฆ่าเย่เทียนเฉิน คุณชายเซวียนเยวี๋ยนอย่างเขายโสโอหังมาโดยตลอด ไม่อาจอดกลั้นความกล้ำกลืนนี้ได้
ท่าทางของเย่เทียนเฉินทำให้เลือดรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆ และก็รู้สึกนับถือด้วย ต้องกล่าวว่าเมื่อก่อนฉินเหิงเอย ลั่วเหลยเอย ลั่วซงเฉิงเอย พวกเขาต่างก็มีอำนาจของตระกูลไม่น้อย แต่สามารถเห็นได้ว่าจะมากจะน้อยก็มีวิธีการอยู่บ้าง แต่กับเซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นไม่เหมือนกัน ตระกูลโลกเบื้องหลัง เหตุใดจึงเป็นโลกเบื้องหลัง นั่นก็เพราะไม่ได้ปรากฏออกมาเคลื่อนไหวในสังคมภายนอกมานานหลายปีแล้ว บางทีอาจจะมีคนรู้จักน้อยมาก สำหรับเรื่องที่ว่าตระกูลที่ไม่มีใครรู้จักนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ก็ดูเหมือนว่าจะมีไม่กี่คนที่เข้าใจได้อย่างกระจ่าง ทุกครั้งที่ตระกูลที่แอบซ่อนตัวอยู่เหล่านี้ใช้อำนาจปรากฏตัวในโลกเบื้องหน้าอีกครั้ง มักจะแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความร้ายกาจของเซวียนเยวี๋ยนเถิงยังเหนือกว่าพวกฉินเหิงเสียอีก แต่เย่เทียนเฉินยังคงสามารถสงบนิ่งได้ นี่ทำให้อู๋เสวี่ยคิดไม่ถึง
“นายแข็งแกร่งมาก แต่ถ้านายมองตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็ผิดแล้ว!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวขึ้น
“ในสายตาของฉันเย่เทียนเฉิน ไม่มีอะไรถูกผิด มีแต่กำปั้นเท่านั้น นายมีเหตุผล ฉันยอมให้นาย นายไม่มีเหตุผล ฉันก็จะอัดนาย ง่ายๆ แค่นี้เอง!”
กล่าวจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ทำให้อู๋เสวี่ยตะลึงงัน รู้จักเพียงทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหากกล้ามาหาเรื่องก็จะถูกกำปั้นตอบโต้เท่านั้น นี่เป็นนิสัยแบบไหนกัน กระทั่งตนเองพี่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงก็ไม่อาจไม่นับถือ
“พี่ใหญ่!”
ทันใดนั้น อู๋เสวี่ยคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น หันหน้าให้แผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน ประสานหมัดคารวะ ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินที่หันกลับมามองอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ในใจคิดว่านี่มันเล่นอะไรกัน?
“นายหมายความว่าอะไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมอยากติดตามพี่ใหญ่ บุกยึดใต้หล้านี้ไปด้วยกัน!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้น
“บุกยึดใต้หล้า? ฉันไม่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นหรอก ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับครอบครัวเท่านั้นเอง!” ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกหวั่นไหว แต่กลับยังคงพูดออกมาพลางมองไปที่อู๋เสวี่ยอย่างเรียบเฉย
“พี่ใหญ่ โปรดอภัยที่ผมต้องพูดตรงๆ ตอนนี้คุณได้กลายเป็นอุปสรรคของเมืองหลวงไปแล้ว ทุกกลุ่มอำนาจอิทธิพลต่างก็ให้ความสนใจ หากให้พูดตามจริง คนคิดอยากจะอยู่สงบสงบก็ทำไม่ได้ เพราะพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่ ความโอหังบ้าอำนาจของพวกเขา จะไม่อนุญาตให้ใครก็ตามไปแตะต้อง…” อู๋เสวี่ยขมวดคิ้ว มองไปยังดวงตาของเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
ความจริงแล้ว ในตอนที่หูหลงต้องการจะติดตามตนเองนั้น เย่เทียนเฉินก็คิดถึงการสร้างฐานอำนาจของตนไว้แล้ว หลังจากที่กลับถึงเมืองหลวง เย่เทียนเฉินก็มีใจคิดอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด แต่กลับพบว่าไม่มีทางทำได้เลย มีกลุ่มอำนาจที่อันตรายอยู่มากเกินไป มีตระกูลที่ยโสโอหังอยู่มากเกินไป ทุกอำนาจทุกตระกูลต่างก็ต้องการเหยียบย่ำตระกูลเย่ ต้องการทำให้เย่เทียนเฉินตกอยู่ในความตาย เขาต้องการปกป้องครอบครัวของตน ต้องการปกป้องพ่อแม่และน้องสาวของตน ก็จำเป็นที่จะต้องลงมือ ต้องลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรง ต้องปราบกลุ่มอำนาจยโสโอหังเหล่านี้
ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินมีฐานะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้า เดิมทีก็มีแต่การฆ่าฟันและการพิชิตมาตลอดชีวิต เมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ ถึงแม้เขาจะหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเย่เทียนเฉินจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่รังแกได้ง่าย เขาคิดไว้นานแล้วว่า ในเมื่อมีคนมาหาเรื่อง สองหมัดของเขาก็จะไม่เกรงใจ กลับจะเป็นการเพิ่มความน่าสนใจความตื่นเต้นเล็กน้อยให้กับชีวิตอันน่าเบื่อของเขาด้วย เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวนัก จะได้ไม่ทำให้หมัดทั้งสองขึ้นสนิมไปเสียก่อน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงเรื่องการสร้างอำนาจของตน ตอนนี้กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละกลุ่มต่างจับจ้องตนเองอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพบว่ามีเรื่องน่าสนใจมากมาย เช่นการผสานวิชาแห่งพรรควรยุทธโบราณและพลังพิเศษเข้าด้วยกัน จะอย่างไรเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มอำนาจมากมาย ไม่ใช่ว่าจะสามารถลงมือเองได้ทุกเรื่อง ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะต้องวิ่งจนขาหักเข้าจริงๆแล้ว
เพียงแต่ว่าการสร้างอำนาจของตนไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น ต้องมีคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งและซื่อสัตย์ภักดซึ่งหายากยิ่งกว่ายาก เย่เทียนเฉินเคยคิดว่า หากเขาต้องการสร้างอำนาจ ลูกน้องจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งทั้งหมด ดูที่คุณภาพไม่ได้ดูที่ปริมาณ นอกจากจะต้องมีฝีมือดีแล้ว ยังต้องอยู่ในกฎระเบียบและวินัย จะต้องเชื่อฟังคำสั่งอย่างเด็ดขาด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ใช่คนสาระเลวที่หลงใหลในการฆ่าฟัน
“พี่ใหญ่ หลังจากที่ได้ต่อสู้กับคน ผมก็อยากจะติดตามคุณมาตลอด ผมรู้ว่าคุณมีความทะเยอทะยาน แล้วก็มีความสามารถจะทำเช่นนั้นด้วย ผมอู๋เสวี่ยไม่ขออะไร ขอเพียงสามารถสร้างชื่อเสียงได้ สามารถใช้ชีวิตเพื่อกระทำเรื่องราวที่มีความหมายได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักฆ่าเพียงเพราะชีวิตบีบบังคับ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการ!” อู๋เสวี่ยเห็นเย่เทียนเฉินยังคงลังเล จึงรีบเอ่ยปากพูดไม่หยุด
“นายจะติดตามฉันจริงๆ เหรอ? ตอนนี้ฉันตัวคนเดียว ไม่มีอำนาจอะไร เป็นไปได้มากว่าจะเดินไปได้ไม่ไกลก็จะตาย แล้วนายเองก็จะตายด้วย!” เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ยแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมอู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ความตายสำหรับผมแล้วไม่ได้น่ากลัวอะไร สิ่งที่น่ากลัวก็คือไม่ได้มีการต่อสู้ที่ทำให้เลือดร้อนตื่นเต้น” อู๋เสวี่ยยังคงมองเย่เทียนเฉินด้วยความแน่วแน่
กล่าวตามจริง เย่เทียนเฉินยังคงคิดอยากจะสร้างอำนาจเป็นของตนเองอยู่บ้าง อยากจะเล่นกับพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นอำนาจใหญ่ตระกูลใหญ่เหล่านี้ดูสักหน่อย เพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่าตระกูลเย่ของตนรังแกได้ง่ายเข้าจริงๆ หากพูดถึงตัวเลือกที่จะใช้ในการสร้างอำนาจของตน อู๋เสวี่ยย่อมนับรวมอยู่ในนั้นด้วย มีสมองอันชาญฉลาด มีฝีมืออันแข็งแกร่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือก็ทำเรื่องราวอย่างมีหลักการของตนเอง เย่เทียนเฉินชอบคนที่ทำอะไรมีหลักการแบบนี้มาก
“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พวกเรามาพนันกันเป็นไง?” ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินยิ้มออกมาอย่างนึกสนุกแล้วเอ่ยขึ้น
“พนัน? พนันอะไรครับ?” อู๋เสวี่ยเอ่อด้วยความสงสัย
“ถ้าหากว่าภายในสามเดือนนี้ นายสามารถรวบรวมยอดฝีมือที่มีความสามารถไม่เลวได้กลุ่มหนึ่ง ฉันก็จะรับนายมาเป็นน้อง ให้นายติดตามฉันไปท้าทายุทธภพด้วยกัน หากว่าทำไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากจะเห็นนายปรากฏตัวอีก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางมองอู๋เสวี่ย มุมปากปรากฏรอยยิ้มออกมา
อู๋เสวี่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกยินดีมาก เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหากเย่เทียนเฉินลงมือจะต้องสามารถสร้างอำนาจที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างแน่นอน และสามารถคุกคามอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ ทำให้พวกเขาไม่คิดเหลิงในอำนาจอีก เช่นนั้นจะต้องสนุกมากแน่ๆ เพียงแต่เย่เทียนเฉินต้องการให้ตนเองรวบรวมยอดฝีมือที่มีความสามารถไม่เลวมากลุ่มหนึ่งภายในสามเดือน ความจริงแล้วค่อนข้างยากอยู่บ้าง ในสังคมปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะมียอดฝีมือที่ซ่อนเร้นอยู่จำนวนมาก เช่นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษ แต่หากต้องการเชิญคนเหล่านี้มาก็ไม่ง่ายเช่นนั้น
“เป็นไง? ทำได้หรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม
“ไม่มีปัญหา พี่ใหญ่ มีบางคำที่ผมอยากจะพูดต่อหน้าคุณ หากว่ามีวันหนึ่งที่ฝีมือของคุณสู้ผมไม่ได้ ผมอู๋เสวี่ยก็จะจากไป หรือกระทั่งฆ่าคุณซะ!” อู๋เสวี่ยมองเย่เทียนเฉินยังเด็ดเดี่ยวแล้วพูดขึ้น
“ได้ มีความเด็ดเดี่ยวดี แต่ว่าฉันจะไม่ให้วันนั้นมาถึงหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง
“พี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยพูแล้วหัวเราะออกมาเช่นกัน
“ดีมากไอ้น้องชาย!”
เย่เทียนเฉินตบไหล่อู๋เสวี่ย มีผู้ช่วยอย่างอู๋เสวี่ยทำให้เย่เทียนเฉินดีใจมาก การสร้างอำนาจของตนเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ในตอนนี้อำนาจที่เป็นศัตรูกับเย่เทียนเฉินมากขึ้นทุกวัน เขาเพียงคนเดียวต่อให้จะร้ายกาจมากเพียงใด หากต้องรับมือรอบด้านก็คงไม่อาจทำได้ ตอนนี้จำเป็นจะต้องมีเหล่าพี่น้องที่มีจิตใจภักดีสักกลุ่มหนึ่งติดตามเขา และทำเรื่องต่างๆให้เขา
เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นรอเย่เทียนเฉินอยู่ที่ประตูใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ถึงจะเห็นเขาเดินออกมาจากสวนหย่อม หลิงอวี่สวิ๋นมองนาฬิกา เกือบจากบ่ายโมงแล้ว อดไม่ได้ที่จะทำแก้มป่องขึ้น มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดว่า “ทำอะไรน่ะ นานขนาดนี้เชียว?”
“ไปฉี่มา!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“นาย…น่ารังเกียจ!” หลิงอวี่สวิ๋นด่ากราด
เย่เทียนเฉินหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้า หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินหนังเหยียดหยาม กำมืออันขาวนวลแน่น อยากจะต่อยเย่เทียนเฉินให้ตายจริงๆ ส่วนเสี้ยวหยารู้สึกสับสนในใจ ในตอนนี้เธอกำลังคิดถึงคำพูดของแม่ มองแผ่นหลังที่ดูคล้ายอันธพาลของเย่เทียนเฉิน เธอไม่รู้ว่าตนเองคิดอย่างไรกันแน่ ชอบเย่เทียนเฉิน รักเย่เทียนเฉิน หรือ…
หลังจากที่กินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว เย่เทียนเฉินและเสี้ยวหยาก็นั่งรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นไปยังมหาวิทยาลัยหลงเถิง ในตอนนี้เองที่ประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง มีคนรอเย่เทียนเฉินอยู่นานแล้ว เตรียมที่จะสร้างความอัปยศให้เย่เทียนเฉินต่อหน้าผู้คน กระทั่งเตรียมที่จะฆ่าเขา
เมื่อรถสปอร์ตของหลิงอวี่สวิ๋นจอดอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ทันใดนั้นบอดี้การ์ดสูทดำสิบกว่าคนก็มาล้อมรถสปอร์ตเอาไว้ หลิงอวี่สวิ๋นขมวดคิ้ว ตระกูลหลิงของเธอเป็นตระกูลที่มีอำนาจอยู่บ้าง และไม่ใช่ตระกูลที่จะถูกผู้อื่นรังแกงได้ตามใจ
“พวกนายเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยถามเสียงต่ำ
“คุณหนูหลิง พวกเราไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ คนที่มีธุระกับพวกเราก็คือเย่เทียนเฉิน!” บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งพูดขึ้นพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน พวกนายมีเรื่องอะไรก็มาคุยกับฉันนี่!” หลิงอวี่สวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแต่กลับยังคงช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน
“คุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว เรื่องนี้คุณหนูหลิงรับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ พวกเราไม่อยากจะทำให้คุณลำบากใจ ให้เย่เทียนเฉินไปกับพวกเราเถอะ!” บอดี้การ์ดที่เอ่ยปากพูดคนแรกยังคงพูดต่อไป
“อะไรนะ? เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาแล้ว?” หลิงอวี่สวิ๋นกดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ท่าทางเย่เทียนเฉินจะทำให้เขาโกรธจริงๆแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาเพื่อหาเรื่องเย่เทียนเฉิน
“ถูกแล้วครับ ความหมายของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงชัดเจนมาก ต้องการให้เย่เทียนเฉินตาย ใครก็ช่วยเขาไม่ได้!”
คำพูดของบอดี้การ์ดชุดดำคนนั้นเย็นยะเยือกและมีอำนาจมาก ราวกับว่าความเป็นความตายของเย่เทียนเฉินถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงตัดสินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น เซวียนเยวี๋ยนเถิงต้องการให้ใครตาย คนนั้นก็ไม่รอด
“กลับไปบอกเซวียนเยวี๋ยนเถิงว่าให้เขามาหาฉันเอง ไม่งั้นเขาจะเสียใจ!
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเดินลงมาจากรถสปอร์ต มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ทุกครั้งที่เขาคิดจะลงมือฆ่า ต่างก็มีรอยยิ้มเช่นนี้ปรากฏออกมาทั้งสิ้น
………………………