เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 218 อวดดี!
อวดดี!!!
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวที่สูงส่งจะถึงกับเสียเปรียบเย่เทียนเฉินอย่างมาก ทั้งสองต่างก็ใช้ความสามารถทั้งหมดออกมา กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตาย สู้กันอย่างพอฟัดพอเหวี่ยงกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการต่อสู้ของคาเมดะอิจิโร่ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ยืนต่อหน้าเขายังเป็นชายวัยรุ่นชาวจีนคนหนึ่งเท่านั้น จะอย่างไรก็ทำให้เขายากที่จะรับได้
“ดี สำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของฉันจะช้าจะเร็วก็ต้องทำให้ยอดฝีมือแห่งประเทศจีนอย่างพวกแกได้รู้ว่า ใครแข็งแกร่งที่สุด!”
คาเมดะอิจิโร่พูดอย่างตรงไปตรงมา หลังจากที่กล่าวประโยคนี้ เขาก็กระโดดขึ้นหายไปในความมืด ไม่ได้รั้งรอและไม่คิดที่จะฆ่าพวกเย่เทียนเฉินทุกคนอีก เขารู้ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างมาก หากดื้อรั้นต่อไป คนที่จะตายจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ลูกน้องก็ตายไปแล้วหลายคนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ชีวิตตัวเองถึงจะสำคัญที่สุด
คาเมดะอิจิโร่ที่น่าสงสาร เดิมทีวางแผนกับสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวไว้ว่าจะขยายอิทธิพลเข้ามาในประเทศจีนอีกครั้ง เป้าหมายสำคัญก็เพื่อที่จะเอาชนะผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณแห่งประเทศจีน ไหนเลยจะรู้ว่า เขาเพิ่งจะพาลูกศิษย์ชั้นยอดแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาหลายคน พอมาถึงเมืองหลวงก็ได้รับการว่าจ้างจากพวกโจรขายชาติบางคน ให้มาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู
ในตอนที่ได้รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูเป็นทหารผ่านศึกคนหนึ่งทั้งยังเป็นคนที่มีอิทธิพลมาก คาเมดะอิจิโร่ก็รีบตั้งเงื่อนไขของตนออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่บรรลุจุดประสงค์แล้วก็พาศิษย์ชั้นยอดของสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวมาหลายคนเพื่อหมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู คิดว่าไม่เพียงจะใช้โอกาสนี้ตั้งมั่นในประเทศจีนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถข่มขู่ได้อีกด้วย ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจะประเมินความสามารถของยอดฝีมือแห่งประเทศจีนต่ำเกินไป ช่วงที่เกิดสงครามในปีนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขา วันนี้ก็ยังคงไม่อ่อนแอเช่นเดิม
สิ่งที่ทำให้คาเมดะอิจิโร่คิดไม่ถึงมากที่สุดก็คือเย่เทียนเฉิน คนคนนี้เป็นแค่เด็กวัยรุ่นอายุยี่สิบปีเท่านั้น ถึงกับมีความสามารถที่จะต่อสู้กับเขาได้ และเขาก็ลงมือเต็มกำลังแล้ว ยังทำได้เพียงบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถฆ่าเขาได้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้คาเมดะอิจิโร่รู้สึกตกตะลึงมาก หากว่าประเทศจีนมียอดฝีมืออายุน้อยเช่นนี้อีกหลายคน ไม่ใช่ว่าสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของเขาจะไม่มีที่ยืนเลยหรือ?
“อย่าให้ไอ้แก่นั่นหนีไป…” เฮยเมี่ยนเห็นคาเมดะอิจิโร่หนีไป จึงขยับร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเลือดจากบาดแผล คิดจะตามไป
“ไม่ต้องตามไปแล้ว ยังไม่ใช่คู่มือของเขาหรอก!” เย่เทียนเฉินค่อยๆ กดพลังพิเศษของตนเองลง ง้าวเทียนฟางในมือขวาซึ่งเกิดจากการสร้างรูปลักษณ์จากพลังพิเศษก็ค่อยๆ หายไปจนไม่เห็นอีก
เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉิน ในใจรู้สึกไม่พอใจ เพราะว่าการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าเขามากนัก ในฐานะที่เป็นขุนพลระดับทัพฟ้า เฮยเมี่ยนเคยยอมรับความพ่ายแพ้ที่ไหนกัน คำพูดนี้ของเย่เทียนเฉินก็เสียบแทงใจเขามาก อดไม่ได้ที่จะคิดว่า ความหมายของเย่เทียนเฉินก็คือ คุณฆ่าคาเมดะอิจิโร่ไม่ได้ ฉันก็จะฆ่าไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เฮยเมี่ยนเพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ ในใจก็เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และยังเตรียมที่จะไล่ตามไปโจมตีนั้น เย่เทียนเฉินก็มองไปที่เขาอีกครั้งแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ใช่ว่าฉันดูถูกแก คาเมดะอิจิโร่แข็งแกร่งมากจริงๆ ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เกรงว่าต่อให้แกกับฉันร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถฆ่าชายชราคนนี้ได้ รอให้พลังความสามารถแข็งแกร่งกว่านี้ซะก่อน ค่อยไปเก็บชีวิตของไอ้แก่นั้นมาเถอะ!”
“แก…” เฮยเมี่ยนถูกทำให้โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
“ระหว่างแกกับฉันยังต้องสู้กันอีกสักรอบ ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกัน แกคิดจะถูกคาเมะดะอิจิโร่ฆ่าหรือไง ถ้าตัวเองตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ชื่อเสียงของขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างแกต้องขายหน้า ทำให้ประเทศชาติต้องขายหน้าถึงจะเป็นเรื่องใหญ่!” เย่เทียนเฉินพูด แล้วเดินไปนั่งข้างโต๊ะหิน ไม่สนใจเฮยเมี่ยนอีก
เฮยเมี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว ในใจโกรธจนหาใดเปรียบ แต่กลับไม่ได้ตามไปโจมตีคาเมดะอิจิโร่ เย่เทียนเฉินพูดได้ไม่ผิดจริงๆ หาเขาตามไปโจมตีคาเมดะอิจิโร่แล้วแพ้กลับมา หรือกระทั่งเขาถูกฆ่าตาย เกรงว่าจะกลายเป็นความอัปยศของประเทศ กลายเป็นความอัปยศขององค์กรขุนพลระดับทัพฟ้า
ขุนพลระดับทัพฟ้านั้นแทบจะเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน เหนือกว่ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าเสียอีก สมาชิกธรรมดาของกองกำลังเหยี่ยวนักล่าและหน่วยมังกรฟ้าไม่สามารถเป็นคู่มือของขุนพลระดับทัพฟ้าได้เลย ดังนั้นจึงหมายความว่า ขุนพลระดับทัพฟ้าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ
เมื่อครู่นี้ที่เย่เทียนเฉินและคาเมดะอิจิโร่ต่อสู้กันอย่างเต็มกำลัง เฮยเมี่ยนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด และลอบตกตะลึงอยู่ในใจ ตกตะลึงฝีมือของไอ้แก่ยังคาเมดะอิจิโร่ และยิ่งตกตะลึงความสามารถอันลึกล้ำเกินคาดเดาของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้คนทั้งสองต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่ทำให้เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากตนเองสู้กับคาเมดะอิจิโร่ จะหยุดไอ้แก่นี่ได้หรือไม่?
แน่นอนว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าความสามารถของเฮยเมี่ยนอ่อนแอกว่าเย่เทียนเฉิน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงบอกว่าการตัดสินแพ้ชนะระหว่างเขากับเฮยเมี่ยนยังไม่รู้ผล จะอย่างไรการที่เขาเขาสามารถอัดชายชุดดำร่างกำยำไปได้หลายหมัด ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายถูกหญ้าสยบกายา และในชั่วพริบตาที่พลังแห่งการต่อสู้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น ทำให้ฆ่าเขาได้ภายใต้สถานการณ์ที่ชายชุดดำร่างกำยำไม่ได้ป้องกันตัว
ถึงแม้คาเมดะอิจิโร่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักฆ่า แต่เย่เทียนเฉินก็ทำได้แค่ขวางเขาได้แต่ก็ไม่อาจฆ่าเขาได้ ส่วนเฮยเมี่ยนคนเดียวก็สามารถรับมือกับมือสังหารชั้นยอดทั้งสามคน สามารถสู้ได้โดยไม่แพ้ และยังสังหารไปได้หนึ่งคนในชั่วพริบตา นับว่าแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน
เย่เทียนเฉินนั่งลงบนเก้าอี้หิน จางอีเต๋อรีบเดินเข้ามา เพราะไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินมีรอยมีดลึกอยู่หนึ่งรอย ดูเหมือนว่าเกือบจะฟันแขนซ้ายของเขาไปทั้งแขน เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด หากเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าจะต้องเลือดไหลหมดตัวตาย
“รั่วถง รีบไปหยิบกล่องยาออกมา!” จางอีเต๋อมองบาดแผลของเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงขมวดคิ้วพูดกับหลานสาว
“ค่ะ!” จางรั่วถงรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องยา
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินเข้ามา ฟื้นคืนสู่สภาพสวยงามราวฤดูใบไม้ผลิเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะมองออกนานแล้วว่ามู่หรงซินเป็นสาวงามคนหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเมื่อกำจัดหญ้าสยบกายาออกไปแล้ว มู่หรงซินที่หน้าแดงสุขภาพดีขึ้นมาจะงดงามมากขึ้นจนทำให้ผู้คนใจเต้น
“ไม่เป็นไร แข็งแรงเหมือนเสือเหมือนมังกรที่พาดโผน…” ในขณะที่พูดเย่เทียนเฉินยังคิดจะทำให้ผิวของเขาเปล่งแสงสักหน่อยก็ถูกจางอีเต๋อกดมือซ้ายเอาไว้
“ถ้าคุณไม่คิดอยากจะมีแค่แขนขวาไปชั่วชีวิต ทางที่ดีก็อย่าขยับ!” เขาพูดอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินยิ้มให้มู่หรงซินเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงส่งสัญญาณให้มู่หรงซินที่น้ำตาคลอเบ้าว่าอย่าได้ร้องออกมา
“อย่าได้ใช้พลังพิเศษ อย่าได้ต่อต้าน ผมจะหยุดเลือดให้คุณก่อน แล้วค่อยสมานแผล!” จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“อืม!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าแล้วผ่อนคลายลง มีจางอีเต๋อที่เป็นเซียนแพทย์เทวะอยู่ด้วย เขาเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
ภาพอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้น จางอีเต๋อวางมือขวาลงบนบาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน ฝ่ามือข้างขวาของจางอีเต๋อเริ่มมีแสงสีฟ้าปรากฏออกมา ท่ามกลางความมืดมิดที่ดูเด่นชัดเป็นพิเศษ บาดแผลของเย่เทียนเฉินที่เดิมทีมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย เลือดถึงกับหยุดไหลไปในพริบตา มิหนำซ้ำบาดแผลก็สมานกันด้วยความรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า นี่ดูไม่ต่างอะไรกับปาฏิหาริย์ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อว่าบนโลกแห่งนี้จะมีคนที่มีความสามารถพิสดารอยู่ด้วย
ในตอนที่ฝ่ามือข้างขวาของจางอีเต๋อเลื่อนออกจากบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน มู่หรงอวี๋ตูและคนอื่นๆ ต่างก็มองจนตาค้าง เพราะบาดแผลบนไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉินที่เดิมทีลึกจนเห็นกระดูก ถึงกับสมานตัวทั้งหมดแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่เป็นอะไรเลย เพียงแต่ยังมีรอยแผลเป็นอยู่บ้าง
“หวา ปรมาจารย์จาง รอยแผลเป็นนี้น่าเกลียดจริง วันหน้าก็จะมีผลกระทบกับความหล่อของผม มีวิธีทำให้มันหายไปไหมครับ?” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
“คุณก็หยุดซะหน่อยเถอะ หากต้องการหายเป็นปกติจะต้องใช้เวลาสักระยะ ผมเพียงแค่ทำให้กล้ามเนื้อเชื่อมกันชั่วครู่ และสร้างผิวหนังใหม่ขึ้นมาก็เท่านั้น ที่เหลือจะต้องดูแลบาดแผลให้ดีๆ!” จางอีเต๋อเปิดกล่องยาที่จางรั่วถงวางไว้บนโต๊ะหิน หยิบขวดยากระเบื้องเล็กๆ สีขาวออกมาขวดนึง เทผงยาที่ดูเหมือนยาประเภทสมานแผลลงไปบนบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายของเย่เทียนเฉิน
“นี่ ผมจริงจังมากนะครับ สาวงามที่วนเวียนอยู่ข้างกายผมเยอะมาก ถ้าพวกเธอเห็นจะต้องหนีผมไปไกลแน่!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางจริงจัง
ในตอนนี้ทุกคนต่างก็อับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินและรู้สึกคาดเดานิสัยของคนๆ นี้ไม่ได้ เมื่อครู่นี้ในตอนที่ต่อสู้กับคาเมดะอิจิโร่ บรรยากาศนั้นเหมือนกับเทพแห่งความตายที่ถูกปลุกขึ้นมา ไม่มีผู้ใดกล้าขวาง แต่ตอนนี้ถึงกลับมีสีหน้าเหมือนพวกอันธพาล คนคนนี้เป็นอันธพาลหรือเทพแห่งความตายกันแน่?
“ฮ่าๆ ตระกูลเย่มีเย่เทียนเฉิน นับว่าเป็นบุญของตระกูลเย่แล้ว ฉันเชื่อว่าเย่หย่วนซานคงจะดีใจมาก!” มู่หรงอวี๋ตูพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโสมู่หรง คุณอย่ามาหัวเราะผมนะ ตอนนี้พิษของหลานสาวคุณก็แก้แล้ว ชีวิตของคุณก็ปกป้องไว้ได้แล้ว ต่อไปนี้พวกเราไม่ติดหนี้กันอีก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยักไหล่
“แกช่วยหลานสาวของฉันและยังช่วยชีวิตของฉันมู่หรงอวี๋ตูอีก ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ตระกูลเย่ของแกจะกลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งของเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นก็จะ…”
คำพูดของมู่หรงอวี๋ตูยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินขัด เขาลุกขึ้นบิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง พูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ ผมไม่ชอบทำให้เรื่องมันซับซ้อน เราทั้งสองไม่ติดค้างซึ่งกันและกัน หากทุกคนไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปได้ ผมยังมีเรื่องต้องปรึกษากับปรมาจารย์จางอีก!”
“เย่เทียนเฉิน แกช่วยมีมารยาทกับผู้อาวุโสมู่หรงหน่อยเถอะ…” เฮยเมี่ยนจ้องเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“แกก็บาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ยังมีใจมาสนใจเรื่องมารยาทอีก รีบไปพันแผลที่โรงพยาบาลเถอะ อีกเดี๋ยวถ้าเลือดไหลหมดตัวจนสลบไปคงขายหน้าแย่!” เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยนแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ตอนนี้เอง รถทหารราวเจ็ดแปดคันจอดอยู่ด้านนอก ชางหลางและเหยียนหลงเดินเข้ามาพร้อมกัน ทำความเคารพมู่หรงอวี๋ตู ทั้งสองต่างก็พาสมาชิกชั้นยอดที่แข็งแกร่งที่สุดของกองกำลังของตนมาด้วย ในตอนที่พวกเขาเห็นศพของมือสังหารทั้งสี่ที่อยู่บนพื้น และเห็นว่ามีเย่เทียนเฉินอยู่ที่นี่ด้วยนั้น จึงรู้สึกเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาในทันที ไม่ต้องถามอะไรมาก ไม่ต้องพูดอะไรมาก สั่งให้ลูกน้องของตนนำศพของมือสังหารทั้งสี่คนไป ในขณะเดียวกันก็คุ้มครองมู่หรงอวี๋ตูและมู่หรงซินหลานสาวของเขาขึ้นรถ
“หะ ให้เบอร์โทรของคุณกับฉันได้ไหมคะ?” มู่หรงซินเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้นอย่างเขินอาย
………………………………