เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 230 คุณแม่แสดงอำนาจแล้ว
เย่เทียนเฉินยืนอยู่ด้านหลังของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้เขาทำเพียงมองไปยังแม่เฒ่าที่นอนอยู่บนเตียง นี่คือยายทวดของเขา ถึงแม้จะได้พบกันครั้งแรก แต่เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงความเมตตาแล้วความเป็นมิตร รวมกับความรักที่ยายทวดมีต่อแม่มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อยายทวดคนนี้มากขึ้น
หากไม่ใช่เพราะพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินรับรู้ได้ถึงความอ่อนเพลียของอวัยวะทั้งหมดในร่างกายของยายทวด เขาจะต้องไม่ยอมยืนมองยายทวดผู้เมตตาจากโลกนี้ไปเฉยๆ แน่นอน จะต้องไปตามหาเซียนแพทย์เทวะให้มารักษายายทวดของเขา เพียงแต่อวัยวะแต่ละอย่างอ่อนล้าลงมากแล้ว นี่เป็นโรคของคนชรา ไม่ได้เป็นอาการป่วย ดังนั้นเกรงว่าจางอีเต๋อก็คงไม่มีความสามารถที่จะรักษา
คุณอาคุณลุงของหลัวเยี่ยนทั้งหลายที่ยืนล้อมรอบอยู่บริเวณนี้ คนเหล่านี้เป็นญาติผู้ใหญ่ของเย่เทียนเฉิน ต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถึงแม้ว่าในหมู่พวกเขาจะมีคนที่ไม่พอใจต่อหลัวเยี่ยน และกลัวว่าครั้งนี้หลัวเยี่ยนจะถือโอกาสนี้กลับเข้ามายังตระกูลหลัวอีกครั้ง จึงต้องการที่จะไล่เธอออกไปให้เร็วที่สุด แต่กลับไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ แม่เฒ่าของตระกูลหลัวเป็นคนที่เทียบได้กับระดับไท่ซ่างหวง(จักรพรรดิองค์ก่อน) และใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ในเวลาแบบนี้ใครก็ไม่คิดที่จะทำตัวเป็นที่เพ่งเล็งของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัวเหยียนซงคุณพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งเป็นคุณตาของเย่เทียนเฉิน กำลังอยู่ระหว่างทางที่จะกลับมายังตระกูลหลัว ถ้าหากถูกเขารู้เข้า เกรงว่าต่อให้เป็นเทวดาก็ต้องถูกลงโทษตามกฎตระกูล
“เทียนเฉิน ลูกมานี่ มาให้ยายทวดของลูกดูหน่อย!” หลัวเยี่ยนนั่งอยู่ข้างเตียงโดยตลอด จับมือของคุณย่าของตนแน่น หันมาพูดกับเย่เทียนเฉิน
“ครับ!” เย่เทียนเฉินพยักหน้าเดินไปข้างเตียง ยายทวดเป็นหญิงชราที่มีเมตตาคนหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอสังหารใดๆ บนร่างของหญิงชราคนนี้เลย ก็เหมือนกับที่แม่พูด ยายทวดเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมาตลอดชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฆ่าคน หลายเรื่องราวที่อยู่อย่างสงบสุข แล้วทำธุรกิจอย่างเมตตาและมีความสุข บริจาคให้บ้านพักคนชราและบ้านเด็กกำพร้า รวมถึงบริจาคให้คนยากคนจนบนเขาไปมาก และไม่เคยหลงใหลในชื่อเสียงมาก่อน เธอมักจะพูดว่าคนดีย่อมได้รับการตอบแทน สวรรค์ย่อมมีความยุติธรรม
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังจะเดินเข้าไปนั้น ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่งจะมาขวางอยู่หน้าเย่เทียนเฉิน เธอสวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว โดยเฉพาะกำไลข้อมือหยกชิ้นใหญ่บริเวณข้อมือของเธอ ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก
“แกเข้าไปไม่ได้…” ผู้หญิงคนนั้นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างเย็นชา
“ทำไม?” เย่เทียนเฉินถามอย่างเรียบเฉย
“ทำไมน่ะเหรอ? ยายทวดของฉันสูงส่งมาก คนชั้นต่ำอย่างแกจะเข้าไปใกล้ได้หรือไง? ไสหัวไปทางนู้นซะ!” ผู้หญิงคนนี้หวังถ้ามีอำนาจมาก ดูเหมือนกับจะตั้งใจทำให้เย่เทียนเฉินอับอายต่อหน้าทุกคน
“ถูกต้อง แม่ของแกถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวไปนานแล้ว…”
“ไอ้ขยะสมควรตายนี่ ตระกูลหลัวเป็นที่ที่สามารถเข้าออกได้ตามใจหรือไง?”
“ไม่มีมารยาทเลยสักนิด เห็นผู้อาวุโสอย่างพวกเราก็ยังไม่รู้จักคารวะ”
“คุกเข่าโขกหัวเดี๋ยวนี้!”
เดิมทีคุณลุงคุณอาเหล่านี้ก็ไม่พอใจที่หลัวเยี่ยนกลับมาที่ตระกูลหลัวอยู่แล้ว พวกเขากลัวว่าการกลับมาของหลัวเยี่ยนในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมจะไปไหนอีก หลัวเหยียนซงก็แก่มากแล้ว ถึงแม้เรื่องเมื่อปีนั้นจะรุนแรง แต่ก็ยังเป็นลูกสาวของตัวเอง เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข นี่เป็นสายสัมพันธ์ของครอบครัวที่ตัดไม่ขาด เป็นกระดูกเป็นเส้นเอ็นที่ไม่อาจตัดขาด ใครจะสามารถรับประกันได้ว่า หลังจากที่หลัวเหยียนซงกลับมาถึงตระกูลหลัวแล้ว จะไม่ให้ลูกสาวย้ายกลับมาตระกูลหลัวเพื่อช่วยเขาจัดการธุรกิจ?
ในตอนเริ่มแรกทุกคนยังไม่กล้าก่อเรื่อง เพราะแม่เฒ่าตระกูลหลัวอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว หากว่าก่อเรื่องขึ้นมาในตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นที่เพ่งเล็งของทุกคน โดยเฉพาะถ้าหากว่าหลัวเหยียนซงรู้เข้า จะต้องมีโทสะคับฟ้าอย่างแน่นอน ความจริงแล้วพ่อของหลัวเยี่ยนเป็นคนที่ไม่สามารถดูเบาได้คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังกตัญญูต่อบุพการี เกี่ยวกับเรื่องของหลัวเยี่ยน หลัวเหยียนซงตัวเองก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัว แต่กลับไม่เคยโกรธคนในตระกูลหลัวเลย เพราะเธอรู้สึกคนเหล่านั้นต่างก็เป็นครอบครัวของเธอ หากพูดถึงหลัวเหยียนซงผู้เป็นพ่อ ในตอนที่ขับไล่ตัวเองออกมาจากตระกูล ถึงแม้จะเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก และไม่มีคำขอโทษออกมาแม้แต่ครึ่งคำ แต่หลัวเยี่ยนก็รู้สึกได้ถึงความลำบากใจของผู้เป็นพ่อ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เธอไปจากตระกูลหลัวแล้ว ได้ยินว่าพ่อของเธอป่วยอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ ถึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ทำให้หลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวอดไม่ได้ที่จะคิดว่า จะเป็นเพราะพ่อเองก็มีเรื่องลำบากใจอะไรหรือไม่?
“ยายทวดใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ยังมีคนรุ่นหลังที่เอาแต่ก่อเรื่องอย่างพวกคุณ ผมล่ะเสียใจจริงๆ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีตรงหน้าอย่างไม่พอใจ อยากจะตบปากแรงๆ สักครั้ง แต่ก็ยังอดทนเอาไว้ สาเหตุนั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือไม่อยากให้หญิงชราจากไปด้วยความเป็นทุกข์
“หึ แกนับเป็นตัวอะไรได้ถึงกล้ามาสั่งสอนฉัน ถ้าพูดถึงเรื่องอายุ ฉันก็เป็นญาติผู้พี่ของแก ที่นี่มีที่ให้แกสอดปากที่ไหนกัน ไสหัวออกไป!” ผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีชี้หน้าเย่เทียนเฉินแล้วแค่นเสียงเย็นออกมาพลางกล่าวด่า
เดิมทีผู้หญิงที่วิ่งออกมาอย่างกะทันหันเพื่อมาด่าเย่เทียนเฉินนี้ คือลูกสาวคนโตของพี่ใหญ่ของหลัวเยี่ยน ชื่อว่าหลัวชิงหง เป็นลูกสาวคนโตของคุณลุงของเย่เทียนเฉิน เป็นญาติผู้พี่ของเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายที่ญาติผู้พี่คนนี้ไม่มีความน่าเคารพเลื่อมใสแบบญาติผู้พี่เลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ยังออกมายืนด่าโดยไม่รู้ความ หากไม่ใช่ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะไล่เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนออกไปอยู่แล้ว เกรงว่าเธอคงจมน้ำลายตายแน่
เย่เทียนเฉินมองหลัวชิงหง สำหรับผู้หญิงปากร้ายคนนี้นั้นเขาไม่ต้องการที่จะใส่ใจอะไรให้มากมาย เขาไม่ทำร้ายผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำร้ายผู้หญิงปากร้าย ตอนนี้เขาไม่คิดจะลงมือเพราะไม่อยากก่อเรื่อง และไม่อยากทำให้แม่ต้องรู้สึกอึดอัด ที่สำคัญที่สุดก็คือยายทวดกำลังอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาไม่อยากทำให้หญิงชราคนนี้จากโลกนี้ไปด้วยความทุกข์
ทุกคนมองเย่เทียนเฉิน หลัวเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ความจริงสถานการณ์เช่นนี้ ระหว่างทางที่เดินทางมาเธอก็ได้คิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นในตอนที่อยู่บริเวณนอกประตู จึงไม่คิดที่จะให้ลูกชายเข้ามาด้วยกันกับเธอ ตอนนี้ครอบครัวตระกูลหลัวไม่มีความรู้สึกของครอบครัวให้เธอเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเป็นคนนอกอย่างไรอย่างนั้น
“ยายทวด ผมเอง ผมชื่อเย่เทียนเฉิน ผมกลับมากับแม่เพื่อเยี่ยมยายทวดแล้วครับ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างเตียง จับมือของยายทวดแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หญิงชราลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก รับรู้ได้ถึงบริเวณที่ถูกสัมผัส ที่เธอยังไม่ตายก็เป็นเพราะเธอยังมีเรื่องในใจที่ยังทำไม่สำเร็จ สิ่งที่ต้องการเห็นก็ยังไม่ได้เห็น
“เด็กดี แค่กๆ …แค่กๆ …” คำพูดของหญิงชรายังพูดไม่ทันจบก็ไอออกมาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาก็อาจจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ทุกคนต่างร่วมกันเข้ามา คิดว่าแม่เฒ่าตระกูลหลัวจะลมหายใจขาดห้วงแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนนี้เอง สีหน้าของหญิงชราจะแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับกลับมาจากความตาย ดวงตาก็ลืมขึ้นแล้ว เปล่งประกายขึ้นมาก โดยเฉพาะตัวคนที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ทำให้ทุกคนตกใจจนถอยหลังออกไป ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น มีเพียงหลัวเยี่ยนที่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด นี่คือความซาบซึ้งใจ เธอรีบยืนขึ้นประคองคุณย่าให้นั่งลงบนเตียง นำหมอนหลายใบไปวางไว้ข้างหลังให้เธอพิง
ทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมไปถึงหลัวเยี่ยนซึ่งเป็นแม่ของเย่เทียนเฉินต่างก็รู้สึกประหลาดใจ มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวถึงจะรู้ว่านี่เกิดขึ้นได้อย่างไร เขารู้ว่ายายทวดยังมีเรื่องติดค้างในใจที่ยังทำไม่สำเร็จ ไม่เต็มใจที่จะจากไปเช่นนี้ ดังนั้นในตอนที่เขาจับมือยายทวด จึงแอบส่งพลังพิเศษที่มีอยู่ในร่างกายเข้าไปยังร่างกายของยายทวด ซึ่งพลังพิเศษเหล่านั้นเป็นพลังพิเศษที่บริสุทธิ์ที่สุด ช่วยให้หญิงชราสามารถยืนหยัดต่อไปได้อีกสักครู่ เขาก็ทำได้เพียงเท่านี้ จะอย่างไรอวัยวะในร่างกายของหญิงชราก็ย่ำแย่มากแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะอยู่ต่อไป
“หลานคือเทียนเฉินเหรอ? ก่อนหน้านี้ตอนที่โทรคุยกับแม่ของเธอ ก็ได้พูดถึงเธอมาก่อนแล้ว หน้าเหมือนแม่จริงๆ ลูกชายที่เหมือนแม่นับว่ามีวาสนา!” แม่เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจิตใจจะดีขึ้นมาก
“ใช่แล้วครับยายทวด ยายทวดรู้สึกดีขึ้นไหมครับ?” เย่เทียนเฉินเองก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ดีขึ้นมากแล้ว ได้เห็นหลานกับแม่ของหลาน ยายก็มีความสุขมากจริงๆ มีความสุขมากจริงๆ …” แม่เฒ่ายิ้มหยังเมตตา
ในตอนนี้เอง หลัวชิงหงเห็นว่าเย่เทียนเฉินถึงกับเดินไปเบื้องหน้ายายทวดโดยไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตา และดูเหมือนว่าจะทำให้ยายทวดพึงพอใจและยินดีมาก ทันใดนั้นหลัวชิงหงจึงรู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น ตั้งแต่เล็กเธอก็อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลัว ไม่เคยเห็นยายทวดมีท่าทางแบบนี้กับตนเองมาก่อน เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่หลานนอกตระกูลเท่านั้น แม่ของเขาก็ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ไม่ใช่คนตระกูลหลัวนานแล้ว ยายทวดกลับรักและเอ็นดูพวกเขาแบบนี้ ยิ่งทำให้ในใจของเธอรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
“ยายทวด ยายดีขึ้นก็ดีแล้วค่ะ ตอนนี้ก็สามารถให้คนนอกสองคนนี้ออกไปได้แล้ว!” หลัวชิงหงไม่รู้จักกาละเทศะ มองหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น
ไม่รอให้แม่เฒ่ากล่าวอะไร เย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ถ้าหากเป็นยามปกติ บางทีหลัวเยี่ยนก็อาจจะอดทน เดิมทีนิสัยของเธอก็ใจดีอยู่แล้ว แล้วไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่น แต่วันนี้ ตอนนี้ คุณย่าของตน ญาติผู้ใหญ่ทุกคนในตระกูลหลัว ญาติผู้ใหญ่สายเลือดเดียวกัน กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนเพ่งเล็งมาที่เธอ ไม่ให้ยายทวดจากไปอย่างสงบใจ ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องมีความโกรธเคืองอยู่สามส่วน โดยเฉพาะกับคนสาระเลวเหล่านี้
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกคุณเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว? หรือว่าการที่ตระกูลหลัวรุ่งเรืองมากขึ้นทุกวัน ทำให้พวกคุณกลายเป็นคนที่เห็นแก่ชื่อเสียงและความมั่งคั่งไปทั้งหมดแล้ว? กระทั่งญาติพี่น้องที่เป็นดั่งมือเท้าของตัวเองก็สามารถเพ่งเล็งและทำร้ายได้? เธอเป็นญาติผู้น้อยของฉัน ตามหลักแล้วก็ควรจะเรียกฉันว่าอาหญิง แต่ตอนนี้เธอใช้น้ำเสียงแบบไหนพูดกับฉัน? พ่อของเธอสั่งสอนทำมาแบบไหน?” หลัวเยี่ยนทนไม่ไหวอีกต่อไป จ้องมองไปยังหลัวชิงหงแล้วพูดขึ้น
หลัวชิงหงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป ถอยหลังออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เด็กเธอก็เติบโตมาในตระกูลหลัว เคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่พูดกันถึงเรื่องเมื่อปีนั้นที่หลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลัวมาก่อน คนรุ่นเดียวกับเธอต่างก็คิดว่า หลัวเยี่ยนซึ่งเป็นอาหญิง เป็นคนใจดี แล้วเป็นคนที่รังแกได้ง่าย มิฉะนั้นเมื่อปีนั้นคงไม่ร้องไห้ไปจากตระกูลหลัว แต่คาดไม่ถึงว่าหลัวเยี่ยนในตอนนี้จะแสดงความโกรธออกมา นี่มากพอที่จะทำให้เธอต้องตกใจ โดยเฉพาะคำพูดของหลัวเยี่ยน ไม่เพียงแต่ทำให้หลัวชิงหงรู้สึกอับจนคำพูด แต่ยังอับอายจนหน้าแดงหูแดงไปหมด
“คุณ…ฉัน…” หลัวชิงหงหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ อับอายจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
“ไปเรียกพ่อของเธอมา ฉันต้องการจะถามเขาที่เป็นพี่ใหญ่สักหน่อยว่าสั่งสอนลูกสาวเขายังไง…” หลัวเยี่ยนมองไปยังหลัวชิงหงแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา
…………………………….