เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 259 ฆ่าให้หมด อย่าได้เหลือไว้
เย่เทียนเฉินมาถึงห้องห้องหนึ่งบริเวณชั้นสอง เพิ่งจะเดินเข้าไปก็ถูกปืนจ่อที่ขมับ หลี่ลี่ที่เมื่อสักครู่นี้ยังมีใบหน้าเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส เพียงชั่วขณะเดียวก็โผล่หางออกมา ปรากฏรอยยิ้มน่ารังเกียจที่มุมปาก มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน โกรธแค้นจนแทบจะอยากสั่งให้ลูกน้องลั่นไกฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายโดยทันที
ในตอนนี้ถ้าหากคนที่มาล้อมดูความคึกคักเมื่อสักครู่นี้ได้เห็นสีหน้าของหลี่ลี่ในตอนนี้ จะต้องตกใจจนหน้าซีดแน่นอน และในใจคงจะสัมผัสได้ถึงความรังเกียจและน่าขยะแขยงอย่างหาใดเปรียบ เนื่องจากจนถึงตอนนี้ใครก็ต้องเข้าใจกระจ่างว่า หลี่ลี่เป็นคนร้ายกาจ เป็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอาย เมื่อสักครู่นี้ตอนที่อยู่ในห้องโถงแค่แสร้งทำเป็นไม่เข้าข้างพรรคพวก แสร้งทำเป็นมีความยุติธรรม ไม่ปกป้องพ่างสยงน้องชายแท้ๆ ของตนที่ทำความผิด ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นแค่การเสแสร้งเท่านั้น เป็นแค่การหลอกลวงคนที่อยู่รอบๆ ความจริงทำให้คนต้องรู้สึกอยากจะอ้วก เสแสร้งได้เหมือนมาก
ตอนนี้เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ในตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ ความน่ารังเกียจขอหลี่ลี่ก็ถูกเปิดเผยออกมา ท่าทางดังคนถ่อยไร้ยางอายปรากฏชัดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาคิดว่าเย่เทียนเฉินอยู่ในกำมือของเขาแล้ว เขาอยากให้เย่เทียนเฉินตาย เย่เทียนเฉินก็ต้องตาย เขาอยากให้เย่เทียนเฉินอยู่ไม่สู้ตาย เย่เทียนเฉินก็จะต้องอยู่ไม่สู้ตาย
หลี่ลี่เป็นคนที่ยโสโอหังเป็นอย่างมากคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียนแล้วก็ยิ่งโอหังจนไม่เห็นหัวใคร จินตนาการได้เลยว่า ขนาดพ่างสยงน้องชายของเขายังหยิ่งยโสถึงขนาดนั้น เขาก็คงไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าเปรียบเทียบกันจริงๆ หลี่ลี่ยังชั่วกว่าพ่างสยงเป็นร้อยเท่า เนื่องจากเขาเป็นคนที่เสแสร้งมากคนหนึ่ง และเป็นคนที่โหดเหี้ยมมากเช่นกัน
“เสแสร้งมานานขนาดนี้ เสียเวลาไปนานขนาดนี้ พูดมาเถอะว่าจะเอายังไง?” เย่เทียนเฉินแย้มยิ้ม พูดออกมาอย่างเรียบเฉย
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน หลี่ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เนื่องจากท่าทางที่เย่เทียนเฉินแสดงออกมาในตอนนี้ทำให้เขารู้สึกเหนือคาด ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เขาคิดโดยสิ้นเชิง เขาเดาว่าบางทีเย่เทียนเฉินอาจจะมีเบื้องหลังอยู่บ้าง ดังนั้นถึงไม่หวาดกลัว แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปืนจ่อหัว เย่เทียนเฉินควรจะคุกเข่าร้องขอชีวิตถึงจะถูก ทว่าเย่เทียนเฉินในตอนนี้นอกจากจะไม่คุกเข่าขอชีวิตแล้ว ยังไม่มีท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่ครึ่งส่วน ทำให้หลี่ลี่รู้สึกแปลกใจจริงๆ
“หึ เสแสร้งไปเถอะ บิดาจะดูสิว่าตอนแกตายยังจะเสแสร้งได้อีกไหม…” หลี่ลี่พูดอย่างโหดเหี้ยม ในความคิดของเขา ตอนนี้เย่เทียนเฉินก็แค่ทำเป็นสงบนิ่งก็เท่านั้น ความจริงในใจคงจะหวาดกลัวจนแทบร้องขอชีวิต ขอเพียงตนมีท่าทางแข็งกร้าวกับเขาเล็กน้อย รับประกันได้เลยว่าจะต้องคุกเข่าขอชีวิตแน่นอน
“ฉันถามแกอยู่ แกจะเอายังไง? บอกเงื่อนไขมาสิ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“สิบล้าน” หลี่ลี่มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“อ้อ ความหมายของแกก็คือเงินสิบล้านหยวนสามารถซื้อชีวิตของน้องชายแกได้สินะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างเรียบเฉย
“แม่งเอ้ย พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย พูดมา จะตกลงหรือเปล่า…” หลี่ลี่จ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างหัวเสียแล้วตะโกนใส่
เย่เทียนเฉินส่ายหน้ายิ้มยิ้ม เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่ลี่จะเสนอเงื่อนไขแบบนี้ออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าในสายตาของหลี่ลี่ ชีวิตของน้องชายเขาจะมีค่าแค่สิบล้านเท่านั้น
ถึงแม้ว่าหลี่ลี่จะเป็นผู้จัดการใหญ่ของเทียนซ่างเหรินเจียน แต่ก็เป็นคนที่ไม่สำคัญอะไร เป็นแค่คนงานคนหนึ่งก็เท่านั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นคนงานระดับสูง คนที่ได้เงินจริงๆ คือเถ้าแก่ที่อยู่หลังม่าน ส่วนเขาได้เงินไม่เท่าไหร่ การจะได้รับเงินสิบล้านในเวลาเพียงชั่วครู่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ดังนั้นหลี่ลี่จึงถือโอกาสนี้หาเงิน คิดจะแบล็คเมล์เย่เทียนเฉิน ส่วนชีวิตของน้องชายเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าเงินตราก็ไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้นแล้วจริงๆ
“หึ ความจริงเมื่อกี้นี้ฉันกำลังคิดว่า ขออย่าให้แกเป็นคนถ่อยเลย เพราะฉันคนนี้ไม่ชอบฆ่าคนไร้เดียงสา ตอนนี้ดูแล้วไม่ลงมือคงไม่ได้!” เย่เทียนเฉินส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยความจนใจ
ความจริงดูเหมือนทุกคนจะคิดว่าหลี่ลี่เป็นสุภาพบุรุษที่มีความยุติธรรมคนหนึ่ง เมื่อต้องพบกับเรื่องของน้องชายก็ไม่ได้ปกป้องถือหาง กระทำตัวอย่างยุติธรรม แต่เย่เทียนเฉินกลับสัมผัสได้ ดังนั้นตลอดทางไม่ว่าหลี่ลี่จะพูดอะไรออกมาเย่เทียนเฉินก็ไม่เอ่ยปาก เนื่องจากพลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างของหลี่ลี่ เป็นบรรยากาศที่น่ารังเกียจมาก
ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากการคาดเดาของเย่เทียนเฉินจริงๆ หลี่ลี่เป็นคนถ่อยไร้ยางอายคนหนึ่ง เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม ตอนนี้หลี่ลี่ยโสโอหังอย่างถึงที่สุด คิดว่ากุมความเป็นความตายของตนเอาไว้ในกำมือแล้ว ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพชจริงๆ
จะอย่างไรคนที่น่าสงสารก็จำเป็นต้องมีส่วนที่น่ารังเกียจ เย่เทียนเฉินจะลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีแน่นอน คนแบบนี้น่ากลัวกว่าคนถ่อยเป็นสิบเท่า วันนี้ยังงดีที่ได้มาพบกับเขา ถ้าหากไปเจอคนอื่นเกรงว่าคนที่ซวยคงจะเป็นคนอื่นแล้ว ชีวิตของคนแบบนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้
“แม่งเอ๊ย ปากแข็งจริง ฉันจะลั่นไกใส่สมองแกซะตอนนี้…”
คำพูดที่อยู่ในปากขอหลี่ลี่ยังไม่ทันจบ ลำคอของเขาก็ถูกเย่เทียนเฉินบีบแน่น ในตอนนี้เอง บอดี้การ์ดสองคนที่ใช้ปืนจ่อมาที่ขมับของเย่เทียนเฉิน ลั่นไกปืนแทบจะพร้อมกัน เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อลูกกระสุนในปืนของพวกเขายิงไปถูกขมับของเย่เทียนเฉินก็เกิดเสียงดังราวกับโลหะกระทบกัน จากนั้นจึงตกลงสู่พื้น ทำให้บอดี้การ์ดที่ยิงปืนทั้งสองคนตกใจจนตาค้าง
น่าเสียดาย ในตอนที่บอดี้การ์ดสองคนที่ใช้ปืนจ่อหัวเย่เทียนเฉินกำลังตกตะลึงอยู่นั้นก็สิ้นชีพไปเสียแล้ว เรื่องที่พวกเขาไม่ควรทำที่สุดก็คือลั่นไกใส่เย่เทียนเฉิน และถูกฉากตรงหน้าทำให้สั่นสะท้าน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครที่สามารถป้องกันลูกปืนได้ คนคนนี้เกิดมาจากอิฐจากปูนหรือไง?
ลูกปืนจากปืนสองกระบอก ยิงไปบนร่างของเย่เทียนเฉิน แล้วตกลงสู่พื้น เนื่องจากเย่เทียนเฉินใช้โล่พลังพิเศษที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นนานแล้ว โดยศูนย์กลางอยู่บริเวณปากกระบอกปืน นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ก็แค่เคล็ดวิชาที่สามารถทำให้โล่พลังพิเศษยืดขยายได้เท่านั้น ส่วนโล่พลังพิเศษ ไม่ต้องพูดถึงปืนเลย ต่อให้เป็นระเบิดขีปนาวุธก็เกรงว่าจะยิงไม่เข้า นอกจากจะเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง
ปัง!
บอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ตามหลี่ลี่เข้ามาด้านหลังถูกอัดปลิวออกไปชนกับกำแพง มุมปากมีเลือดไหลออกมาลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรง เขาได้เห็นเย่เทียนเฉินฆ่าคนไปสี่คนอย่างต่อเนื่องโดยไม่ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งลูกปืนก็ทำร้ายเขาไม่ได้ อีกทั้งตลอดเวลาก็มีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง นี่เป็นรอยยิ้มของเทพแห่งความตายจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วไหนเลยจะยังกล้าลงมือฆ่าฟันอยู่อีก ตกใจจนขาอ่อนลงไปคุกเข่ากับพื้นตั้งนานแล้ว
“สหาย หยะ อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉันเลย…” บอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่กับพื้นพูดด้วยเสียงอันสั่นระริก
“พวกคุณชายที่อยู่ชั้นสามมาถึงกันทุกคนหรือยัง? วันนี้พวกเขานัดรวมตัวกันหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินถามยิ้มๆ
“เอ๋?” บอดี้การ์ดคนนั้นชะงัก คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถามถึงเรื่องบนชั้นสาม ดังนั้นจึงรู้สึกสงสัย
“นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่แกจะได้พูดแล้ว…”
“ถึงแล้ว มาถึงกันหมดแล้วมั้งครับ วันนี้พวกเขามีนัดรวมตัวกัน!” บอดี้การ์ดคนนั้นได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยปากพูด
“ขอบคุณ!”
พลั่ก!
บอดี้การ์ดคนนี้ล้มลงกับพื้นเนื่องจากเย่เทียนเฉินหักคอเขา สำหรับศัตรูแล้วเขาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยเด็ดขาด ในจุดนี้เกรงว่าไม่ต้องพูดทุกคนก็รู้ ถ้าคุณไม่ฆ่าศัตรู เป็นไปได้ว่าจะพาความยุ่งยากอันมหาศาลมาให้คุณ กระทั่งอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในอนาคตของคุณก็เป็นได้
ไม่ผิดไปจากที่เย่เทียนเฉินคาดเดาเลยแม้แต่น้อย พรรคคุณชายมีการรวมตัวกันในวันนี้จริงๆ เมื่อสักครู่นี้เขาดูเวลา พบว่าวันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ก่อนหน้านี้ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์พรรคคุณชายจะเปิดประชุมกัน ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการเปิดประชุมแต่ความจริงก็คือการกินดื่มเที่ยวเล่น เป็นการพบปะกันระหว่างอำนาจของพวกเขา ทำให้เป้าหมายของตนบรรลุผล นอกจากนี้ยังเป็นการรายงานลูกพี่ใหญ่อย่างตรงเวลา ดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์นี้ของพรรคคุณชายจะไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ไป๋อู่ยังคงทำตามต่อไป
ที่เย่เทียนเฉินเล่นเป็นเพื่อนหลี่ลี่นั้น ความจริงเป็นเพราะเขากำลังรอ จากการคำนวณของเขา ต้องรออีกสักพักพรรคคุณชายถึงจะเริ่มรวมตัวกัน ส่วนตอนนี้ก็คงใกล้ได้เวลาแล้ว
ทุกวันนี้ไป๋อู่กลายเป็นนายท่านสองของพรรคคุณชายไปแล้ว หลิ่วหรูเหมยบอกว่าไป๋อู่เป็นนายท่านสอง ความจริงก็คือลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย เนื่องจากลูกพี่ใหญ่ที่แท้จริงของพรรคคุณชายในตอนนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะมีแค่ไม่กี่คนในพรรคคุณชายที่รู้จักเขา ดูเหมือนไป๋อู่จะเป็นคนจัดการทุกเรื่อง ตำแหน่งของคนคนนี้สูงส่งมากจริงๆ แตกต่างกับในอดีตโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ไป๋อู่ในวันนี้จะยังจำเย่เทียนเฉินได้หรือไม่?
เย่เทียนเฉินเดินออกมานอกห้องแล้วปิดประตูลง ในตอนนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในห้องมีศพเพิ่มมากขึ้นอีกห้าศพ ส่วนหลี่ลี่ที่เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอมน่ารังเกียจก็ไปพบพญายมเรียบร้อยแล้ว แม้ในฝันเขาก็คงคิดไม่ถึงว่า เขาที่คิดว่าตัวเองฉลาดและรู้จักวางแผนอย่างร้ายกาจ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินจะอ่อนแอถึงขนาดนี้
มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มือขวาหยิบซิก้าออกมามวนหนึ่ง เย่เทียนเฉินออกแรงที่มือขวาเล็กน้อย กรอกพลังพิเศษเข้าไปในซิก้า หัวของซิก้าก็ถูกจุดไฟขึ้น จากนั้นจึงนำมาสูบในปาก เดินทอดน่องไปบริเวณส่วนหน้าสุดของชั้นสอง เขาต้องการขึ้นไปที่ชั้นสาม ถึงแม้จะสัมผัสได้ว่าที่ชั้นสามมีบอดี้การ์ดถือปืนอยู่หลายคนซึ่งมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถขัดขวางการก้าวเดินของเย่เทียนเฉินได้ เขารู้สึกคาดหวังอยู่บ้าง ในตอนที่ไป๋อู่เห็นเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ในตอนที่พรรคคุณชายเหล่านี้เห็นเย่เทียนเฉินที่เป็นคนไม่สำคัญที่ถูกพวกเขาหยอกล้อเยาะเย้ยและก่นด่าในวันวาน จะมีปฏิกิริยาอย่างไร จะเหมือนเดิมหรือไม่? น่าเสียดายที่เขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว รรู้จักแค่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน!
“หยุด ไสหัวไปซะ ที่นี่เป็นที่ที่แกเข้าไปได้หรือไง?” บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่บริเวณปากทางของชั้นสองแตกต่างไปกันจริงๆ เจ้านายเหล่านี้โอหังมากขนาดไหน สุนัขที่เลี้ยงก็โอหังตามขนาดนั้น ถึงกับบอกให้เย่เทียนเฉินไสหัวไปโดยตรง
“ไสหัวไป ถ้ายังไม่ไปอีกก็ตายซะ!” บอดี้การ์ดอีกคนก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ โอหังจนถึงขั้นใช้มือไปลูบคลำด้านหลังในตำแหน่งที่มีปืนอยู่
สำหรับบอดี้การ์ดที่คุ้มครองพรรคคุณชายซึ่งเป็นพวกคุณชายเสเพลเหล่านี้ ดูเหมือนว่าหากพวกเขาจะยิงปืนฆ่าคนก็ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไร เพียงพูดแค่ประโยคเดียวว่าทำเพื่อคุ้มครองคุณชายเสเพลทั้งหลาย ก็จะมีตระกูลของคุณชายเหล่านี้คอยจัดการให้ แล้วยังตบรางวัลให้บอดี้การ์ดพวกนี้อีกด้วย เห็นได้ว่าในสายตาของตระกูลใหญ่เหล่านี้ ชีวิตของคนธรรมดาก็เป็นแค่มดปลวกเท่านั้น
………………