เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 260 พวกเด็กๆ กลุ่มนี้
ชั้นสามของเทียนซ่างเหรินเจียนถูกคุณชายของพรรคคุณชายทั้งหมดเหมาเอาไว้แล้ว บางทีอาจจะมีคนที่ไม่รู้จักพรรคคุณชาย แต่เย่เทียนเฉินนั้นรู้จักเป็นอย่างดีแน่นอน ความจริงพรรคคุณชายก็คือกลุ่มคนที่เป็น “พรรคพวกของลูกหลานนักการเมือง” เพียงแต่เมื่อก่อนยิ่งใหญ่เกินไป ยิ่งใหญ่จนถึงระดับที่สามารถกุมอำนาจทางด้านต่างๆ หลายด้านของเมืองหลวงเอาไว้ในมือทั้งหมดได้ ทำให้คนระดับสูงของประเทศเริ่มให้ความสนใจ จึงถูกอำนาจของตระกูลแต่ละตระกูลเข้าควบคุมให้พวกเขาสงบเสงี่ยมบ้าง ด้วยเหตุนี้จึงได้กลายเป็นพรรคคุณชายขึ้นมา
แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่าพวกทายาทตระกูลสูงเหล่านี้มีนิสัยยโสโอหังจนเคยตัว และไม่สามารถเก็บอาการได้ กล่าวคือพรรคคุณชายเป็นการรวมตัวกันของทายาทตระกูลต่างๆ ทำให้หยิ่งทะนงกันมากขึ้น เป็นการรวมกลุ่มเพื่อทำตามใจปรารถนาโดยแท้
“ได้ยินหรือเปล่า รนหาที่ตายหรือไง ไสหัวไปให้บิดาซะ!” บอดี้การ์ดถือปืนคนหนึ่งเดินมาด้านหน้า มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยหน้าตาทะมึงทึง คิดจะลงมือ
มุมปากของเย่เทียนเฉินคาบซิก้าเอาไว้ มือซ้ายล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสุนัขน่ารังเกียจของพรรคคุณชายก็ยังสามารถมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มได้ ราวกับไม่ได้ยินพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
บอดี้การ์ดถือปืนอีกคนนึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พุ่งเข้าไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินในเวลาเพียงชั่วพริบตา ซัดหมัดออกไปยังเย่เทียนเฉิน ยโสโอหังและบ้าอำนาจเป็นอย่างมาก
กรอบ!
นั่นคือเสียงกระดูกหัก บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามาลงมือกับเย่เทียนเฉินถูกหักข้อมือขวาอย่างแรง ในตอนที่เขายังไม่ทันได้ร้องออกมาบอดี้การ์ดอีกคนก็หยิบปืนมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว คิดจะลั่นไกยิงไปยังเย่เทียนเฉิน เพียงแต่น่าเสียดายต่อให้เขาจะเร็วยิ่งกว่านี้ก็ไม่เร็วกว่าเย่เทียนเฉิน เพิ่งจะแตะโดนด้ามปืนก็ถูกเงาร่างเงาหนึ่งปะทะเข้ามา นั่นเป็นร่างของเพื่อนร่วมงานของเขา เพื่อนร่วมงานที่ถูกเย่เทียนเฉินหักแขนขวาไปแล้วนั่นเอง
บอดี้การ์ดทั้งสองที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่นั่นเฉพาะสำหรับคนทั่วไป เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉินก็ทำได้แค่ถูกอัดเท่านั้น ดูเหมือนว่าทั้งสองคนยังไม่มีโอกาสได้ลงมือก็ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมดแล้ว
“แก…รู้ไหมว่าชั้นสามมีใครอยู่?” บอดี้การ์ดที่มือขวาหักจนกระดูกโผล่ออกมา มีเลือดไหลออกมาเป็นสาย จ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาเจือไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนบอดี้การ์ดที่ถูกเขาชน ศีรษะไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรงจนสลบไปแล้ว
“รู้สิ ไม่ใช่คนของพรรคคุณชายหรือไง?” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยปาก
“งะ งั้นแกยังกล้าขึ้นไปอีก มีกี่ชีวิตก็ไม่พอตาย!”
“แกพูดผิดแล้ว คนที่ต้องตายคือพวกมัน ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำ ยังต้องอยู่ต่อไป!” เย่เทียนเฉินพูดกับบอดี้การ์ดคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน บอดี้การ์ดก็ชะงักไปโดยสิ้นเชิง ไม่รู้เป็นเพราะความเจ็บปวดที่มาจากการถูกหักข้อมืออย่างแรงหรือเป็นเพราะคำพูดของเย่เทียนเฉินที่ทำให้เขาสั่นสะท้านจนมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมาบริเวณหน้าผาก สีหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ คนตรงหน้านี้เป็นใครกันแน่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าชั้นสามมีทายาทตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจอิทธิพลและมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากพอจะทำให้คนตกใจตายได้รวมตัวกันอยู่ ถึงกับยังกล้าขึ้นไปหาเรื่องอีก ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะไม่เห็นทายาทกลุ่มนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ตกลงแล้วเขาเป็นใครกันแน่?
เย่เทียนเฉินเดินก้าวขึ้นไปที่ชั้นสามทีละก้าวๆ ในตอนที่เพิ่งจะเดินไปถึงทางเลี้ยวบริเวณชั้นสอง เขาพลันหมุนตัวครั้งหนึ่ง พลังพิเศษสายหนึ่งพุ่งทะลุออกมาจากนิ้วชี้ขวา ซัดพุ่งไปยังหน้าผากของบอดี้การ์ดคนที่เหลือจนทะลุตายคากำแพง นั่นเป็นบอดี้การ์ดที่เกือบจะใช้มือซ้ายลั่นไกปืน นับว่าเขารนหาที่ตายเอง
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงชั้นสามก็ไม่ได้หลบซ่อน และไม่ได้เดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องหลบแล้ว ต่อให้พลังพิเศษแห่งการรับรู้จะทำให้เขารู้ว่า ภายในชั้นสามแห่งนี้จะมีบอดี้การ์ดชั้นยอดพร้อมด้วยอาวุธปืนยืนอยู่ทุกระยะสิบเมตร แต่นี่ก็ไม่สามารถขัดขวางการก้าวเดินของเขาได้ วันนี้เขามาก็เพื่อมาหาไป๋อู่ วิธีที่ใช้ก็เรียบง่ายที่สุดและเปิดเผยตรงไปตรงมาที่สุด บางครั้งการรับมือกับคนเจ้าเล่ห์ ปลิ้นปล้อนและฉลาดเฉลียว การใช้กำปั้นอัดเขาตรงๆ จะมีผลลัพธ์มากที่สุด ขี้เกียจจะไปพูดจาไร้สาระกับเขาให้มากความ เสียเวลารับมือ
“ใคร?”
“โธ่เว้ย พวกแกยังอึ้งอะไรกันอยู่ ยิงมันสิ!”
เย่เทียนเฉินที่เพิ่งจะเดินขึ้นมาถึงชั้นสาม และกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องสังสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ส่วนท้ายของชั้นสาม ในชั่วขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้น บอดี้การ์ดชั้นยอดสิบกว่าคนในชั้นสามก็ควักปืนออกมา ยิงไปที่เขาอย่างที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างเข้มงวด เพียงแต่เขาใช้พลังเขตแดนปิดกั้นที่ไร้รูปลักษณ์นานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้โล่พลังพิเศษสร้างเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าขวางเอาไว้เบื้องหน้าของเขาอีกด้วย
เสียงยิงปืนและเสียงตะโกนของบอดี้การ์ดชั้นยอดสิบกว่าคนนี้ไม่อาจแพร่ออกไปได้ ลูกกระสุนปืนที่ยิงกระทบลงบนร่างของเย่เทียนเฉินก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย ทุกคนสูดหายใจเย็นยะเยือก แต่กลับยังคงบุกเข้ามาโดยไม่ยอมแพ้ คนที่พวกเขาคุ้มครองก็คือคุณชายของพรรคคุณชาย ไม่ว่าใครก็เป็นคนที่พวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้ ไม่ต้องพูดถึงล่วงเกินเลย ต่อให้คุณชายเหล่านี้เกิดความเสียหายแม้แต่ครึ่งส่วน ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะต้องทำให้บอดี้การ์ดอย่างพวกตนแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ แน่นอน
ในตอนนี้บริเวณชั้นสาม ภายในห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด มีหญิงชายอยู่หลายสิบคน อายุประมาณยี่สิบสามสิบ กำลังสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน ภายในห้องที่หรูหราที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งนี้มีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะสุรานารีการพนัน อีกทั้งยังมีความโหดเหี้ยมและความหื่นกระหาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีครบครัน ทุกคนอยู่บนโซฟา บ้างก็ดูดผงขาว บางก็ขลุกอยู่กับผู้หญิง บ้างก็เล่นคอมเล่นมือถือของแต่ละคน
ตรงกลางสุดของห้องถุง มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมสูทสีขาว คาบซิก้ามวนหนึ่ง หน้าตาธรรมดา ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ดวงตาทั้งสองมองสำรวจไปรอบๆ อยู่เป็นระยะ อายุประมาณยี่สิบสามปี และมีเพียงเขาคนเดียวที่ข้างกายไม่มีผู้หญิง แต่มีมือสังหารสวมแว่นดำสองคนยืนอยู่แทน คนคนนี้ก็คือไป๋อู่
ไป๋อู่เคยเป็นคนไม่สำคัญในพรรคคุณชายเหมือนกับเย่เทียนเฉิน เรียกได้ว่าตอนนั้นพวกเขาเป็นพวกไม่ถึงระดับ อยู่ในพรรคคุณชายก็เป็นแค่คนที่ถูกด่าถูกแกล้ง เนื่องจากในตอนนั้นตระกูลของไป๋อู่เป็นตระกูลที่ไม่เข้าชั้น ฝืนนับได้ว่าเป็นตระกูลชั้นสาม ส่วนตระกูลเย่ เมื่อมาถึงรุ่นของเย่เทียนเฉินก็ได้กลายเป็นตระกูลชั้นสามของเมืองหลวงไปแล้ว แล้วยังมีแนวโน้มที่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ ถ้าไม่รังแกพวกคุณสองคนแล้วจะไปรังแกใครล่ะ?
แต่ไป๋อู่ในตอนนี้ไม่เหมือนกับวันวาน เพียงไม่นานก็สามารถกลายเป็นนายท่านสองของพรคคุณชายได้ หรือถ้าจะพูดว่าเป็นนายท่านใหญ่ของพระคุณชายก็ไม่มากเกินไป เพราะว่าตั้งแต่ไอ้โง่เฉินเจียงถูกกำจัด ลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชายก็ถูกผู้คนยอมรับอย่างลึกลับมาโดยตลอด ส่วนไป๋อู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นโฆษกของลูกพี่ใหญ่แห่งพรรคคุณชายในตอนนี้ ลูกพี่ใหญ่ของพระคุณชายที่ลึกลับคนนี้ดูเหมือนจะไม่เคยโผล่หน้ามาก่อน จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ไม่เคยเห็นและไม่มีใครรู้จัก
หากจะบอกว่าคนที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้ามาก่อนคนหนึ่งมาเป็นลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย ด้วยนิสัยของทายาทตระกูลใหญ่ในพรรคคุณชายที่ยโสโอหังไม่เห็นหัวใคร จะต้องไม่เห็นด้วยเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เฉินเจียงถูกลอบสังหาร ทายาทตระกูลใหญ่กลุ่มนี้จะต้องแย่งชิงตำแหน่งลูกพี่ใหญ่พาคุณชายกันแน่นอน แต่ถึงกับถูกคนลึกลับคนนี้กดดันเอาไว้ ดังนั้นคนคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ส่วนเรื่องทายาทตระกูลใหญ่ของพรรคคุณชายเหล่านี้ เย่เทียนเฉินเข้าใจดี แต่ละคนไม่ได้เรียนหนังสือ ใช้อำนาจเบื้องหลังของตระกูลจัดการทุกอย่าง โอหังจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าพ่อข้าใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน หากต้องการทำให้ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้เชื่อฟังอย่างรวดเร็ว จะต้องไม่ง่ายอย่างแน่นอน
“ลูกพี่ไป๋ ทำไมวันนี้ไม่เรียกดาราคนนั้นมาเล่นด้วยกันล่ะ?” วัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีถือแก้วเหล้าเดินเข้ามา ยืนด้วยท่าทางมึนเมาแล้วเอ่ยถาม
“ใช่แล้วพี่อู่ ครั้งที่แล้วปิงปิงอะไรนั้นที่พี่เรียกมาไม่เลวเลย คราวนี้ได้ยินมาว่าซินหรูก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่เรียกมาสักหน่อยล่ะ?” วัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่อายุประมาณยี่สิบปีซึ่งกำลังสูบบุหรี่อยู่หันมาเอ่ยถามขึ้น
“ไอ้บ้าเอ๋ย นายนี่ชอบผู้หญิงแก่จริงๆ ฉันคิดว่าคนที่ชื่อมี่มี่นั่นไม่เลวเลย ใช้ปากได้ดีทีเดียว แล้วยังมีคนที่ชื่อซือซือนั่นอีก เด็ดโคตร…” วัยรุ่นอีกคนหนึ่งอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีมองไปยังคนที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดขึ้น
“เฮอะ พ่อแกเป็นลูกพี่ใหญ่ในด้านสื่อสิ่งพิมพ์ คิดจะแบล็คเมล์ดาราหญิงคนไหนก็แบล็คเมล์ ขอแค่พูดออกมาคำเดียว มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่จะไม่รีบคุกเข่าเลียไข่ให้แก?” ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้มหื่นกระหาย
“พวกแกพูดถูกแล้ว บอกตามตรง ดาราหญิงที่คุกเข่าเลียไข่ให้ฉันถ้าไม่ใช่ร้อยคนก็เก้าสิบเก้าคนได้ แต่ละคนไม่ต่างอะไรจากอีตัวเลย แต่ก็นับได้ว่าเป็นอีตัวชั้นยอด ไอ้พวกอีตัวชั้นสูงเหล่านี้ย่อมต้องให้คนมีอำนาจมีอิทธิพลอย่างพวกเราเล่นอยู่แล้ว แต่ไอ้นั่นดำกันทั้งนั้น นอกจากรู้งานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าถูกผู้ชายกินไปมากแค่
ไป๋อู่ชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปยังคุณชายเหล่านั้นด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม หากเป็นเวลาปกติเขาก็สามารถพูดคุยเฮฮาไปกับคนเหล่านี้ได้ สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว ต้องการได้ผู้หญิงคนไหนแล้วไม่ได้บ้าง? อยากจะทำเรื่องอะไรแล้วทำไม่สำเร็จบ้าง?
หากใช้คำว่าเรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนมาบรรยายก็ไม่มากเกินไป พวกเขากลุ่มนี้ตั้งแต่เด็กก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ว่างจนปวดไข่จริงๆ ดังนั้นจึงต้องหาอะไรมากระตุ้นบ้าง สำหรับคุณชายเหล่านี้ที่เงินไม่เคยขาดมือ นอกจากเรื่องกินเที่ยวแล้ว ยังมีอะไรน่าทำอีก?
“รองหัวหน้า ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณจะอารมณ์ไม่ดี เป็นอะไรไป? มีดาราหญิงคนไหนคุกเข่าเลียไข่ให้พี่ไม่เด็ดเหรอ บิดาจะรีบไปสั่งให้คนฝังมันทั้งเป็น ให้มันหายไปตลอดกาล!” วัยรุ่นที่ถือแก้วเหล้าเห็นไป๋อู่ไม่พูดอะไรก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลงด้านข้างแล้วถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ช่วงนี้พวกแกได้ยินเรื่องของเย่เทียนเฉินหรือเปล่า? ดูเหมือนมันจะกลับมาเมืองหลวงแล้ว!” ไป๋อู่ขมวดคิ้วแล้วถามไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อคำพูดนี้ของไป๋อู่ถูกพูดออกมา ทายาทตระกูลใหญ่ที่กำลังเฮฮากันอยู่ต่างหยุดชะงักลง ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินก็เป็นสมาชิกของพรรคคุณชาย แต่ตอนนี้ถูกสลัดออกไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นระยะนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็มีแต่ขาวของเย่เทียนเฉิน ไม่มีใครไม่ได้ยิน ไม่มีใครไม่รู้ ตอนนี้เมื่อไป๋อู่พูดถึงเย่เทียนเฉินขึ้นมาทำให้รู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ
…………………..