เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 271 หยิบยืมอำนาจของตระกูลมู่หรง
บางทีการดวลกันของเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนอาจจะมองผลแพ้ชนะไม่ออก แต่ในใจของทั้งสองกลับกระจ่างชัดเป็นอย่างมาก ความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจหยั่ง ทำให้เฮยเมี่ยนพูดไม่ออก ส่วนพลังการต่อสู้ที่เฮยเมี่ยนซึ่งเป็นขุนพลระดับทัพฟ้าแสดงออกมาก็ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินเกิดความนับถือมาก ขุนพลระดับทัพฟ้า ไม่เสียทีที่เป็นกองกำลังที่มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศจีน ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขามีความคิดที่จะไปฝ่า “ด่านทัพฟ้า” ดูสักหน่อย คิดว่าจะต้องน่าสนใจแน่นอน
เฮยเมี่ยนรับปากแล้วว่าสองวันนี้เขาจะช่วยเย่เทียนเฉินจับตามองทางฝั่งของตงฟางเมิ่ง สำหรับเวลาสองวันนี้เย่เทียนเฉินก็ไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องไปที่มณฑลชวน และกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนให้ได้ภายในสองวัน นี่เป็นความกดดันอันมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้เขาในตอนนี้จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงแล้ว ก็ไม่กล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนั้น ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้ในครั้งเดียว จะอย่างไรตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เป็นตระกูลใหญ่ในโลกเบื้องหลัง นับเป็นตระกูลที่มีความสามารถในการต่อสู้เหนือระดับท่ามกลางตระกูลต่างๆ ไม่สามารถดูถูกได้
อย่างไรก็ตามแต่ไหนแต่ไรเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่ขี้ขลาดตาขาว เมื่ออยู่ต่อหน้าความยากลำบาก เขาก็ไม่เคยใช้ทางอ้อม จะทำเพียงปะทะตรงๆ เท่านั้น นี่คือนิสัยของเขา ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเท่าไร เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น นี่เป็นจุดที่น่ากลัวของเขา เป็นความสามารถส่วนที่ลึกลับไม่อาจคาดเดามากที่สุด
แต่ตอนนี้ยังมีปัญหาใหญ่อยู่อีกปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือตระกูลโอวหยาง หากเทียบกันจริงๆ ตระกูลโอวหยางมีอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมาก การตายของโอวหยางเฟยอวิ๋น เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการจะใส่ร้ายตนเอง เพื่อให้ตนถูกโจมตีทั้งสองด้าน สองมืออยากจะสู้สี่มือ นี่สามารถอธิบายได้ว่าการที่โอวหยางเฟยอวิ๋นและไป๋อู่ตายในเวลาเดียวกัน เป็นการกระทำของคนเพียงคนเดียว อย่างน้อยก็สามารถมั่นใจได้ว่าคนคนนี้เป็นนายใหญ่ของพรรคคุณชายในปัจจุบัน เย่เทียนเฉินไม่สามารถสืบหาคนนี้ได้ แต่ในใจของเขาก็มีแผนการอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามเรื่องสำคัญยังคงเป็นการไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน รีบโจมตีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจนรับมือไม่ทัน
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็คิดใคร่ครวญ หากต้องการที่จะทำให้ตระกูลโอวหยางสงบเสียก่อน อาจจะมีคนคนหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ถึงแม้เขาจะไม่อยากติดหนี้น้ำใจใครก็ตาม และไม่อยากไปมาหาสู่กับตระกูลนั้นให้มากนัก แต่นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษ ต้องใช้วิธีพิเศษเท่านั้น แค่ตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายคืนในภายหลังก็เพียงพอแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปเบอร์หนึ่ง เบอร์นี้เป็นเบอร์ของเมืองหลวง แต่กลับมีน้อยคนที่จะรู้ หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสิบกว่าครั้ง ด้านในก็มีเสียงของชายชราดังขึ้น
“ฮัลโหล!”
“ผู้อาวุโสมู่หรง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ผมคือเย่เทียนเฉิน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ เทียนเฉินนี่เอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? เรื่องครั้งที่แล้วยังไม่ทันได้ขอบคุณเธอเลย!” มู่หรงอวี๋ตูก็พูดด้วยความยินดีเช่นเดียวกัน
ถูกต้อง เย่เทียนเฉินโทรหามู่หรงอวี๋ตู เขาคิดไปคิดมาก็มีเพียงชายชราคนนี้ที่จะสามารถช่วยเขาได้ มู่หรงอวี๋ตูเป็นนายพลในช่วงเปิดประเทศ ถึงแม้จะเกษียณออกมานานหลายปีแล้ว แต่ก็เป็นคนที่รอดมาจากสนามรบที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน คนเช่นนี้มีศักดิ์ศรีสูงมาก ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เป็นผู้นำระดับสูงสุดของประเทศก็ต้องให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้มู่หรงอวี๋ตูมีอิทธิพลในหมู่บุคคลระดับสูงของประเทศเป็นอย่างมาก ต้องกล่าวว่าในหมู่ตระกูลต่างๆ ที่จะสามารถยับยั้งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางเอาไว้ได้ คงจะมีแต่ตระกูลมู่หรงเท่านั้น
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโส ผมจะพูดสั้นๆ ได้ใจความเลยแล้วกันนะครับ ความจริงผมมีเรื่องยุ่งยากอยู่เรื่องหนึ่ง ต้องการให้คุณช่วยสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเหรอ? พูดมาเถอะ เรื่องอะไร?” ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูเอ่ยถามอย่างพึงพอใจ
เย่เทียนเฉินเองก็ไม่ใช่คนชักช้าอะไร ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมายืดเยื้อ ต้องให้ผู้อาวุโสมู่หรงหยุดยั้งตระกูลโอวหยางไว้ชั่วคราว เขาถึงจะสามารถปลีกตัวออกไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้
“ผู้อาวุโสครับ มันเป็นแบบนี้ โอวหยางเฟยอวิ๋นแห่งตระกูลโอวหยางตายไปแล้ว แล้วผมก็เคยมีเรื่องกับเขามาก่อน แต่ว่าผมไม่ได้เป็นคนทำ มีคนจงใจใส่ร้ายผม ต้องการให้ตระกูลโอวหยางลงมือกับผม แต่สองวันนี้ผมมีธุระเล็กน้อย ไม่มีเวลาจะไปรับมือกับตระกูลโอวหยางจริงๆ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้อาวุโสมู่หรงช่วยยับยั้งตระกูลโอวหยางเอาไว้ซักหลายวันน่ะครับ” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด
“เป็นแบบนี้เองเหรอ วางใจเถอะ ไม่มีปัญหา เธอวางมือไปทำธุระของเธอซะ ฉันรับประกันเลยว่าตระกูลโอวหยางไม่กล้าลงมือกับตระกูลเย่ของเธอแน่!” มู่หรงอวี๋ตูก็เป็นชายชราที่ตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน เขารับปากในทันที
“ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขอบคุณผู้อาวุโสมากครับ!” เย่เทียนเฉินพูดขอบคุณอย่างจริงจัง
“ขอบคุณอะไรกัน ถ้ามีเวลาก็มาเป็นแขกที่บ้านบ้าง เมื่อคืนซินเอ๋อร์ยังพูดถึงเธออยู่เลย? ยังไม่ได้ขอบคุณบุญคุณที่เธอช่วยชีวิตเลย!” มู่หรงอวี๋ตูพูดอย่างยินดี
“ได้ครับ ถ้ามีเวลาจะต้องไปแน่นอน!”
หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว เย่เทียนเฉินก็วางใจลงไม่น้อย มู่หรงอวี๋ตูรับปากด้วยตัวเองว่าจะทำให้ตระกูลโอวหยางสงบ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนนี้ก็แค่รอเวลาเที่ยงคืน เพื่อจะไปที่ป่าไผ่บริเวณชานเมืองทางทิศใต้ หลังจากที่พบกับพวกอู๋เสวี่ยแล้ว ก็จะออกเดินทางไปมณฑลชวนเพื่อกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถึงแม้อาจจะมีการต่อสู้ที่ยากลำบาก และอาจจะเป็นการต่อสู้นองเลือด แต่หลังจากที่เย่เทียนเฉินมีอำนาจเป็นของตัวเองแล้ว การออกศึกครั้งแรกจะต้องชนะเท่านั้นไม่อาจแพ้ได้
ตอนนี้เอง มู่หรงอวี๋ตูอยู่ในห้องหนังสือและเพิ่งจะวางโทรศัพท์ไป หลานสาวของเขามู่หรงซินสวมชุดเดรสสีขาว ยิ้มอย่างน่ารักพลางเดินเข้ามา ยกน้ำชามาถ้วยหนึ่งวางลงเบื้องหน้ามู่หรงอวี๋ตูผู้เป็นปู่ แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “คุณปู่คะ เมื่อกี้นี้เย่เทียนเฉินโทรมาหรือเปล่าคะ?”
“เด็กคนนี้นี่ ถึงกับกล้าแอบฟังปู่คุยโทรศัพท์เชียวเหรอ จะเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่า?” ถึงแม้ว่าปากขอมู่หรงอวี๋ตูจะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับเจือไปด้วยรอยยิ้มเมตตา เขามีหลานสาวเพียงคนเดียว เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรง เขาจะไม่รักได้อย่างไร?
สุขภาพของมู่หรงซินผ่านการดูแลรักษามาช่วงหนึ่งแล้วและฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ทำให้มู่หรงอวี๋ตูดีใจมาก ตนเองอยู่ในสนามรบมาชั่วชีวิต กลับมาจากพื้นดินทราย ตอนนี้เหลือเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขคนเดียวเท่านั้น หากมู่หรงซินถูกพิษสยบจนตายไปจริงๆ มู่หรงอวี๋ตูก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
เรื่องที่เย่เทียนเฉินช่วยหลานสาวของตน ช่วยเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่หรงของตน ถึงแม้มู่หรงอวี๋ตูจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจก็รู้สึกขอบคุณ ดังนั้นไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะต้องการอะไร ขอเพียงเขามู่หรงอวี๋ตูสามารถทำได้ ก็จะให้ความช่วยเหลือทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นมู่หรงอวี๋ตูยังพบว่า ตั้งแต่ที่มู่หรงซินหลานสาวของตนกลับมาที่บ้าน ก็มักจะพูดถึงเย่เทียนเฉิน ถามถึงเย่เทียนเฉินเสมอ ท่าทางหลานสาวของตนคนนี้จะถึงวัยที่จะเริ่มมีความรักแล้ว เรื่องของคนหนุ่มสาวตนเองจะไม่สอดมือเข้าไป ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีที่สุด อีกทั้งมู่หรงอวี๋ตูยังมีความประทับใจต่อเย่เทียนเฉินไม่เลวเลยทีเดียว
“ที่ไหนกันคะ หนูมาเสริฟน้ำชาให้คุณปู่ เลยได้ยินโดยไม่ระวังเท่านั้นเอง!” มู่หรงซินพูดอย่างน่ารัก
แน่นอนว่ามู่หรงซินได้ยินเข้าโดยไม่ทันระวัง ในตอนที่ถือถ้วยชาเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือของคุณปู่ ก็ได้ยินว่าคุณปู่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ในตอนที่ได้ยินคำว่า “เทียนเฉิน” สองคำนี้ มู่หรงซินก็ยืนอยู่บริเวณประตูโดยไม่ขยับ ต้องการที่จะฟังว่าเย่เทียนเฉินโทรหาคุณปู่ด้วยเรื่องอะไร จะพูดถึงตนหรือไม่
“ฮ่าๆ ไม่ทันระวังนี่เอง ซินเอ๋อร์ สุขภาพของหลานดีขึ้นบ้างแล้วใช่ไหม?” มู่หรงอวี๋ตูถามหลานสาวอย่างใส่ใจ จากนั้นจึงยกชาขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้ม
“ดีแล้วค่ะ ดีหมดแล้ว!” มู่หรงซินพูดแล้วยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา
มู่หรงอวี๋ตูพยักหน้าเล็กน้อย คิดว่าการที่หลานสาวสามารถแข็งแรงได้เช่นนี้ สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็ต้องขอบคุณเย่เทียนเฉิน ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน มู่หรงอวี๋ตูก็ได้ยินมู่หรงซินพูดว่า เป็นเย่เทียนเฉินที่ใช้วิธีเอาชีวิตแลกชีวิตเพื่อช่วยเหลือเธอ ส่วนเรื่องที่ทั้งสองอยู่ในถังไม้ถังเดียวกันโดยที่ร่างกายเปลือยเปล่าและจูบกันนั้น มู่หรงซินย่อมรู้สึกไม่ดีที่จะพูดถึง แต่มู่หรงอวี๋ตูเป็นคนฉลาดระดับไหนกัน ย่อมต้องคิดถึงเรื่องนี้ได้บ้างแล้ว
หากจะกล่าวว่าต้องการให้เย่เทียนเฉินมาเป็นเขยของตนจริงๆ มู่หรงอวี๋ตูก็จะไม่คัดค้าน แต่เรื่องของคนหนุ่มสาวยังต้องรอดูเสียก่อนค่อยว่ากัน จะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของโชคชะตา แตงที่เด็ดออกมาก่อนเวลาย่อมไม่หวาน
มู่หรงซินเห็นคุณปู่ของตนไม่ได้พูดอะไรต่อจึงอดไม่ได้ที่จะหันไป เธออยากรู้มากว่าเย่เทียนเฉินกับคุณปู่คุยอะไรกัน และใส่ใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กลัวว่าคุณปู่จะไม่ยอมบอกตนจึงกำลังคิดหาวิธี
“คุณปู่คะ เมื่อกี้หนูได้ยินว่าคุณปู่พูดถึงตระกูลโอวหยาง เย่เทียนเฉินมีความสัมพันธ์กับตระกูลนั้นยังไงเหรอคะ?” มู่หรงซินแสร้งทำเป็นถามด้วยความแปลกใจ
“ฮ่าๆ ถ้างั้นหลานสาวของปู่ต้องการฟังเรื่องของเย่เทียนเฉินหรือต้องการฟังเรื่องของตระกูลโอวหยางล่ะ?” มู่หรงอวี๋ตูจงใจพูดด้วยรอยยิ้ม
“อยากฟังหมดเลยค่ะ คุณปู่บอกหนูหน่อยเถอะ หนูจะได้เรียนรู้เอาไว้บ้าง!” มู่หรงซินเดินมาหลังมู่หรงอวี๋ตูผู้เป็นปู่อย่างเฉลียวฉลาด จากนั้นจึงพูดขึ้นพลางทุบหลังให้มู่หรงอวี๋ตู
เมื่อเห็นมู่หรงซินผู้เป็นหลานสาวของตนฉลาดเฉลียวและเปรื่องปราดขนาดนี้ มู่หรงอวี๋ตูก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก จะอย่างไรในตอนนี้มู่หรงซินก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนสุดท้ายของตระกูลมู่หรง ตนเองก็อายุมากแล้ว สุขภาพแย่ลงทุกวัน ในอนาคตตระกูลมู่หรงอันยิ่งใหญ่จะต้องให้มู่หรงซินรับช่วงต่อ ในตระกูลที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป ย่อมมีคนคิดไม่ซื่อเป็นธรรมดา หากมู่หรงซินไม่ฉลาดมากพอ ก็จะถูกคนอื่นคิดร้ายจนสูญเสียตำแหน่งผู้นำตระกูลไป นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่มู่หรงอวี๋ตูต้องการหาลูกเขยมาโดยตลอด แน่นอนว่าตัวเลือกนี้จะต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มงวด เพราะนี่เกี่ยวพันไปถึงการสืบทอดตระกูลมู่หรง ไม่อาจทำเป็นเล่นได้
“ตระกูลโอวหยางเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง เมื่อปีนั้นในช่วงเปิดประเทศก็ปิดซ่อนตัวตนแล้ว เพราะอำนาจมืดในตระกูลของพวกเขายิ่งใหญ่มาก บุคคลระดับสูงของประเทศย่อมไม่อนุญาตให้ตระกูลที่มีอำนาจมืดอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ดำรงอยู่ แบบนั้นจะคุกคามไปถึงความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนธรรมดา ดังนั้น ตระกูลโอวหยางจึงปิดซ่อนตัวตนไม่โผล่ออกมาอีก แต่อำนาจของพวกเขาก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่ไม่ได้ขยายออกไปต่อก็เท่านั้น หากรัฐบาลต้องการแตะต้องตระกูลโอวหยาง ก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดี!” มู่หรงอวี๋ตูพูดพลางขมวดคิ้ว
“ไม่จริงน่ะ กระทั่งรัฐบาลก็ไม่สามารถบีบบังคับให้อำนาจของตระกูลโอวหยางลดลงได้เลยเหรอคะ หากต้องการแตะต้องตระกูลโอวหยางก็ยังต้องดูสถานการณ์ถึงจะทำได้ อำนาจของตระกูลโอวหยางจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ๆ!”
มู่หรงซินคาดเดาได้อย่างชาญฉลาดในเวลาเพียงชั่วพริบตา มีเพียงตระกูลหนึ่งที่ยิ่งใหญ่จนถึงขั้นที่ว่าหากรัฐบาลต้องการแตะต้องพวกเขาก็จะมีผลกระทบและสร้างความสั่นสะเทือนอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ถึงจะต้องใคร่ครวญให้ดี ดูท่าตระกูลโอวหยางจะร้ายกาจมากจริงๆ ซ่อนตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้มู่หรงซินเป็นห่วงเย่เทียนเฉินขึ้นมา
…………