เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 286 “สิบสามจ้าวสวรรค์” สั่นสะเทือนใต้หล้า
เย่เทียนเฉินไปจากเกาะทะเลทรายแล้ว คำพูดก่อนตายของอาชูร่าเป็นการชี้ทางสว่างให้เขาอย่างมาก และทำให้เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบ เพื่อนพ้องที่ตายไปแล้วในดาวสิ้นโลกรอให้เขากลับไปแก้แค้นให้อยู่ มิฉะนั้นวิญญาณของพวกเขาคงไม่อาจสงบได้ ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังพิเศษคนหนึ่ง การตามหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือคุ้มครองครอบครัวของตน ฟื้นฟูตระกูลเย่ให้ยิ่งใหญ่ มีเพียงแบบนั้นวันหน้าเขาถึงจะจากไปอย่างวางใจได้
อาชูร่าเป็นคนที่ควรค่าแก่การนับถือ เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรกับเขา เพียงแต่ทั้งสองยืนอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน จำเป็นจะต้องต่อสู้เป็นตายกันเท่านั้น
คืนนี้ถึงคราวที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะถูกลบชื่อออกไปจากโลกเบื้องหน้าและโลกเบื้องหลังแล้ว เกรงว่าเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป คงจะสั่นสะท้านไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน กระทั่งยังจะสั่นสะท้านยิ่งกว่าการตกต่ำของตระกูลฉินและตระกูลลั่วเสียอีก จะอย่างไรเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่วก็ถูกบุคคลระดับสูงของประเทศกดเอาไว้ ไม่มีใครรู้ แต่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตน มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เกรงว่าเรื่องนี้ไม่มีคนกดไว้ ไม่นานคงแพร่ออกไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน
เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์ออกเดินทางในคืนนั้น ไม่ได้หยุดแม้แต่ครู่เดียว ในตอนที่มาถึงชายฝั่งทะเลจำลองซือไห่ ก็ได้ส่งพวกหูหลงรหลายคนไปขับรถมา เรื่องไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้ แม้จะเป็นเวลาเพียงคืนเดียวแต่ทางฝั่งของเมืองหลวงอาจจะมีคลื่นลมเกิดขึ้นก็เป็นได้ เย่เทียนเฉินจำเป็นต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด
ครืน ตู้ม!
เสียงดังลั่นดังขึ้นมาจากบนเกาะทะเลทราย เนื่องจากไม่มีเขตแดนปิดกั้นของเย่เทียนเฉินครอบคลุมเอาไว้นานแล้ว อีกทั้งเสียงในครั้งนี้ก็ดังมาก ทำให้ทุกคนที่พักผ่อนอยู่ในบ้านบริเวณริมทะเลซือไห่ตกใจจนสะดุ้งตื่น ทุกคนพากันวิ่งออกมา แสงจันทร์ส่องสว่าง มีเปลวเพลิงแพร่กระจายไปบนเกาะทะเลทราย ตามมาด้วยความรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว เกาะทะเลทรายที่อยู่ในใจกลางของทะเลจำลองซือไห่จมลงไป ไม่นานก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ บนชายหาดมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน ต่างมองภาพนี้ด้วยความแปลกใจระคนตื่นตะลึง มีเพียงเย่เทียนเฉินที่ถอนใจเพียงคนเดียว
“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง?” อู๋เสวี่ยถามด้วยความสงสัย
“พวกเราก็ไม่ได้วางระเบิดข้างบนนี่?” หวังเจี๋ยก็รู้สึกว่าแปลก
“ไม่ใช่ว่าตอนที่ลูกพี่สู้กับอาชูร่า ทำให้เกาะทะเลทรายแตกไปแล้วหรอกนะ?” เปาเทียนหลงก็เอ่ยปากด้วยความแปลกใจ
เย่เทียนเฉินส่ายหน้า เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ในชั่วพริบตาที่เกาะทะเลทรายจมลงไป เขาสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษอันแข็งแกร่งของอาชูร่า การต่อสู้ครั้งใหญ่ของเขาและอาชูร่าสร้างความสูญเสียอย่างรุนแรงให้แก่เกาะทะเลทราย จนดูเหมือนจะแตกไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นจมลงไป อย่างน้อยก็จะไม่จมลงไปทันที
“ไปเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดี อย่างน้อยผู้อวุโสจะได้ดีใจ ไม่มีพันธะใดๆ อย่างแท้จริง!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็หมุนตัวขึ้นรถไป
ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งแรกของสิบสามจ้าวสวรรค์ สามารถเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงลงมือก็สามารถฆ่าล้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไปได้ ในสิบสามจ้าวสวรรค์มีเพียงสองคนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถึงแม้ทุกอย่างจะพูดเหมือนง่าย แต่ความจริงอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งมาก บนเกาะทะเลทรายมีมือสังหารชั้นหนึ่งอยู่นับร้อยคน หากไม่ใช่ว่าสิบสามจ้าวสวรรค์แต่ละคนมีฝีมือโดดเด่น และเปลี่ยนเป็นกองกำลังทหารกองหนึ่ง เกรงว่าคงไม่สามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งความสามารถของอาชูร่ายังทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง เย่เทียนเฉินต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่แขนทั้งสองข้างเกือบจะพิการ จึงจะสามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ เห็นได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ยากลำบากขนาดไหน
วันต่อมา ในตอนที่เย่เทียนเฉินและสิบสามจ้าวสวรรค์ยังมาไม่ถึงเมืองหลวง โลกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังต่างก็เดือดพล่านขึ้นมา แน่นอนว่าข่าวที่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงเหล่านี้ คนธรรมดาที่อยู่ระดับล่างที่สุดไม่สามารถรู้ได้ แต่อย่างน้อยคนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์กันและตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ภายในเวลาแค่คืนเดียว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ปิดซ่อนตัวตนถูกทำลายทั้งหมด ในโลกใบนี้ไม่มีกำแพงใดที่ลมพัดผ่านไปไม่ได้ เป็นเย่เทียนเฉินซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ซึ่งเป็นตระกูลชั้นสามแห่งเมืองหลวงพากองกำลังสิบสามจ้าวสวรรค์ที่ตนสร้างขึ้นไปจัดการ นี่ทำให้ตื่นตะลึงจนคางแทบร่วงลงพื้น
หลังจากที่ที่ใครหลายคนรู้ว่าเป็นเย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์ไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ต่างก็ตื่นตะลึงอย่างหาใดเปรียบ ในขณะเดียวกันก็สั่นสะท้านอย่างถึงที่สุดด้วย ตระกูลเย่ เดิมทีก็เป็นตระกูลที่ตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลชั้นสามไปแล้ว เรียกได้ว่าลูกหลานชนรุ่นหลังต่างไม่มีความมานะบากบั่น ทำให้ตระกูลเย่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ด้วยแนวโน้มเช่นนี้ เพียงไม่กี่ปีแต่กูเย่ก็จะตกต่ำจนถึงขีดสุดจนไม่สามารถพลิกฐานะขึ้นมาได้อีก
ไหนเลยจะรู้ว่าการปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินหลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทุกการกระทำต่างทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกว่าตระกูลเย่อาจจะสามารถผงาดขึ้นมาเพราะเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ นี่เป็นสาเหตุที่กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนมากต้องการที่จะหยุดยั้งตระกูลเย่ ไม่มีเหตุผลอะไรอีก เพียงแต่ถ้าตระกูลเย่ผงาดขึ้นมาแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะคุกคามไปถึงอำนาจของตระกูลใหญ่อื่นๆ ดังนั้นจึงต้องกดเอาไว้ก่อน ก็ง่ายๆ เพียงเท่านี้
ตอนนี้เอง ระหว่างทางที่เย่เทียนเฉินพาสิบสามจ้าวสวรรค์มุ่งหน้ากลับไปเมืองหลวง ภายในตระกูลโอวหยาง โอวหยางเจิ้นฮว๋านั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ เบื้องหน้าของเขามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ อายุประมาณสามสิบปี ซูบผอมราวกับจะปลิวลมได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองของเขาที่เต็มไปด้วยอารมณ์แห่งการฆ่าฟัน ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่น้อย เพียงมองก็รู้ว่าเกิดจากการผ่านการฆ่าฟันมาระยะหนึ่ง คนคนนี้ร้ายกาจมาก
โอวหยางเจิ้นฮว๋ามีชีวิตมาถึงยุคของโอวหยางเฟยอวิ๋นผู้เป็นหลาน นอกจากลูกชายที่ออกไปจากตระกูลนานแล้ว ไม่มีการติดต่อกันมาเกือบยี่สิบปีไม่รู้ว่าเป็นตาอย่างไร ก็มีเพียงโอวหยางเฟยอวิ๋นที่เป็นหลานชายคนเดียว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าตระกูลโอวหยางของเขาเกือบจะไร้ลูกหลาน ไม่แน่ว่าจะไร้ลูกหลานไปแล้วก็เป็นได้ จะให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่โกรธได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะมู่หรงอวี๋ตูโทรมาบีบบังคับเขา โอวหยางเจิ้นฮว๋าคงกระทืบเท้าฆ่าล้างตระกูลเย่ไปนานแล้ว แล้วเขามีความสามารถจะทำเช่นนี้ด้วย
ก่อนหน้านี้โอวหยางเจิ้นฮว๋าคิดว่าต้องการจะฆ่าฟันให้น้อยลงเสียหน่อย จะอย่างไรจากอายุที่เพิ่มขึ้น แม้ในใจจะยังมีความดุดัน มีความโกรธจนต้องการฆ่าคนที่ยังไม่สงบลง มีอำนาจที่เป็นดั่งจักรพรรดิของโลกเบื้องหลังได้เช่นเดียวกัน แต่เขาก็ค่อยๆ เข้าใจกระจ่างชัดถึงวัฏจักรของการกระทำ บาปกรรมเป็นสิ่งไม่จรรโลง การฆ่าฟันให้น้อยเสียน้อยเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เมื่อปีนั้นก็เป็นเพราะการฆ่าฟันของเขาบีบบังคับให้ลูกชายคนเล็กออกไปจากบ้าน จนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ
แต่ครั้งนี้เย่เทียนเฉินฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นผู้เป็นหลานของตน จนอาจจะทำให้เขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าสูญสิ้นลูกหลาน ไม่ว่าใครจะถูกใครจะผิด โอวหยางเจิ้นฮว๋าก็ไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ จะต้องฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้ ฆ่าล้างตระกูลเย่เพื่อล้างแค้นให้เขา
“นายท่าน เพิ่งจะได้รับข่าวจากทางมณฑลชวนมาว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกฆ่าล้างไปแล้ว ไม่เพียงแต่เซวียนเยวี๋ยนเสวียนอวี่และเซวียนเยวี๋ยนชิวที่ตายทั้งหมด กระทั่งเกาะทะเลทรายซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็จมไปด้วย ถูกทำลายล้างจนสะอาดเกลี้ยงเกลา!” บุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าโอวหยางเจิ้นฮว๋ากล่าวรายงานด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินคำรายงานของบอดี้การ์ดวัยกลางคนผู้นี้ โอวหยางเจิ้นฮว๋าก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางก็เหมือนกัน เป็นตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนเช่นเดียวกัน ถึงแม้ระหว่างสองตระกูลจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไร และไม่มีการติดต่อกัน แต่เขาเองก็เข้าใจกระจ่าง เมื่อมาถึงตำแหน่งเช่นตอนนี้แล้ว มีสถานภาพที่แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วจะต้องเข้าใจบางอย่างแน่นอน ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกทำลายล้างภายในค่ำคืนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเกาะทะเลทรายที่เป็นที่ปิดซ่อนตัวตนก็จมลงไป เรียกได้ว่าเป็นข่าวที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้าน กระทั่งคนใหญ่คนโตเช่นโอวหยางเจิ้นฮว๋าก็ไม่อาจสงบใจได้โดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเข้าใจถึงอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนอีกด้วย
“ข่าวคงไม่ผิดพลาดหรอกนะ? อำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่อ่อนแอเลย แค่มือสังหารชั้นหนึ่งบนเกาะทะเลทรายก็มีนับร้อยคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอาชูร่าอีกด้วย ความสามารถของเขาไม่ด้อยไปกว่าแกเลย!” โอวหยางเจิ้นฮว๋ามองไปยังบอดี้การ์ดวัยกลางคนเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้น
“ไม่หรอกครับ ตอนนี้แพร่ไปทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังหมดแล้ว ผมสั่งให้สายของเราที่อยู่มณฑลชวนไปตรวจสอบแล้ว ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถูกทำลายล้างไปในค่ำคืนเดียวจริงๆ คนของพวกเรายังแอบเข้าไปในทะเลจำลองซือไห่อีกด้วย พบว่าเกาะทะเลทรายจมลงไปแล้ว ศพทั้งหมดต่างก็อยู่ด้านบน และเป็นเพราะการทรุดตัวลงไปดังนั้นศพจึงไม่ปรากฏขึ้นมา!” บอดี้การ์ดวัยกลางคนเอ่ยปากพูด
“อาชูร่าเองก็ตายเหรอ!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าเอ่ยถาม
“ครับ!” บอดี้การ์ดวัยกลางคนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
“เถี่ยเป้า ฝีมือของอาชูร่าไม่ด้อยไปกว่าแก ถึงกับไม่สามารถคุ้มครองตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเอาไว้ได้ ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเป็นกลุ่มอำนาจไหนที่ทำลายพวกมัน เป็นตระกูลไหนที่ยอมทิ้งประโยชน์ก้อนใหญ่ขนาดนี้ไปได้ จะต้องมีความแค้นลึกล้ำกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแน่นอน!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดอย่างเรียบเฉย
เถี่ยเป้ามองโอวหยางเจิ้นฮว๋า ในใจเองก็รู้สึกสงสัยและมีความโมโหอยู่บ้าง เมื่อปีนั้นเขาต่อสู้กับอาชูร่า ทั้งสองยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ สิบปีต่อมา เขากำลังคิดจะไปที่มณฑลทวนอีกครั้งเพื่อต่อสู้ตัดสินแพ้ชนะกับอาชูร่า แต่อาชูร่าถึงกับตายไปแล้ว นี่ทำให้เถี่ยเป้าเสียใจมาก และตัดสินใจว่าจะต้องฆ่าคนที่ทำให้เขาไม่สามารถสู้กับอาชูร่าคนนี้ให้ได้
“เป็นเย่เทียนเฉินที่พากลุ่มอำนาจของเขาไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยน!” เถี่ยเป้าพูดอย่างเย็นชา
“อะไรนะ?”
โอวหยางเจิ้นฮว๋าตกใจไปทั้งร่าง คนใหญ่คนโตที่มาถึงตำแหน่งเช่นนี้อย่างเขา คิดไม่ถึงโดยเด็ดขาดว่าในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งคืนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ได้ และที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงมากยิ่งขึ้นก็คือเย่เทียนเฉินพาคนไปทำลายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนภายในค่ำคืนเดียว เขาถึงกับมีความสามารถเช่นนี้เชียวหรือ นี่เป็นจุดที่ทำให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่อยากที่จะเชื่อมากที่สุด
“เย่เทียนเฉินคนเดียวทำร้ายตระกูลเซวียนเยวี๋ยนไม่ได้แน่ จะต้องเป็นมู่หรงอวี๋ตูที่แอบช่วยมัน!” โอวหยางเจิ้นฮว๋านั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง เอ่ยปากพูดด้วยความโกรธ
ตอนนี้โอวหยางเจิ้นฮว๋าเข้าใจกระจ่างแล้วว่าเหตุใดมู่หรงอวี๋ตูถึงได้โทรมาหยุดเขาเอาไว้ ที่แท้ก็กลัวว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋าจะร่วมมือกับตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถึงตอนนั้นต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหน หรือต่อให้มีมู่หรงอวี๋ตูคอยช่วยเหลือ ก็คงไม่สามารถหยุดความร่วมมือที่จะฆ่าคนของตระกูลใหญ่ทั้งสองในโลกเบื้องหลังได้ และถือโอกาสใช้เวลาค่ำคืนเดียวพาคนไปกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนถึงมณฑลชวน นี่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจริงๆ ประเมินความสามารถของเย่เทียนเฉินต่ำเกินไปแล้ว
“ไม่ใช่ครับ ได้ยินมาว่าเป็นกองกำลังที่เย่เทียนเฉินสร้างขึ้นมาเองเรียกว่า “สิบสามจ้าวสวรรค์” กระทั่งตัวเขาเองก็รวมอยู่ในกลุ่มสิบสามคนนั้นด้วย แต่ละคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง มือสังหารทั่วไปไม่สามารถเทียบได้!” ในตอนที่เถี่ยเป้าพูดคำนี้ ก็มีน้ำเสียงแปลกใจเช่นเดียวกัน สิบสามจ้าวสวรรค์ ในวันนี้ชื่อนี้ได้สนสะท้านไปทั่วทั้งโลกเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว
……………