เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 350 เจตนาที่แท้จริงของกระบี่สังหารจักรพรรดิ
ความแข็งแกร่งและรวดเร็วในการยอมรับของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึง ความแน่วแน่ของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขานับถือ แน่นอนว่าเสี้ยวหยายังคงรู้สึกอัศจรรย์ใจกับเคล็ดวิชาพลังพิเศษมาก กระทั่งต้องการขอร้องให้เย่เทียนเฉินแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษอื่นๆ ให้ดูอีกสักหน่อย ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
นี่คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษ เคล็ดวิชาแห่งการฆ่าล้างและปกป้อง น้อยที่สุดก็คือสามารถปกป้องตัวเองได้ มากที่สุดก็คือสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ตอนนี้ถึงกับถูกเสี้ยวหยาทำให้เป็นวิชาเด็กเล่นไปแล้ว และยังต้องแสดงฟรีๆ อีกด้วย เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ แต่เมื่อเห็นเสี้ยวหยาดีใจขนาดนี้ เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากหลังจากแม่ของเธอจากไป เย่เทียนเฉินก็รู้สึกดีใจมาก แสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษอีกหลายอย่างให้เสี้ยวหยาดู แน่นอนว่าเป็นวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น วิชาใหญ่ๆ ที่มีพลังสังหารรุนแรงสิ้นเปลืองพลังพิเศษมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจนำมาแสดงได้
ในตอนที่เย่เทียนเฉินแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษเหล่านี้ เสี้ยวหยาก็มองโดยไม่ละสายตาอยู่ตลอด ในดวงตาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ใจและเต็มไปด้วยการเรียนรู้เคล็ดวิชาพลังพิเศษนี้ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจ หรือความเข้าใจของเสี้ยวหยาที่มีต่อเรื่องของเคล็ดวิชาพลังพิเศษจะอยู่เหนือคนธรรมดา?
“เอาล่ะหยาเอ๋อร์ ควรจะกินอาหารเย็นแล้วหรือยัง?”
เย่เทียนเฉินสยบกระบี่ไท่อา จากนั้นก็สู้กับหมอกโลหิต ไม่ว่าจะเป็นการสูญสิ้นพลังพิเศษหรือการสูญสิ้นพลังกายก็เสียแรงไปมาก ตอนนี้ยังต้องมาแสดงเคล็ดวิชาพลังพิเศษให้เสี้ยวหยาดูอีก รู้สึกหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ไปนานแล้ว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“นายหิวแล้วเหรอ ถ้างั้นฉันจะไปต้มบะหมี่ให้หน่อยแล้วกัน ถึงจะทำได้ไม่อร่อยมาก แต่ก็ทำให้ท้องอิ่มได้!” เสี้ยวหยายืนขึ้นแล้วพูดด้วยความอ่อนโยน
“อืม ใส่พริกเยอะๆ หน่อย ฉันจะออกไปจัดการข้างนอกสักครู่!” เย่เทียนเฉินพยักหน้า ได้อยู่ด้วยกันกับเสี้ยวหยาทำให้เขามีความรู้สึกถึงครอบครัว ความรู้สึกเช่นนี้เย่เทียนเฉินหวงแหนมาก ไม่ว่าใครที่มาทำร้าย เขาก็จะฆ่าคนนั้น นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ การได้อยู่ด้วยกันกับคนที่ตนรัก ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก เดินดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ข้ามผ่านประสบการณ์ชีวิตไปด้วยกัน ค่อยๆ แก่ตัว แก่จนไปไหนไม่ได้ กระทั่งอยู่ด้วยกันในช่วงสุดท้ายของชีวิต ความโชคดีแบบนี้เป็นสิ่งที่คนมากมายไม่อาจสัมผัสได้ชั่วชีวิต
เสี้ยวหยาเดินเข้าไปในครัวเพื่อไปทำอาหารเย็น ส่วนเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้เสียเวลาไปอีก เดินออกไปนอกคฤหาสน์ เดินมาข้างสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์อีกครั้ง ท่าทางเคร่งเครียดและหนักแน่น กระบี่ไท่อา กระบี่อวี๋ฉาง ทั้งสองเล่มนี้เป็นหนึ่งในอาวุธบรรพกาลทั้งสิบ กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด หมอกโลหิตยังยืนอยู่บนพื้น ศีรษะของเขาถูกกระบี่ไท่อาแทงทะลุ แต่ยังคงยืนหยัดไม่ยอมล้ม ร่างกายของคนคนนี้ยังถูกหมอกโลหิตปกคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของเขา ไม่อาจใช้ดวงตามองตรงตรงได้ แต่เย่เทียนเฉินสำรวจผ่านพลังพิเศษแห่งการรับรู้นานแล้ว และได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหมอกโลหิตแล้ว ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ ดูแล้วเหมือนว่าหมอกโลหิตจะอายุไม่เกิน 30 ปี แต่พลังการต่อสู้แข็งแกร่งมาก ต่อให้ตายหมอกโลหิตที่ล้อมอยู่รอบตัวก็ยังไม่สลายไป ท่าทางเขาคงหลอมหมอกโลหิตเหล่านี้ไปกับร่างกายของตนจึงทำให้มีผลแบบนี้
ซู่ม!
นิ้วชี้ขวาและนิ้วกลางขวาของเย่เทียนเฉินกระดิกเข้ามา กระบี่ไท่อาพลันพุ่งออกมาจากศีรษะของหมอกโลหิต พลังอำนาจยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะเลือดสดๆ ที่อาบย้อมไปทั่วทั้งตัวกระบี่ ดูเหมือนจะไม่ได้ดื่มเลือดมานานแล้ว บรรยากาศบ้าคลั่งแบบนั้นเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ เขาใช้พลังพิเศษเช็ดหมอกโลหิตที่ติดอยู่บนกระบี่ไท่อาแล้วเรียกมันกลับมา
ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินเก็บกระบี่ไท่อามาแล้ว หมอกโลหิตจะระเบิดออกโดยพลัน กลายเป็นหมอกโลหิตที่แท้จริง จากนั้นจึงสลายไป เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมา “บางทีแกคงจะคาดเดาไว้นานแล้วว่าจะมีผลลัพธ์แบบนี้ แกเป็นยอดฝีมือที่ควรค่าให้ผู้คนนับถือจริงๆ !”
หมอกโลหิตตายแล้ว กระทั่งศพก็ไม่หลงเหลือไว้ นี่เป็นทางเลือกของเขาเอง เดิมทีเย่เทียนเฉินยังคิดจะฝังศพให้หมอกโลหิตดีๆ แต่ในเมื่อหมอกโลหิตเตรียมใจกับการตายของตัวเองไว้แล้ว ถ้างั้นก็ต้องแล้วแต่เขา
ยืนมองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือยอดฝีมือคนนี้จริงๆ ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ในการทะลวงขอบเขตความสามารถ ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มียอดฝีมือจำนวนมากที่คิดจะไปถึงขั้นไร้ตัวตนไปชั่วชีวิต นั่นไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับฝีมือของตนเท่านั้น มันยังมีข้อดีในด้านเส้นทางการบ่มเพาะด้วย เพียงแต่คนที่สามารถเข้าสู่สภาวะนี้ได้ ไม่เพียงแต่จะต้องการความสามารถส่วนตัวและความรับรู้ส่วนตัวเท่านั้น ยังต้องการโอกาสอีกด้วย ก่อนที่เย่เทียนเฉินจะกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกก็เคยเข้าถึงขอบเขตไร้ตัวตนเป็นบางครั้ง มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ในโลกนั้น บางทีอาจเรียกได้ว่าอยู่ในความฝัน มีหลายอย่างที่รอให้ผู้คนไปสัมผัส แต่ใช้ชีวิตอยู่ในดาวสิ้นโลกไปชีวิตหนึ่ง เย่เทียนเฉินก็มีโอกาสครั้งเดียวเท่านั้น และไม่อาจเข้าไปได้อีก ความสามารถของเขาอยู่ในระดับผู้มีความสามารถพิเศษขอบเขตพระเจ้าขั้นต้นและไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ ไม่สามารถไปถึงขอบเขตเทพราชันที่นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
หลังจากที่เย่เทียนเฉินได้เห็นศพของหมอกโลหิตกลายเป็นหมอกโลหิตแล้วสลายไป ก็เก็บกระบี่ไท่อากลับมา และทำให้กระบี่ไท่อาหายไปในอากาศ นี่เป็นการใช้เคล็ดวิชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภายในร่างกายของผู้มีพลังพิเศษทุกคนจะมีช่องว่างสำหรับเก็บสิ่งของอยู่ ตำแหน่งนั้นอาจจะตั้งอยู่ในที่ใดของผู้มีพลังพิเศษก็ได้ นี่ต้องดูการเลือกและความชอบส่วนตัวของผู้มีพลังพิเศษ ในช่องว่างนั้นจะมีความสามารถในการเก็บสิ่งของทุกสิ่งทุก อย่างแน่นอนว่ามีแข็งแกร่งอ่อนแอแและมีเล็กมีใหญ่ นี่เกี่ยวข้องกับความสามารถของผู้มีพลังพิเศษมาก ว่ากันว่าผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันสามารถถล่มฟ้าทลายดินได้ ต่อให้นำอาวุธไปวางไว้ในส่วนลึกที่สุดของดวงดาวที่ห่างไกลนับหมื่นล้านลี้ ขอเพียงตวัดมือตามใจครั้งหนึ่ง อาวุธก็จะมาถึงในพริบตา นี่คือความสามารถของยอดฝีมือที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้นอกจากมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ แน่นอนว่าจะมีผู้แข็งแกร่งไปถึงขั้นมีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะได้หรือไม่ก็ยังไม่มีใครรู้ ยังต้องไปพิสูจน์
“กระบี่อวี๋ฉาง กระบี่ที่ใช้สังหารจักรพรรดิ ผ่านเรื่องราวทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง กระบี่แบบนี้ทำไมยังอยู่บนโลกอีก ทำไมไม่ทำลายมันไปซะ?” เย่เทียนเฉินมองกระบี่อวี๋ฉางที่ปักอยู่บนเสาหินต้นใหญ่ด้านข้าง มีความรู้สึกต้องการที่จะทำลายกระบี่เล่มนี้ กระบี่สังหารบิดาสังหารจักรพรรดิ เป็นกระบี่ด้านมืด ไม่ใช่กระบี่ของมนุษย์ คนที่บริสุทธิ์ที่สุด เมื่อได้รับกระบี่นี้ไปก็ยังโหดเหี้ยมหาใดเปรียบ กระทั่งสามารถฆ่าคนบริสุทธิ์ได้
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปใกล้กระบี่อวี๋ฉาง รวบรวมพลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ในมือขวา คิดจะทำลายกระบี่อวี๋ฉางนั้น กระบี่อวี๋ฉางที่เดิมทียังปักอยู่บนเสาหินต้นใหญ่จะสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับต้องการหนีไปให้ไกล ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความคิดของเย่เทียนเฉินที่ต้องการทำลายมัน มันไม่อยากถูกทำลายย่อมต้องคิดจะหนี
แต่ในตอนนี้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมของกระบี่ นี่เป็นกระบี่ที่ไม่ควรหลงเหลือเอาไว้ในโลก ต่อให้จะมีข้อดี คนในตำนานที่เคยใช้กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มคนนั้นก็คงจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มิฉะนั้นในฐานะที่เขาเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล หากต้องการทำเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมา จะทำไม่ได้หรือ? แต่ทำไมเขาถึงอนุญาตให้กระบี่อวี๋ฉางมีอยู่ต่อไป และยังคงหลงเหลือเอาไว้ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังให้กระบี่อวี๋ฉางกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลกระบี่อีกด้วย?
“ฉันไม่สนใจว่าแกจะมีความเป็นมายังไง แต่ฉันก็จะทำลายแก กระบี่ที่สังหารบิดาฆ่าจักรพรรดิ ฉันจะไม่ปล่อยให้มีอยู่ต่อไป!”
ในขณะที่พูด พลังพิเศษในมือขวาของเย่เทียนเฉินก็กลายเป็นลูกบอลใหญ่ ตบลงไปในกระบี่อวี๋ฉาง เพียงแต่ในตอนที่กำลังจะถึงตัวกระบี่อวี๋ฉางและทำลายมันนั้น เย่เทียนเฉินก็รู้สึกถึงการรบกวนบางอย่าง เบื้องหน้าของเขาปรากฏภาพอันมหัศจรรย์ขึ้นมา คล้ายกับเรื่องราวที่ย้อนกลับไปในอดีตยุคโบราณ
ภาพเหตุการณ์แรกก็คือ หัวหน้าหมู่บ้านคนหนึ่ง มีอำนาจในการสังหารคนทั้งหมู่บ้าน แต่หัวหน้าหมู่บ้านคนนั้น เพื่อที่จะทำให้ตนเองร่ำรวยมากขึ้นและได้รับพลังชีวิตมากขึ้น ตามหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาว จึงไม่เสียดายที่จะแลกเปลี่ยนกับนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ยอมฆ่าทารกทั้งหมู่บ้าน แผนร้ายนี้ถูกลูกชายค้นพบเข้า เพื่อที่จะช่วยทารกทั้งหมู่บ้าน เพื่อที่จะช่วยชีวิตน้อยๆ เหล่านั้น ในค่ำคืนที่มีฝนตกลมพัดแรง เขาหยิบมีดเล่มหนึ่งออกมาจากในกล่องที่สืบทอดกันมา นั่นก็คือกระบี่อวี๋ฉาง ฆ่าบิดาของตนด้วยมือตัวเอง ลูกชายคนนั้นใช้กระบี่อวี๋ฉางฆ่าตัวตายในคืนเดียวกัน กระบี่อวี๋ฉางก็หายไปอย่างลึกลับ
ภาพเหตุการณ์ที่สองก็คือ ทรราชคนหนึ่ง ลุ่มหลงสตรี ไม่ทำราชกิจ เป็นทรราชที่โหดเหี้ยมอย่างมาก ไม่เห็นชีวิตของราษฎรเป็นชีวิต เห็นเป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น ขอเพียงเขาไม่พอใจก็จะฆ่าคน ขอเพียงเขาถูกใจสตรีใดก็จะไปแย่งชิงมา ประชาชนไม่พอใจ เกิดเสียงก่นด่าไปทุกทิศ ในตอนนั้นเอง ขุนนางที่เดิมทีมีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีถือกระบี่อวี๋ฉางเข้าไปในตำหนักของจักรพรรดิด้วยตัวเองและฆ่าทรราชผู้นั้น ขุนนางชราเป็นขุนนางซื่อสัตย์มาหลายยุคหลายสมัย ถึงกับฆ่าจักรพรรดิของตนด้วยมือตัวเอง และยังดำเนินการในตำหนักจักรพรรดิด้วย กระบี่อวี๋ฉางส่งเสียงกรีดร้องออกมา ดูเหมือนไม่อยากจะทำเช่นนี้ และไม่อยากเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ จึงหายไปอย่างลึกลับ
ภาพเหตุการณ์ทั้งสองนี้ปรากฏเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินได้เห็นก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ากระบี่อวี๋ฉางจะมีประวัติความเป็นมาแบบนี้ เรื่องราวทั้งสองนี้เย่เทียนเฉินไม่สงสัยเลยว่ามันคือความจริงหรือไม่ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่ามันไม่มีผลกระทบกับสมองของเขา และไม่ใช่การจินตนาการไปเอง เพียงแต่กระบี่อวี๋ฉางรับรู้ได้ว่าตนจะต้องถูกทำลายจึงทำเช่นนี้เพื่อบอกความจริงแก่เย่เทียนเฉิน
“ดูท่าทางกระบี่ที่สังหารบิดาฆ่าจักรพรรดิก็ไม่ใช่กระบี่ที่เลวร้ายอะไร แต่เป็นกระบี่ที่เสียสละเพื่อทุกคนในใต้หล้า เสียสละเพื่อชีวิตอื่น!” เย่เทียนเฉินพูดพึมพำกับตัวเอง
ตอนนี้เอง กระบี่อวี๋ฉางดิ้นหลุดออกมาจากบนเสาหิน แต่ไม่ได้หายไป ลอยอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอยู่เช่นนั้น ดูเหมือนจะส่งสัญญาณที่ดีให้เย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินแย้มยิ้ม มือขวาจับด้ามกระบี่อวี๋ฉางเบาๆ พลังพิเศษของตนเคลื่อนย้ายเข้าไป ครั้งนี้ไม่ได้รับการต่อต้านอะไร พลังพิเศษเข้าไปอย่างง่ายดายราบรื่น ในส่วนลึกของกระบี่ยังคงมีเงาคนอยู่เงาหนึ่ง เหมือนกับในกระบี่ไท่อาทุกกระเบียดนิ้ว…