เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 395 ฉันเข้าใจ แต่ไม่ยอมแพ้!
“อย่าทำแบบนี้เลย นายไม่มีวันรู้ความลับในโลงศพหินหรอก ต่อให้พลังนี้ไม่ได้โจมตี แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไปนายต้องตายแน่!” ตงฟางเมิ่งเห็นเย่เทียนเฉินที่ถูกกระแทกจนมีบาดแผลทั่วทั้งร่าง จมูกเขียวหน้าช้ำ มุมปากยังมีเลือดไหลออกมา จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น
ไม่รู้ว่านานเพียงใดและไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินถูกกระแทกออกไปกี่ครั้ง เขารวบรวมสมาธิครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสำรวจโลงศพหิน ต้องการเข้าไปใกล้โลงศพเพื่อดูเสียหน่อยว่าด้านในมีกระบี่เซวียนหยวนบรรจุอยู่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาเย่เทียนเฉินจะไม่ยอมละทิ้งโอกาสดีๆ เช่นนี้โดยเด็ดขาด โอกาสเช่นนี้ใครหลายคนอาจไม่ได้พบไปจนวันตาย ผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนตามหาไปทั่วทุกสารทิศก็ยังหาไม่พบ แต่เขากลับมีความเป็นไปได้ว่าจะได้ครอบครองกระบี่เซวียนหยวน จะได้ครอบครอง 10 กระบี่เทพบรรพกาลถึงสามเล่ม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ครอบครอง 10 กระบี่บรรพกาลคือทงเทียนเจี้ยวจู่ หากเย่เทียนเฉินได้ครอบครองกระบี่เซวียนหยวนอีกเล่ม เมื่อรวมกับกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางก็จะเป็นผู้ที่ครอบครองกระบี่เทพบรรพกาลมากที่สุดต่อจากทงเทียนเจี้ยวจู่ และเป็นดั่งที่เคยพูด เขาต้องการเหนือกว่าทงเทียนเจี้ยวจู่ทงเทียนเจี้ยวจู่ รวบรวม 10 กระบี่เทพบรรพกาลและฟื้นคืนพลังอำนาจค่ายกลกระบี่ของ 10 กระบี่บรรพกาลอีกครั้ง
ทุกคนต่างรู้ดีว่า 10 กระบี่บรรพกาลทุกเล่มล้วนมีพลังเหนือคาด เช่นกระบี่ไท่อาที่มีพลังอำนาจไม่อาจขวางกั้น กระบี่อวี๋ฉางที่ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้ามันล้วนเป็นความเท็จ สังหารจักรพรรดิเข่นฆ่าบิดาล้วนเป็นสิ่งคลุมเครือ ส่วนกระบี่เซวียนหยวนเป็นกระบี่แห่งปราชญ์ แปรสภาพเป็นจักรวาลยุคดึกดำบรรพ์ได้ คำว่าปราชญ์ย่อมมีความหมายของคุณธรรมแฝงอยู่ ส่วนพลังอำนาจจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจคาดเดาจริงๆ พลังของเส้นทางแห่งปราชญ์ที่เรียกได้ว่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นจักรวาลได้ เป็นโลกอีกใบหนึ่ง เหนือจินตนาการและสั่นสะท้านจนเกินไป หากเย่เทียนเฉินรวบรวม 10 กระบี่เทพบรรพกาลได้จริงๆ และมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าค่ายกลเทพสังหาร ถึงตอนนั้นจะมีทิวทัศน์อย่างไร? ทำให้ผู้คนคาดหวังจริงๆ …
“สำหรับฉันแล้วนี่เป็นโอกาส และเป็นจังหวะ บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ ควรค่าให้ลอง!” เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิลงเบื้องหน้าโลงศพอีกครั้งอย่างจริงจัง ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ดวงตาทั้งสองจับจองไปที่โลงศพหิน ประนมมือทั้งสอง ส่งพลังความคิดอันแข็งแกร่งออกไปสำรวจอีกครั้ง
ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้เป็นเหมือนกับหลายครั้งก่อนที่เพิ่งจะส่งพลังความคิดออกไปก็ถูกพลังที่คุ้มครองอยู่ในโลงศพหินกระแทกออกมา แต่คราวนี้พลังจิตค่อยๆ เข้าไปใกล้โลงศพทีละก้าว บนหน้าผากของเย่เทียนเฉินมีเหงื่อเย็นไหลออกมา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปซีดขาว ทั่วทั้งร่างสั่นเทา พลังกดดันอันไร้รูปลักษณ์ทำให้เขารับไม่ไหวจริงๆ เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ว่าเหนือศีรษะของตนราวกับมีพลังประหัตประหารกดทับลงมามากมาย นี่คือพลังต่อต้านจากการที่เขาเขาฝืนใช้พลังจิตออกไปเพราะต้องการตรวจสอบของที่บรรจุอยู่ในโลงศพหิน พลังต่อต้านนี้มองไม่เห็นแต่สามารถทำให้คนตายได้ เย่เทียนเฉินหล่อลอมกายเนื้อจนทำให้เขารับพลังกดดันได้มากกว่าคนธรรมดาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้อยู่ที่ระดับจอมราชันเท่านั้น ขอบเขตของกายเนื้อก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น สามารถยืนหยัดได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว
อั่ก!
เย่เทียนเฉินต้องรับพลังกดดันอันมหาศาลจนทนไม่ไหวและกระอักเลือดสดๆ ออกมา ตงฟางเมิ่งด้านข้างที่ได้เห็นต้องขมวดคิ้ว เธอพบว่าเจ้าคนที่ดูเหลาะแหละมีท่าทีพึ่งพาไม่ได้คนนี้ ในตอนนี้กลับมีความคิดแน่วแน่ กลายเป็นผู้ชายที่มีความยิ่งใหญ่อย่างที่ควรจะมี แสดงออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เจ้าหมอนี่เป็นคนอย่างไรกันแน่ ราวกับว่าเขาสามารถแสดงออกมาได้ทุกมุม อารมณ์ใดๆ ล้วนมอบให้ได้ทั้งสิ้น
“อย่าลองอีกเลย ไม่ว่าด้านในจะเป็นกระบี่เซวียนหยวนหรือไม่นายก็เข้าไปใกล้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องครอบครองเลย หากเป็นกระบี่เซวียนหยวนจริงๆ ด้วยพลังบ่มเพาะในตอนนี้ของฉันกับนายคงไม่มีทางได้มาหรอก!” ตงฟางเมิ่งส่ายหัว มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ฉันบอกแล้วไง ฉันจะไม่ยอมแพ้ ในพจนานุกรมของฉันไม่มีคำว่ายอมแพ้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างแน่วแน่
“ทำไมนายถึงได้ดื้อแบบนี้ นายไม่เข้าใจคำพูดของฉันหรือไง?”
“ฉันเข้าใจ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!”
ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
ในตอนที่คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งจะกล่าวจบ บริเวณซ้ายมือขวามือของเขาก็มีกระบี่ปรากฏขึ้นพร้อมกันด้านละเล่ม ซึ่งก็คือกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉาง เย่เทียนเฉินไม่ได้กำลังทำเรื่องบุ่มบ่ามอะไร หลังจากที่ถูกกระแทกออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เย่เทียนเฉินก็เข้าใจความหมายของตงฟางเมิ่ง บางทีนี่อาจจะเป็นกระบี่เซวียนหยวนหรือไม่ก็ได้ หากไม่ใช่ ของที่อยู่ด้านในคงเป็นของยอดเยี่ยมแน่นอน หากใช่ เช่นนั้นถ้าเขาต้องการครอบครองกระบี่เล่มนี้ย่อมยากกว่าการเดินทางไปดาวจักรพรรดินับร้อยเท่า อำนาจแห่งเส้นทางปราชญ์ แปรเปลี่ยนเป็นจักรวาลดึกดำบรรพ์ จินตนาการได้เลยว่า เมื่อคนผู้หนึ่งได้ครอบครองกระบี่เทพแบบนี้จะมีพลังอำนาจเผด็จการอย่างไร?
ไม่ว่าจะถูกกระแทกออกไปกี่ครั้ง ต่อให้ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เย่เทียนเฉินก็ไม่ยอมแพ้ เขารู้ว่าตนเองต้องการอะไร และรู้ว่าตนต้องการเพิ่มพลังความสามารถของตนอย่างเร่งด่วน สิบกระบี่บรรพกาลทุกเล่มล้วนมีพลังอำนาจลึกลับไม่อาจคาดเดา ไม่รู้ว่ามีคนมากมายแค่ไหนต้องการครอบครอง แต่เขากลับมีโอกาสเช่นนี้ ตนเองได้พบแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ จะยอมแพ้ไปอย่างนี้ได้หรือ?
ซู่ม!
ซู่ม!
เมื่อกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางปรากฏขึ้น กระบี่ทั้งสองเล่มล้วนแผ่พลังอำนาจออกมา พุ่งไปโจมตีบนโลงศพหินโดยตรง เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าแรงกดดันน้อยลงมากในทันที ในใจรู้สึกยินดี หากไม่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของเขา บางทีอาจจะเป็นเหมือนที่จางอีเต๋อพูดจริงๆ สิบกระบี่เทพบรรพกาลนั้นเดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งของของโลกใบนี้ แต่เป็นอาวุธเทพที่มาจากด้านนอก ยิ่งไปกว่านั้น 10 กระบี่เทพบรรพกาลยังเคยเป็นค่ายกลกระบี่เดียวกันอีกด้วย เช่นนั้นระหว่างกระบี่แต่ละเล่มต้องมีความเกี่ยวพันกัน มีพลังดั้งเดิมที่เกี่ยวพันกันซึ่งไม่อาจเลือนหายไป ไม่ว่าจะผ่านมือคนกี่คน ความสัมพันธ์ของพลังต้นกำเนิดก็ยังอยู่ บางทีกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางอาจจะช่วยตนได้
ตามที่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่เย่เทียนเฉินเรียกกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางออกมา กระบี่ทั้งสองเล่มก็ไม่ได้แผ่พลังอำนาจอันบ้าคลั่งขนาดนั้นออกมา เพียงแค่มีประกายแสงพุ่งออกมาจากตัวกระบี่ไปยังโลงศพ ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าแรงกดดันลดน้อยลงไปชั่วขณะ ความรู้สึกที่ราวกับถูกพลังกดดันอันมากล้นกดทับอยู่เหนือศีรษะทำให้เขาแทบกระอักตายจริงๆ
ในตอนนี้มุมปากของเย่เทียนเฉินเผยรอยยิ้มออกมา ถึงแม้จะยังมีรอยเลือดอยู่ แต่ในใจของเขายินดีเป็นอย่างมาก ความพยายามของตนไม่เสียเปล่าแล้ว ลุกขึ้นจากพื้น ฝ่ามือทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนไหว กระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางถูกควบคุมให้ลอยอยู่ด้านซ้ายด้านขวาของเย่เทียนเฉิน ส่วนเย่เทียนเฉินก็เดินก้าวไปยังโลงศพ
ซู่ม!
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินเดินไปด้านหน้าได้เพียงสองก้าวก็รู้สึกว่าเหนือศีรษะมีพลังประหัตประหารอันมากล้นกดทับลงมาอีกครั้ง ขาซ้ายของเขาจมลงไปจนเกิดรอยเท้าลึกบนแผ่นหินที่พื้น เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ตงฟางเมิ่งก็มองจนตกตะลึง เธอยืนอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องหิน ต่อให้ไม่ได้รับพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ที่แผ่ออกมาจากโลงศพก็ยังรู้สึกได้ สัมผัสได้ถึงความเผด็จการของพลังนั้น พลังนั้นยังเอาแต่ต่อต้านไม่ได้โจมตี ทำให้คนรับไม่ไหว พลังแห่งเส้นทางปราชญ์เป็นพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ
เปรี๊ยะ!
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินฝืนขยับขาขวาของตนเดินไปอีกก้าว เกิดสถานการณ์เช่นเดียวกัน ขาขวาของเขาจมลงไปจนปรากฏรอยเท้าลึกบนพื้น เหนือศีรษะราวกับมีภูเขาลูกหนึ่งกำลังกดทับลงมา เพียงแต่ภูเขาลูกนี้ไม่ได้โจมตี ทำเพียงขัดขวางเล็กน้อยเท่านั้น ดีที่กระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางยังแผ่พลังต้นกำเนิดออกไปด้วยตัวมันเองเพื่อขวางพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ส่วนนั้นเอาไว้ มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินอาจจะถูกพลังกดทับจนกลายเป็นกองเลือดไปแล้ว
“ไอ้โง่ รีบกลับมาซะ ยอมแพ้เถอะ นายเดินไปไม่ถึงโลงศพหรอก เดี๋ยวจะตายเอา!” ในตอนนี้ตงฟางเมิ่งเห็นเย่เทียนเฉินเดินไปที่โรงศพอย่างไม่คิดชีวิตจริงๆ เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าวเล็กๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวเช่นนี้แล้ว หากเดินไปถึงเบื้องหน้าโลงศพหินจริงๆ ถ้าถูกโจมตีจนจมลงไปในดินแบบนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ?
“ต่อให้ตายฉันก็จะไม่ยอมแพ้ ฉันเชื่อว่าจะต้องครอบครองกระบี่เซวียนหยวนได้แน่!” เย่เทียนเฉินกัดฟันเดินไปยังโลงศพหินต่อไป
“ปัญญาอ่อน ไอ้โง่ ไอ้บ้า…” ตงฟางเมิ่งแทบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เธอในตอนนี้ไม่ได้รับรู้อารมณ์ของตนเลย ตงฟางเมิ่งที่มีนิสัยประดุจภูเขาน้ำแข็งมาโดยตลอด ตอนนี้กลับร้อนรนขึ้นมา ตะโกนไปยังเย่เทียนเฉินเสียงดัง
เมื่อได้ยินเสียงของตงฟางเมิ่ง เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหันไป มองไปยังตงฟางเมิ่งด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจเอาเปรียบเธอ แน่นอนว่าถ้าเธอเต็มใจ ฉันก็จะรับผิดชอบเธอไปชั่วชีวิต ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ!”
พริบตานั้น ตงฟางเมิ่งชะงักอยู่กับ ที่ยืนตะลึงอยู่ที่เดิม มองไปยังเย่เทียนเฉิน มองรอยยิ้มที่สว่างไสวของเจ้าคนที่เธอเกลียดชัง แต่ไม่ได้มีความรังเกียจอีกต่อไป ราวกับผู้ชายที่รักตนเองอย่างลึกซึ้งกำลังสารภาพรักกับเธออีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น ตงฟางเมิ่งในตอนนี้มีภาพต่างๆ มากมายปรากฏขึ้นในสมอง เพื่อที่จะช่วยตน เย่เทียนเฉินข้ามภูเขาข้ามทะเล พบกับความลำบากมากมายกว่าจะมาถึงแนวเทือกเขาฉินหลิ่งทั้งยังต้องหาทางเข้าพรรคสุสานโบราณโดยที่แบกเธอไว้ที่หลังตลอด โอบกอดตนไว้ แม้เผชิญอันตรายหลายครั้งก็ไม่ยอมแพ้ ตอนนั้นเธออยู่ในสภาพหมดสติไม่รู้เรื่องอะไร เย่เทียนเฉินจะไม่สนใจเธอก็ได้ แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะดูเหลาะแหละดูไม่เอาไหนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบอะไร การฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกร่วมกันอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจต่อต้านได้ จึงไม่อาจตำหนิเขาได้ ทันใดนั้นตงฟางเมิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่ไม่เลวคนหนึ่งเลยจริงๆ บางทีอาจควรค่าที่จะมอบชีวิตให้ ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์จริงๆ ทำให้ผู้คนมอมเมาโดยไม่รู้ตัว
“ไปซะ นายอยากตายก็ไปตายเอง เธออย่าลากฉันไปเกี่ยวด้วย…ระวังให้ดี!” ตงฟางเมิ่งได้สติกลับมา ใบหน้าแดงก่ำ ตะโกนด่าเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์ แต่สุดท้ายยังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้ม ท่าทีจริงจังขึ้นมาก ตอนนี้ระยะห่างระหว่างเขากับโลงศพห่างกันไม่ถึงสิบก้าวแล้ว เพียงแต่ทุกก้าวที่เดินไปเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ที่กดทับลงมาเหนือศีรษะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะว่าเย่เทียนเฉินให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะกายเนื้อ และที่สำคัญก็คือกระบี่ไทอาและกระบี่อวี๋ฉางซึ่งเป็นกระบี่ 10 เทพบรรพกาลเช่นเดียวกัน มีพลังต้นกำเนิดที่สัมพันธ์กับกระบี่เซวียนหยวนคอยขวางพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ส่วนนั้นเอาไว้ ตอนนี้เย่เทียนเฉินคงถูกกดทับจนเละตายไปแล้ว!