เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 399 ผู้สร้างกระบี่เซวียนหยวน
เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ตนถูกพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ดึงเข้ามาในโลงศพแล้ว สิ่งที่อยู่ในโลงศพจะไม่ใช่ความว่างเปล่าที่ถูกปิดแน่น แต่ราวกับเป็นจักรวาลก็มิปาน ข้างกายของเย่เทียนเฉินมีสุริยันจันทราและดวงดาวลอยอยู่ ทั่วทั้งจักรวาลกว้างโล่งและเงียบสงัดราวกับมีเขาเพียงผู้เดียว
ไม่รู้ว่านี่คือสถานที่ใดและไม่รู้ว่าต่อไปจะมีอันตรายแบบไหน เย่เทียนเฉินทำได้เพียงเลือกที่จะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนไปช้าๆ จะอย่างไรก็ไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้ได้ สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ อาการบาดเจ็บของตนสาหัสขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งปีถึงจะหายดี แต่เมื่ออยู่ในสภาวะเช่นนี้ บาดแผลถึงกับดีขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาสัมผัสได้ว่าพลังอันอ่อนโยนในร่างกายกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแข็งแกร่งมากขึ้น รักษาชีพจรที่บาดเจ็บรวมไปถึงอวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว
ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 1 ชั่วโมงอาการบาดเจ็บของเย่เทียนเฉินก็หายดีแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เขารู้สึกว่ากายเนื้อของตนดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เขายืนขึ้นมองไปยังสุริยันจันทราและดวงดาวที่หดเล็กลงข้างกาย ในใจอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง หรือตนจะอยู่ในกระบี่เซวียนหยวน? นี่คือจักรวาลที่กระบี่เซวียนหยวนแปรสภาพไปและสร้างทิวทัศน์กฎเกณฑ์ของตนขึ้นมาเช่นนั้นหรือ?
รอบด้านเงียบสงัดราวกับไม่มีอะไร ไม่ได้ยินอะไร มองเห็นได้ไกล เสียงแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่มี เย่เทียนเฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดว่าตนถูกกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางปกป้อง ถูกพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ดึงเข้ามาในโลงศพ ถึงกับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ลึกลับเช่นนี้ หากนี่อยู่ในกระบี่เซวียนหยวนจริงๆ เช่นนั้นเขาจะออกไปอย่างไร?
ในตอนที่เพิ่งจะได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินก็ลองขับเคลื่อนพลังต้นกำเนิดภายในร่างกายไปสำรวจดูแล้ว พบว่าสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ไม่ใช่จินตนาการ ทุกสิ่งทุกอย่างคือความจริง เพียงแต่ใครจะเชื่อว่าในโลงศพเล็กๆ โลงหนึ่งจะมีโลกอยู่หนึ่งใบ จะมีจักรวาลอันกว้างใหญ่อยู่ สุริยันจันทราและดวงดาวข้างกายมีขนาดเล็กลง ราวกับมีเพียงร่างกายของตนที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ที่สุด
คนและสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนดำรงอยู่ภายในโลกใบเดียวกัน การก่อกำเนิดโลกใบนี้ย่อมมีกฎเกณฑ์ของมัน ก็เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งหลายที่ต้องผ่านการเกิดแก่เจ็บตาย นี่คือกฎเกณฑ์ของโลก ขอเพียงเป็นสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในนั้นล้วนต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ คนที่ไม่เคารพกสวรรค์เฉกและใช้หมดซัดเข้าไปปะทะ เกรงว่าคงมีเย่เทียนเฉินเป็นคนแรก
เปรี้ยง!
เสียงหนึ่งดังสนั่น เย่เทียนเฉินมองไปยังภาพเบื้องหน้า ถูกทำให้ตกตะลึงจนถึงกับนิ่งงัน เขาพบว่าเบื้องหน้าบริเวณไม่ไกล จู่ๆ ก็มีสายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดลงมา สายฟ้าเส้นนั้นอย่างน้อยก็มีขนาดเท่ากับถังน้ำ ในขณะที่ฟาดฟันลงมาถึงกลับกลายเป็นมังกรสายฟ้าตัวหนึ่งทะยานลงมาจนสะเทือนฟ้าสะท้านดิน ระเบิดออกบริเวณไม่ไกล กลายเป็นวงแหวนสายฟ้าที่มีเส้นรอบวงหนึ่งกิโลเมตร เย่เทียนเฉินสูดหายใจเย็นยะเยือก การโจมตีนี้มีพลังที่ไม่อาจคาดเดาได้ ต่อให้ตนในตอนนี้ที่รักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้วพุ่งเข้าไป หากถูกกันมังกรสายฟ้าตัวนี้โจมตีมาจะต้องร่างกายแหลกเหลวเป็นผุยผงแน่นอน จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
ซู่ม!
ลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งออกมา พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนกับไม้พลองด้ามหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น มังกรสายฟ้าตัวนั้นถึงกับบินไปห้อมล้อมลำแสงนั้นเอาไว้ ราวกับต้องการยับยั้งและกลืนกินมันลงไป
ตู้ม!
ฟ้าสั่นสะท้านอย่างหนักหน่วง ในที่สุดมังกรสายฟ้าก็ระเบิดออกอีกครั้ง ลำแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าลอยอยู่ในอากาศ เย่เทียนเฉินมองจนเหม่อยลอย นั่นคือกระบี่เล่มหนึ่ง
เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ค่อยๆ เข้าใกล้กระบี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศเล่มนั้น ในตอนที่เขาเดินไปถึงด้านใต้ของกระบี่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังเส้นทางแห่งปราชญ์อันมหาศาล อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในใจคิดว่า หรือกระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่เซวียนหยวน?
เดิมทีกระบี่เซวียนหยวนก็คือกระบี่แห่งปราชญ์ เป็นตัวแทนของสวรรค์ มีพลังอำนาจเปิดฟ้าแยกพสุธา แปรสภาพเป็นความลึกล้ำของจักรวาลที่ยากคาดเดา เพียงแต่เหตุใดจึงถูกมังกรสายฟ้าซึ่งเป็นทัณฑ์สวรรค์ที่ฟาดฟันลงมาโจมตีได้? ในจุดนี้ทำให้เย่เทียนเฉินไม่เข้าใจจริงๆ มังกรสายฟ้าตัวเขื่องที่เพิ่งจะลงมาเห็นได้ชัดว่าคือทัณฑ์สวรรค์ เย่เทียนเฉินเคยเป็นผู้แข็งแกร่งซึ่งมีพลังพิเศษในระดับพระเจ้าที่ดาวสิ้นโลก เขาเคยได้รับทัณฑ์สวรรค์มาก่อนเช่นกัน ดังนั้นทัณฑ์สวรรค์ที่มีพลังทลายฟ้าสะท้านดินฟาดฟันทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนั้นเย่เทียนเฉินย่อมรู้จักเป็นอย่างดี มังกรสายฟ้าตัวเมื่อครู่นี้เรียกได้ว่าเป็นทัณฑ์สวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดที่เย่เทียนเฉินเคยเห็น ทำให้เขาตกใจจริงๆ ราวกับว่ามันกำลังต่อต้านการก่อกำเนิดของกระบี่เซวียนหยวนอย่างไรอย่างนั้น
“ด้านหนึ่งคือสุริยันจันทราและดวงดาว ด้านหนึ่งคือขุนเขาสายธารแมกไม้และใบหญ้า เป็นกระบี่เซวียนหยวนไม่ผิดแน่ ถ้างั้นทำไม…”
เย่เทียนเฉินพึมพำกับตัวเองยังไม่ทันจบก็พบว่ากระบี่เซวียนหยวนกำลังสั่นไม่หยุด ส่งเสียงคำรามออกมา บินไปในส่วนลึกของจักรวาลอันมืดมิด เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ตนเองเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมาถึงที่นี่ก็เพื่อที่จะได้ครอบครองกระบี่เซวียนหยวน ตอนนี้จะออกไปได้หรือไม่ก็ยังไม่อาจทราบ เป็นไปได้มากว่าจะถูกขังที่นี่ไปชั่วชีวิตจนตาย ดังนั้นเมื่อคิดแล้วก็ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกไม่พอใจ รีบพุ่งทะยานเข้าไปในส่วนลึกแห่งความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นสภาวะที่ลึกลับมหัศจรรย์อย่างมาก ราวกับเย่เทียนเฉินเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในจักรวาลแห่งนี้ เดินอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล รอบด้านคือสุริยันจันทราและดวงดาว ราวกับว่าเพียงแตะเบาๆ ก็จะทำให้ดวงดาวระเบิดได้ สามารถจับมาเป็นของเล่นในมือได้ ช่างแปลกประหลาดจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้มีประสบการณ์เช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ทำได้เพียงไล่ตามกระบี่เซวียนหยวนไปเท่านั้น
ในตอนที่เย่เทียนเฉินกำลังไล่ตามลำแสงกระบี่ เดินหน้าไปตลอด ขับเคลื่อนพลังในร่างกายไปตลอด ตามไปยังทิศทางที่ลำแสงกระบี่นั้นบินไป เขาพบว่าทิวทัศน์รอบด้านของตนเปลี่ยนไปแล้ว เบื้องหน้าสุดของตนปรากฏกระท่อมผุพังที่ทำจากหญ้าฟางหลังหนึ่ง เบื้องหน้ากระท่อมเป็นโรงหลอมเล็กๆ ด้านในมีชายชราที่หนวดและผมขาวโพลน แผ่นหลังโค้งงอผู้หนึ่งกำลังสะบัดค้อนเล็กๆ ในมือตีอะไรบางอย่างอยู่ จนกระทั่งเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปมองใกล้ๆ จึงพบว่าในมือของชายชราผู้นั้นก็คือกระบี่เซวียนหยวน เย่เทียนเฉินตกใจจนพูดอะไรไม่ออกไปครึ่งค่อนวัน กระบี่เซวียนหยวนเป็นของเช่นไร เพียงแค่คิดก็ทราบได้ คนที่สามารถปราบและครอบครองมันได้จะต้องมีความสามารถเหนือกว่ามัน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเป็นคนที่มีโอกาสดีๆ และมีความห้าวหาญถึงจะทำได้ หากจะอาศัยแค่พลังอย่างเดียวปราบกระบี่เซวียนหยวน เกรงว่าคนที่จะสามารถเอาชนะพลังเส้นทางแห่งปราชญ์ได้จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพราชันแน่นอน แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ก่อกำเนิดจักรวาลจนถึงตอนนี้ จะมีผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันเกิดขึ้นกี่คนกัน? น้อยจนนับนิ้วได้!
แก๊ง!
แก๊ง!
แก๊ง!
มือซ้ายของชายชราคนนั้นจับด้ามกระบี่เซวียนหยวน มือขวาสะบัดค้อนเล็กๆ เคาะตีลงไปบนตัวกระบี่เซวียนหยวนครั้งแล้วครั้งเล่า เย่เทียนเฉินพบว่ากระบี่อยู่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเพิ่งจะถูกหลอมขึ้นมา เนื่องจากด้านหน้าและด้านหลังของตัวกระบี่ยังไม่มีภาพสลักอะไร ไม่มีสุริยันจันทราและดวงดาว ไม่มีขุนเขาสายธารแมกไม้และต้นหญ้า
เย่เทียนเฉินเห็นว่าชายชราคนนี้ตีลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จึงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป เขาอยากรู้จริงๆ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ชายชราคนนี้สามารถถือกระบี่เซวียนหยวนไว้ในมือได้ และยังทำการหล่อออกมาได้อีกด้วย หรือเขาจะเป็นคนที่สร้างกระบี่เซวียนหยวนขึ้นมา? กระบี่แห่งปราชญ์ถูกควบคุมตามใจแล้วยังถูกตีขึ้นมาอีกด้วย ชายชราผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันหรือ? จะร้ายกาจเกินไปหรือเปล่า?
“ผู้อาวุโสครับ ผมหลงทางเข้ามาที่นี่ ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย!” เย่เทียนเฉินเดินมาเบื้องหน้าชายชราแล้วพูดขึ้น
ชายชราคนนั้นได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉินก็ทำเพียงมองไปที่เย่เทียนเฉินอย่างเรียบเฉย ในสายตามีความแปลกใจปรากฏ แย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าเป็นเพียงคนตายคนหนึ่ง เจ้าคือคนที่เจ็ดที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ หกคนก่อนหน้าเจ้าล้วนตายไปหมดแล้ว เจ้าจะกลายเป็นคนที่เจ็ดหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา เย่เทียนเฉินก็เดินถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว พลังที่อยู่ในร่างกายถูกรีดเร้นจนอยู่ในสภาพสูงสุดเพียงชั่วพริบตา เขาไม่กล้าลำพองใจ ชายชราผู้นี้ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา มือจับกระบี่เซวียนหยวนใช้ค้อนตีลงไป นี่ไม่ใช่กระบี่ธรรมดาแต่เป็นกระบี่แห่งปราชญ์ ถูกจับอยู่ในเมืองง่ายๆ เช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการกุมฟ้าดินอยู่ในมือหรือ? จะน่ากลัวเกินไปแล้ว เย่เทียนเฉินเองก็ป้องกันตัวโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าชายชราคนนี้จะเป็นใคร ไม่ว่าในมือของเขาจะเป็นกระบี่เซวียนหยวนหรือจะเป็นคนที่สร้างกระบี่เซวียนหยวนขึ้นมา แต่พลังบ่มเพาะล้วนลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ทำให้ส่วนลึกในใจของเขาต้องสั่นสะท้าน
“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ข้าเองก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้น ข้าเป็นเพียงรอยประทับจิตวิญญาณที่ผู้สร้างกระบี่เซวียนหยวนหลงเหลือไว้เท่านั้น หกคนที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้ตายไปหมดแล้ว สาเหตุก็คือพวกเขาไม่สามารถปราบกระบี่เซวียนหยวนได้จึงถูกพลังแห่งปราชญ์ฆ่าตาย!” ชายชราส่ายหน้า มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ถ้างั้นที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ภายในตัวกระบี่เซวียนหยวน เจ้าเป็นคนแรกในรอบพันปีที่สามารถเข้ามาในตัวกระบี่ได้ ในร่างกายของเจ้ามีศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดอยู่ บางทีอาจจะลองดูเสียหน่อย!” ชายชรามองสำรวจเย่เทียนเฉินครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินชะงักไป หนึ่งพันปีแล้ว ตนเองเป็นคนแรกในรอบพันปีที่เข้ามาในตัวกระบี่เซวียนหยวนได้ หกคนก่อนหน้านี้ตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครทำสำเร็จ ทุกคนล้วนร่างกายแหลกเลวจนตาย ชายชราเบื้องหน้านี้เป็นใครกันแน่? แค่เพียงรอยประทับจิตวิญญาณก็มีพลังลึกลับไม่อาจคาดเดาแล้ว
“ขอบังอาจถามท่านอาวุโส ท่านคือใครหรือครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม ไม่สนฟ้า ไม่สนดิน ก็มิใช่ว่าจะหยิ่งยโส ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วนก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคุณธรรมเคารพผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก
“ข้าเป็นคนสร้างกระบี่เซวียนหยวน ข้าเองก็ตายเพราะมัน ข้าถูกเรียกว่าปรมาจารย์กระบี่” ชายชรามองกระบี่เซวียนหยวนในมือแล้วพูดขึ้น ก่อนจะส่ายหน้า
ไม่ผิดไปจากที่คาด ชายชราที่มีเส้นผมและหนวดเคราขาวโพลนทั้งหมด ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า มือซ้ายจับกระบี่เซวียนหยวน มือขวาถือค้อนเล็กๆ เคาะลงไปบนกระบี่ เขาก็คือปรมาจารย์กระบี่ที่เป็นผู้สร้างกระบี่เซวียนหยวนนั่นเอง
“ผู้อาวุโสครับ ถ้าผมลองแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่ลองแล้วจะเป็นอย่างไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากถาม
“ลองก็อาจจะประสบความสำเร็จในการครอบครองกระบี่เซวียนหยวน ไม่ลองก็ไม่มีอันตรายอะไร เพียงแต่ไม่อาจออกไปจากกระบี่นี้ได้จนตาย!” ปรมาจารย์กระบี่พูดอย่างเรียบเฉย
เย่เทียนเฉินชะงักไปทั้งร่าง คำพูดของปรมาจารย์กระบี่เขาเข้าใจกระจ่างชัด หากลองดูเสียหน่อย บางทีก็อาจจะได้รับกระบี่เซวียนหยวนมา เพียงแต่แค่อาจจะเท่านั้น ความเป็นไปได้อันสูงสุดก็คือ เขาจะเป็นเหมือนกับหกคนก่อนหน้านี้ ร่างกายแหลกเหลวจนตาย ถ้าไม่ลองก็ไม่สามารถออกไปจากตัวกระบี่ได้ชั่วชีวิต ทำได้เพียงแก่ตายอยู่ในกระบี่เซวียนหยวน
“ถ้างั้นพลังบ่มเพาะของหกคนก่อนหน้านี้เป็นยังไงครับ?” เย่เทียนเฉินถามต่อไป
“ล้วนสูงส่งกว่าเจ้ามาก ผู้ที่ร้ายกาจที่สุดมีความสามารถอยู่ในขั้นสุดท้ายของขอบเขตนักรบจักรพรรดิ อีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขอบเขตเทพราชันแล้ว แต่ก็ยังตาย…” ปรมาจารย์กระบี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก
……………..