เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 402 เส้นทางการบ่มเพาะที่แตกต่างออกไป
“ไม่ใช้พลังจักรวาลอีกแม้แต่น้อย ทำให้ไม่ต้องเคารพกฎเกณฑ์ในจักรวาล เดินสู่เส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวที่แตกต่างออกไปงั้นหรือ?”
ปะมาจารย์กระบี่ทวนคำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉินอีกครั้ง ชะงักไปทั้งร่าง ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ในดวงตาอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนนี้ ปรมาจารย์กระบี่สร้างกระบี่เซวียนหยวนขึ้นมา เขายอมไม่ใช่บุคคลธรรมดา สำหรับคำพูดของเย่เทียนเฉิน ความเข้าใจและคำนิยามที่เย่เทียนเฉินมีให้เส้นทางชีวิตยืนยาว ใช้เพียงแค่ไม่กี่ประโยคนี้ก็เข้าใจชัดเจนแล้ว
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกยุคสมัยในจักรวาลนี้ มีผู้เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะมากมาย มีผู้ที่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อตามหาชีวิตยืนยาวจนชีวิตจบสิ้น มีผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพราชันปรากฏตัว นั่นเป็นระดับที่ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องเงยหน้ามอง มีเพียงไปถึงระดับนั้นถึงจะเดินบนเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวได้ไกลยิ่งขึ้น เนื่องจากในระดับสูงส่งเช่นนั้น อาศัยเพียงความสามารถที่แข็งแกร่งจนทั่วทั้งจักรวาลต้องเคารพเพียงตัวเองผู้เดียว ขอบเขตความเข้าใจย่อมแตกต่างกัน บางทีอาจจะสืบเสาะสิ่งที่แตกต่างไปได้ แต่ภายในจักรวาลนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มีชีวิตยืนยาวอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพราชันก็มีบันทึกว่าละสังขารไปเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็หายไปไม่พบตัวตน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย กระทั่งพวกเขาเองก็ไม่มีชีวิตยืนยาว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย….
บางทีวิธีคิดของเย่เทียนเฉินอาจจะมีอีกเส้นทางหนึ่ง ในความเข้าใจของเขา ต่อให้ในจักรวาลนี้มีบันทึกของผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันอยู่ พวกเขาไปถึงสภาวะความสามารถที่ไม่มีผู้ใดต่อกรได้แล้ว เพียงแต่พวกเขายังคงใช้พลังในจักรวาลแห่งนี้ พวกเขาต้องหยิบยืมพลังของจักรวาลจึงไปถึงระดับนั้นได้ จะอย่างไรก็หนีไม่พ้นความเกี่ยวข้องกับจักรวาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์ของจักรวาล สุดท้ายหากจะหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์นี้ก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็เหมือนกับที่เย่เทียนเฉินพูด ผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันพวกนี้ไร้ผู้ต่อกรในใต้หล้า ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเขาจะค้นพบส่วนนี้และต้องการที่จะใช้ความสามารถทำลายกฎเกณฑ์จักรวาล ไม่เคารพกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะพวกเขาใช้ได้เพียงพลังจากจักรวาลเท่านั้น หากต้องการต่อต้านจักรวาลจะเอาชนะได้อย่างไร?
ดังนั้นวิธีเพียงหนึ่งเดียวก็คือต้องไม่ใช้พลังของจักรวาลมาทำการทะลวงพลังการบ่มเพาะ ไม่ควรแปดเปื้อนพลังของจักรวาลตั้งแต่แรกเริ่ม ถ้าหากทำเช่นนี้แล้วไปถึงขอบเขตเทพราชันได้ บางทีอาจจะยังมีความหวังที่จะทำลายกฎเกณฑ์ของจักรวาล เพียงแต่วิธีการเช่นนี้บ้าคลั่งเกินไป ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จแทบจะเป็นศูนย์ พลังของคนเพียงคนเดียวมีจำกัด อาศัยพลังของตนเองทำการทะลวงขอบเขต ไม่รู้ว่ายากลำบากกว่าการใช้พลังจักรวาลกี่เท่า ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องใช้เวลามาก อาจจะสิบปีแปดปีถึงจะทะลวงได้ขอบเขตหนึ่ง และอาจจะทะลวงได้เพียงขอบเขตเดียวไปชั่วชีวิต จนกระทั่งเมื่อถึงตอนที่ทะลวงขอบเขตเทพราชันได้ คนก็คงกายเป็นฝุ่นไปแล้ว!
กล่าวไปแล้ว เย่เทียนเฉินต้องการทำให้ตนไม่แปดเปื้อนพลังจักรวาล อาศัยเพียงความสามารถของตนทะลวงขอบเขต บางทีในตอนที่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันแล้วอาจจะทำลายกฎเกณฑ์จักรวาลได้ เพียงแต่ความเป็นไปได้นี้แทบจะเป็นศูนย์ จึงยังมีเพียงความคิดความเข้าใจเท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าไม่คิดว่าตัวเองบ้าคลั่งเกินไปหรือ? สิ่งที่เจ้าพูด บางทีอาจเป็นสาเหตุที่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีใครมีชีวิตยืนยาวก็เป็นได้ นั่นก็เพราะต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องใช้พลังของจักรวาลนี้ และมีชีวิตอยู่ในจักรวาล ดังนั้นสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ได้ แต่หากต้องการอาศัยเพียงตนเองในการบ่มเพาะและทะลวงขอบเขต ย่อมเป็นเพียงความฝันที่คนโง่งมพูดกันเท่านั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!” ปรมาจารย์กระบี่พลันหัวเราะขึ้นมา ในใจรู้สึกนับถือเย่เทียนเฉินที่มองกฎเกณฑ์ของจักรวาลนี้ออก ในขณะเดียวกันปฏิเสธความคิดของเย่เทียนเฉิน เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครอาศัยพลังของตนทะลวงขอบเขตการบ่มเพาะไปได้ ไม่ใช่จะกล่าวว่าไม่มีความเป็นไปได้ แต่ไม่เคยมีใครลอง เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว เหตุผลนั้นง่ายมาก เมื่อคนเกิดมาก็มีชีวิตอยู่ในจักรวาลแล้ว น้ำ อากาศ เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย มีอะไรบ้างที่ไม่เกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์ของจักรวาลแห่งนี้? หากจะพูดว่าไม่อยากพึ่งพาพลังของจักรวาล เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากจริงๆ
เย่เทียนเฉินมองปรมาจารย์กระบี่แต่ไม่ได้พูดอะไร ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นในสมองเขาเท่านั้น หากจะทำมันให้สำเร็จยังต้องใช้ความพยายามมาก ต้องทดลองดูอีกมาก บางทีในขั้นตอนนี้ เขาเพิ่งลองก็อาจจะพบกับความล้มเหลวแล้วก็เป็นได้ ไม่แน่ว่าอาจจะร่างกายแหลกเหลวจนตายไปก็ได้ เพียงแต่ในสภาพแวดล้อมพิเศษเช่นนี้เขามีตระหนักรู้ขึ้นมา เขาจะไม่เดินไปในเส้นทางการบ่มเพาะเหมือนคนรุ่นก่อน ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกเขายังคงเดินอยู่บนเส้นทางนั้น 10 ปีเต็มๆ แต่ก็ไม่สามารถทะลวงขอบเขตการบ่มเพาะไปได้แม้แต่น้อย ในตอนนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่ากฎเกณฑ์ในจักรวาลแห่งนี้ต่างกำหนดวิธีการบ่มเพาะแก่ผู้บ่มเพาะทุกคนแล้ว ในตอนที่ทะลวงขอบเขตพลังต้องใช้พลังฟ้าดินจำนวนมาก มิฉะนั้นดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทะลวงขอบเขตการบ่มเพาะไปได้เลย แม้จะทำเช่นนี้ก็ยังทะลวงขอบเขตไปได้ยากจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นโลกที่คนกินคน ทุกคนต่างแสวงหาลังอันแข็งแกร่ง ไม่ว่าใครก็อยากเดินทางลัด ล้วนใช้พลังของจักรวาลมายกระดับขอบเขตพลังของตน จะมีกี่คนที่เลือกเส้นทางอันยากลำบาก ใช้เพียงพลังของตนทะลวงขอบเขตพลังบ้าง? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณเจอศัตรูคู่แค้นหรือยอดฝีมือจะไม่ตายเปล่าเหรอ?
อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินเป็นคนที่ดื้อรั้นคนหนึ่ง และเป็นคนที่มีความเพียรพยายามมากคนหนึ่ง ในความคิดของเขา ก่อนหน้านี้จะต้องมีคนคิดถึงวิธีแบบนี้ได้แล้วแน่นอน คิดถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเทพราชันเหล่านั้นจะมีใครโง่กว่าเย่เทียนเฉินบ้าง? เย่เทียนเฉินเพียงคิดว่า ทางที่คนรุ่นก่อนเดินกันไม่อาจผ่านไปได้ ถ้าตนยังเดินเส้นทางนั้นต่อไปอีกก็เป็นการลำบากไปเปล่าๆ สุดท้ายก็จะว่างเปล่า มิสู้ทำให้มันว่างเปล่าตั้งแต่ตอนนี้ มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นถึงจะสามารถบรรจุความหวังลงไปได้
แน่นอนว่านี่เป็นความคิดที่เย่เทียนเฉินมีต่อการบ่มเพาะต่อไปนี้เท่านั้น ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ ยังขาดอีกมาก หากต้องการทำให้มันเป็นจริงก็ยังขาดไปมาก มีเส้นทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดิน เรื่องราวต้องค่อยๆ กระทำ ทำให้สำเร็จไปทีละเรื่อง ทำเรื่องเบื้องหน้าก่อนเป็นสำคัญ
“ปรมาจารย์กระบี่ ผมหวังว่าคุณจะบอกความจริงกับผมให้เร็วซักหน่อย ไม่งั้นผมจะนั่งบ่มเพาะต่อไปแล้ว บ่มเพาะที่นี่ ผมรู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อพลังบ่มเพาะของตัวเอง หาได้ยากจริงๆ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังปรมาจารย์กระบี่แล้วยกยิ้มชั่วร้าย
ปรมาจารย์กระบี่จ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน อดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ เย่เทียนเฉินคนนี้ดูแล้วท่าทีพึ่งพาไม่ได้ มีท่าทีไม่สนใจอะไร แต่กลับเป็นคนที่มีความพยายามและความกล้าหาญคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเข้าใจที่เขามีต่อเส้นทางการบ่มเพาะเหนือล้ำตนไปมากแล้ว คนคนนี้ดูเบาไม่ได้เลย!
“ที่นี่คือด้านในของกระบี่เซวียนหยวน มีโลกเล็กๆ อันว่างเปล่าอยู่ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่รู้ว่าผู้บ่มเพาะกี่คนที่ไม่อาจรับรู้ถึงสภาวะลึกลับเช่นนี้ไปได้ชั่วชีวิต เจ้าหนู เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉาง บางทีตั้งแแต่ที่เจ้าได้รับกระบี่สองเล่มนี้มาก่อนหน้านี้คงถูกลิขิตไว้แล้ว เพิ่มความเป็นไปได้ที่เจ้าจะปราบกระบี่เซวียนหยวนขึ้นมาก!” ในที่สุดปรมาจารย์กระบี่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจแล้วพูดออกมา
“อย่ายัดเยียดให้ผมแบบนี้เลย ผมไม่มีเวลาให้ถ่วงอีกแล้วจริงๆ ยังคิดจะไปเดินเล่นที่อื่นอีก ตอนนี้ต่อให้ส่งกระบี่เซวียนหยวนเข้ามาที่มือผม ก็ไม่แน่ว่าผมจะต้องการ เพราะผมพบว่าในความว่างเปล่าอันแปลกประหลาดนี้มีของมากมายที่รอให้ผมไปสำรวจอยู่ ผมไม่ได้ล้อเล่น!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ปรมาจารย์กระบี่ก็อยากฆ่าเจ้าหนูนี่ให้ตายจริงๆ เดิมทีคิดว่าอาศัยบรรยากาศเฉกเช่นยอดฝีมือ รวมกับความจริงที่ตนเป็นผู้สร้างกระบี่เซวียนหยวน ทำให้มั่นใจว่าจะต้องเป็นเหมือนกับยอดฝีมือหกคนก่อนหน้านี้แน่ จะสามารถหลอกลวงเย่เทียนเฉินได้แน่ รวมกับที่เย่เทียนเฉินมีขอบเขตการบ่มเพาะค่อนข้างต่ำ และยังอายุน้อย ควรจะหลอกง่ายถึงจะถูก ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าหนูนี่ดูผิวเผินพึ่งพาไม่ได้ แต่กลับฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่หลงกลตนเองแม้แต่น้อย กลับบีบบังคับปรมาจาย์กระบี่อย่างเขาได้อีก
ตอนนี้เย่เทียนเฉินเดินไปที่ข้างห้องหลอม มองทิวทัศน์รอบๆ ค่อยๆ หลับตาลง เขากำลังตระหนักรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเล็กๆ ใบนี้ นี่เป็นจักรวาลที่แปรเปลี่ยนมาจากกระบี่เซวียนหยวน สร้างขึ้นเป็นฟ้าดิน ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มิน่าล่ะจึงถูกโจมตีจากทัณฑ์สวรรค์ เนื่องจากกระบี่เซวียนหยวนสามารถสร้างโลกแห่งนี้ได้ คงไม่ต้องเคารพกฎเกณฑ์ของโลกแล้ว จะไม่ขัดขวางได้อย่างไร?
“เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้า ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า ข้ามีเวลาไม่มากแล้ว!” ปรมาจารย์กระบี่เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทอดถอนใจแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้า ทำให้หัวใจของตนผ่อนคลาย ไม่มีการป้องกันใดๆ ไม่มีความคิดซับซ้อน นำเอาความคิดทั้งหมดของตนไปใส่ไว้ในจักรวาลเล็กๆ ที่อยู่ในตัวกระบี่เซวียนหยวนแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
“เจ้าหนูลืมตาดูหน่อยได้หรือไม่ ตอนนี้ข้าต้องการกลับคืนสู่ช่วงเวลาที่ได้สร้างกระบี่เซวียนหยวนขึ้นมา…” ปรมาจารย์กระบี่อดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่เย่เทียนเฉิน
“มาเถอะ ผมมองเห็น!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย ลืมตาทั้งสองขึ้น มีท่าทีจริงจังหาใดเปรียบ เนื่องจากเขาคาดเดาได้ถึงความบ้าคลั่งในช่วงเวลาที่กระบี่เซวียนหยวนก่อกำเนิด
ปรมาจารย์กระบี่พยักหน้า ยื่นมือทั้งสองออกไปเป็นฝ่ามือ มีลำแสงพุ่งออกมา เกิดเป็นทิวทัศน์เหมือนกับห้องหลอมที่เย่เทียนเฉินยืนอยู่ในตอนนี้ทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่ข้างเตาหลอมที่สร้างกระบี่นั้น ปรมาจารย์กระบี่กำลังตีเหล็กไม่หยุด ลเย่เทียนเฉินรู้ว่านั่นคือภาพการสร้างกระบี่เซวียนหยวนของปรมาขารย์กระบี่ เขามองอย่างละเอียด นำความคิดทั้งหมดใส่ลงไป
แก๊ง!
แก๊ง!
แก๊ง!
ยังคงเป็นเสียงตีเหล็กที่ดูธรรมดามาก เพียงแต่ทุกค้อนที่ปรมาจารย์กระบี่ฟาดลงไป ของในมือซ้ายของเขาที่ดูคล้ายเหล็กจะมีปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดออกมา ฟาดลงไปครั้งหนึ่งเกิดภาพสุริยันจันทราและดวงดาว ฟาดลงไปครั้งที่สองเกิดภาพขุนเขาสายน้ำแมกไม้และใบหญ้า ฟาดลงไปครั้งที่สามปรากฏวิชากสิกรรม ฟาดลงไปครั้งที่สี่ปรากฏกลยุทธ์รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ช่างทำให้ผู้คนแปลกใจจริงๆ ปรมาจารย์กระบี่เองก็ถูกภาพเช่นนี้ทำเอาตกใจ แต่สำหรับปรมาจารย์หลอมกระบี่ที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ยิ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดก็ยิ่งทำให้เขากระตือรือร้น ต้องการเห็นให้ถึงที่สุด ปรมาจารย์กระบี่ราวกับมีพละกำลังเรี่ยวแรงไม่หมดไม่สิ้น สุดท้าย ในตอนที่ไม่รู้ว่าเขาฟาดค้อนลงไปกี่ครั้งก็เกิดเสียงดังสนั่นสะท้านฟ้า มังกรสายฟ้าตัวใหญ่เท่ากับถังน้ำทะยานลงมา…