เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 407 โลกเมื่อหมื่นปีก่อน
“ช่วยคุณเรื่องหนึ่ง? นี่ผมก็ต้องคิดดูก่อน ถ้าหากคุณต้องการให้ผมแก้แค้นแทนคุณคงยากมาก คนที่ลอบสังหารคุณเมื่อปีนั้นอาจจะตายไปแล้ว ยังไงซะก็เป็นเรื่องเมื่อหมื่นปีก่อน ส่วนเรื่องอื่นผมก็ยังไม่กล้าพูด บนโลกนี้ คนที่มีชีวิตอยู่มาเป็นหมื่นปีคงไม่มีแล้ว นอกจากนั้น หากคนคนนี้ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ทะลวงพลังมาเป็นหมื่นปี คงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันไปแล้ว คุณคิดว่าผมจะเป็นคู่มือเขาได้หรือไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงยกกาเหล้าในมือขึ้นดื่ม พูดว่า “แก้แค้นเป็นเพียงเรื่องเดียว ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ ข้าคิดตกแล้ว ในใจของข้ายังมีเรื่องที่สำคัญกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือ ยอดฝีมือที่ลอบสังหารข้าเมื่อปีนั้นจะต้องยังไม่ตายแน่นอน เจ้าอย่าได้ถามข้าว่าเพราะเหตุใด มันเป็นเพียงสัญชาตญาณ และเขายังไม่ทะลวงไปถึงขอบเขตเทพราชันแน่ หากกลายเป็นเทพราชันจริงๆ และกลายเป็นผู้ปกครองจักรวาลจริงๆ เขาต้องมารวบรวมสิบกระบี่บรรพกาลแล้ว เป็นไปได้มากว่าเขายังบ่มเพาะอยู่ที่ดาวจักรพรรดิ”
“งั้นที่คุณบอกว่ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคืออะไร?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินคำถามของเย่เทียนเฉิน ปรมาจารย์กระบี่ก็ดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเดินไปข้างห้องหลอม มองไปยังดวงดาวรอบๆ นี่คือช่องว่างอันแปลกประหลาดที่อยู่ภายในกระบี่เซวียนหยวน สร้างเป็นโลกเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวขึ้นมา ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่จึงดำรงอยู่จริงๆ เพียงแต่คนที่เข้ามาในนี้ หากต้องการจะออกไปเป็นเรื่องยากมาก มีเพียงการปราบกระบี่เซวียนหยวนให้ได้ถึงจะออกไปได้ หกคนก่อนหน้าเย่เทียนเฉินล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูง ผู้ที่มีพลังบ่มเพราะสูงส่งที่สุดไปถึงระดับนักรบจักรพรรดิขั้นปลายแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตเทพราชัน เพียงแต่น่าเสียดายที่พ่ายแพ้ ถูกพลังแห่งสวรรค์ของกระบี่เซวียนหยวนฆ่าตาย ในวันที่คนทั้งหกมาถึงช่องว่างภายในกระบี่เซวียนหยวนล้วนแต่ยโสโอหัง เป็นผู้มีฝีมือล้ำเลิศที่เชื่อมั่นในตัวเองและอาศัยเพียงพลังอันยิ่งใหญ่ของตัวเองในการปราบกระบี่เซวียนหยวน ไม่มีใครคิดจะพูดคุยกับปรมาจารย์กระบี่เหมือนเย่เทียนเฉิน ไปลองปราบกระบี่เซวียนหยวนโดยตรง จนต้องตกอยู่ในจุดจบที่ร่างกายแหลกเหลว
ในตอนที่เย่เทียนเฉินมาถึงช่องว่างแห่งนี้ ความจริงปรมาจารย์กระบี่สังเกตุเห็นเขาแล้ว ปรมาจารย์กระบี่พบว่าถึงแม้เย่เทียนเฉินจะอายุน้อย พลังบ่มเพาะก็ไม่นับว่าสูงส่ง แน่นอนว่าไม่อาจเทียบเขาได้ หากดูในช่วงที่อายุเท่ากัน เย่เทียนเฉินที่อายุ 20 ปีก็ได้รับความสามารถขั้นสูงของพลังพิเศษระดับจอมราชันแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าพลังบ่มเพาะบนโลกใบนี้แห้งเหือดจนไม่สามารถทะลวงพลังต่อไปได้ เกรงว่าเย่เทียนเฉินคงไปถึงขอบเขตจักรพรรดิแล้ว พูดได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่ง ที่สำคัญก็คือเย่เทียนเฉินอายุน้อยเช่นนี้แต่มีศักยภาพแข็งแกร่งแน่วแน่ มีใจแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ที่ทำให้ปรมาจารย์กระบี่คิดไม่ถึงก็คือผู้ที่เดินบนเส้นทางบ่มเพาะ ถ้าต้องการไปถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง หากไม่มีใจอันเด็ดเดี่ยว ไม่มีความกล้าที่จะเดินต่อไป ไม่มีใจที่ไม่ยอมแพ้ ย่อมไม่อาจเดินไปได้ เพราะเส้นทางการบ่มเพาะยากลำบากมาก นอกจากต้องมีพรสวรรค์และการเรียนรู้ที่น่าหวาดกลัว ที่สำคัญก็คือความแน่วแน่พยายาม
และเป็นเพราะปรมาจารย์กระบี่มองเห็นส่วนนี้ของเย่เทียนเฉิน คิดว่าเจ้าหมอนี่เป็นผู้มีความสามารถที่น่าคาดหวังจึงโผล่หน้าออกมาทดสอบ ซึ่งปรมาจารย์กระบี่มีเรื่องที่คิดจะปิดบังจริงๆ กระทั่งต้องการหลอกลวงให้เย่เทียนเฉินไปทำการปราบกระบี่เซวียนหยวนโดยตรง ไหนเลยจะรู้ว่าจะถูกเย่เทียนเฉินมองออก นี่ทำให้ปรมาจารย์กระบี่ยิ่งต้องเปลี่ยนมุมมอง บางทีเย่เทียนเฉินอาจทำสำเร็จจริงๆ หลังจากยอดฝีมือหกคนนั้น คนที่เจ็ดอาจจะปราบกระบี่เซวียนหยวนได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ความเป็นไปได้นี้จะต่ำมากก็ตาม จะอย่างไรหากเทียบกับยอดฝีมือทั้งหกคนก่อนหน้าเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินมีพลังบ่มเพาะต่ำกว่ามาก อาจจะมีจุดจบที่ต้องร่างกายแหลกเหลวเช่นกันก็ได้
“เห้อ เมื่อปีนั้นข้ายังไม่ใช่ปรมาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนนั้นบนโลกมีผู้บ่มเพาะมากมาย มีพรรควรยุทธราวดอกเห็ด ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน หลายคนอยากได้อาวุธเทพมาอยู่ในมือ ข้าซึ่งเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กจึงยุ่งมาก ตอนนั้นข้าเป็นเพียงช่างตีเหล็กอันดับต้นๆ ท่านั้น และมีคู่ต่อสู้ที่แย่งชิงกันอยู่ ดังนั้นข้าจึงอยากกลายเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในใต้หล้า และเพราะเหตุนี้จึงตีเหล็กจนลืมวันลืมคืน ทำให้ภรรยาของข้าพาลูกสาวไปจากข้า!” ปรมาจารย์กระบี่ทอดถอนใจ ดูท่าทางเสียใจมาก คนก็มีท่าทีเศร้าโศก
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถามว่า “พวกเธอไปไหน?”
“ดาวจักรพรรดิ!” ปรมาจารย์กระบี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วพูดขึ้น
“ดาวจักรพรรดิ ดูแล้วเป็นตัวตนที่ลึกลับจริงๆ ไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นโลกแบบไหน อยากไปเห็นจริงๆ!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ปรมาจารย์กระบี่นั่งลงข้างโต๊ะไม้อีกครั้ง หยิบกาเหล้าขึ้นมาดื่ม ดื่มลงไปอึกใหญ่ เห็นได้ว่าในใจของเขายังคงเจ็บปวดและเสียใจ เมื่อปีนั้นเขาเพียงคิดอยากจะเป็นช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในใต้หล้าจนละเลยภรรยาและลูกสาวของตน ไม่ได้ดูแลพวกเธอให้ดี ทำให้ภรรยาและลูกสาวเดินทางไปดาวจักรพรรดิ
“หลังจากพวกนางสองแม่ลูกไปจากข้า เดินทางไปยังดาวจักรพรรดิ ข้าก็ยังตีเหล็กจนลืมวันลืมคืน ต้องการเป็นช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในใต้หล้าจนไม่ได้สังเกตุเห็นเลย ความจริงเป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายก็ยังตาย ไม่อาจมีชีวิตยืนยาว มิสู้หนึ่งครอบครัวสามคนอยู่ด้วยกันชั่วชีวิตอย่างมีความสุขเสียยังจะดีกว่า…จากนั้นในที่สุดข้าก็กลายเป็นช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนนั้นข้าเองก็ชราแล้ว หันหัวกลับไปจึงพบว่าอยู่เพียงลำพัง นับวันก็ยิ่งคิดถึงภรรยาและลูกสาวของตน ข้าจึงพบว่าครอบครัวสำคัญเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ไม่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะได้ เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันกับครอบครัวอาจจะมีเพียงไม่กี่สิบปี ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจเดินทางไปดาวจักรพรรดิเพื่อไปตามหาพวกนางสองแม่ลูก แต่ตอนนั้นข้าได้รับเหล็กก้อนนั้นมา ซึ่งก็คือกระบี่เซวียนหยวน จึงตีเหล็กก้อนนั้นจนลืมวันลืมคืนคล้ายกับปีศาจ เรื่องหลังจากนั้นเจ้าก็รู้หมดแล้ว….” ปรมาจารย์กระบี่พูดด้วยท่าทีโศกเศร้า
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงความเสียใจของปรมาจารย์กระบี่อย่างแท้จริง จากสายตาของเขา เขามองออกว่าอีกฝ่ายต้องการพบภรรยาและลูกสาวของตนมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่คงลำบากมากแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงรอยประทับจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ หากไม่อยู่ในช่องว่างของกระบี่เซวียนหยวนและถูกรักษาให้อยู่รอดต่อไป เกรงว่าคงหายไปนานแล้ว ไม่อาจอยู่ต่อไปได้
“ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถมีชีวิตเป็นอมตะ เป็นสิ่งที่สมควรหวงแหน แต่หวงแหนแล้วยังไงล่ะ? ไม่มีชีวิตยืนยาว สุดท้ายก็ล้วนต้องตาย ตัวเองตายไม่สำคัญ แต่ความรู้สึกไร้พลังที่ต้องมองดูครอบครัวของตนตายไปต่อหน้าทีละคนยังน่าเศร้ายิ่งกว่าตัวเองตายนับหมื่นเท่า ดังนั้นไม่ว่าจะเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อแม่และน้องสาว หรือเพื่อแก้แค้นให้สหายที่ดาวสิ้นโลก ฉันเย่เทียนเฉินจะต้องไปดาวจักรพรรดิให้ได้!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวหนักแน่นในใจ
“เพียงแต่ผ่านไปหมื่นปีแล้ว ต่อให้ภรรยาและลูกสาวของคุณเดินทางไปดาวจักรพรรดิก็อาจจะ…” เย่เทียนเฉินไม่อยากทำลายความหวังสุดท้ายของปรมาจารย์กระบี่จึงหยุดพูดอยู่เท่านั้น
“ข้ารู้ เจ้าอยากพูดว่าพวกนางตายไปแล้ว แต่ที่ข้าอยากบอกเจ้าก็คือ การที่ดาวจักรพรรดิถูกเรียกว่าดาวจักรพรรดิ นอกจากเป็นเพราะตั้งแต่จักรวาลก่อกำเนิดโลกจนมาถึงปัจจุบันมีผู้ยิ่งใหญ่หลายคนที่ไปที่นั่นแล้ว ยังเป็นเพราะดาวจักรพรรดิเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันและความพิศวง ที่นั่นผู้แข็งอกร่งที่เหาะเหินเดินอากาศ พลิกฝ่ามือเคลื่อนเมฆหรือโบกมือเรียกฝนมีจำนวนมาก และยังมีทั้งมนุษย์ สัตว์ประหลาดและปีศาจดำรงอยู่ เพราะเหตุนี้ผู้แข็งแกร่งทุกคนจึงไล่ตามพลัง ไล่ตามความเป็นอมตะ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่รวบรวมวิธีการมีชีวิตยืนยาวอยู่มากที่สุด การมีชีวิตอยู่เป็นหมื่นปีไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด ต่อให้จะทำได้ยาก แต่ภรรยาของข้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับนักรบจักรพรรดิขั้นต้นตั้งแต่ก่อนจะเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การเรียนรู้และพรสวรรค์ของนางสูงส่งกว่าข้านัก!” ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง
คำพูดนี้ของปรมาจารย์กระบี่ทำให้เย่เทียนเฉินตกตะลึงจนอ้าปากค้างจริงๆ คิดไม่ถึงว่าดาวจักรพรรดิจะเป็นโลกแบบนั้น ที่ทำให้เขาอยากรู้ก็คือ ภรรยาและปรมาจารย์กระบี่ต่างก็เป็นยอดฝีมือในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นต้น ผ่านไป หมื่นปีแล้ว ไม่รู้ว่าภรรยาของปรมาจารย์กระบี่จะกลายเป็นตัวตนแบบไหน คงไม่ได้กลายเป็นเทพราชันไปแล้วหรอกนะ? ต้องทราบว่าในจักรวาลแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่มีเรื่องเล่าว่าผู้หญิงเป็นเทพราชันเลย!
“คุณไม่เคยไปที่ดาวจักรพรรดิ ทำไมถึงรู้ว่าเป็นโลกแบบนั้นล่ะครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“งั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังว่าโลกเมื่อหมื่นปีก่อนหน้านี้เป็นโลกแบบไหน…” ปรมาจารย์กระบี่พูดด้วยรอยยิ้ม
ต่อไปปรมาจารย์กระบี่ก็อธิบายถึงสภาพของโลกเมื่อหมื่นปีก่อน เย่เทียนเฉินที่ได้ฟังตื่นตะลึงติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ที่แท้เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน โลกยัง อยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ เป็นยุคแห่งการบ่มเพาะที่แท้จริง ไม่ว่าคนหรือสัตว์หรือพืชต่างทำการบ่มเพาะ เพียงแต่วิธีการบ่มเพาะและขอบเขตการบ่มเพาะแตกต่างกัน เป็นยุคสมัยร้อยสำนักประชัน มีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นบนโลกยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถเดินทางไปยังดาวอื่นได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเริ่มมีคำเล่าลือเกี่ยวกับดาวจักรพรรดิแล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย หากต้องการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายบนโลกเพื่อเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิจะต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่มีขอบเขตพลังอยู่ในระดับนักรบจักรพรรดิเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากไปถึงดาวจักรพรรดิแล้ว หากต้องการกลับมาเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากบนดาวจักรพรรดิมีเพียงเทพราชันถึงจะทำลายพันธนาการค่ายกลได้ ซึ่งไม่เหมือนกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถเข้าออกดาวอื่นได้อย่างอิสระ และนี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมดาวจักรพรรดิถึงไม่อาจเป็นเหมือนโลกที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายจนมาถึงวันนี้
โลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อนก็เป็นโลกแบบนี้ เป็นโลกสำหรับผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพลังบ่มเพาะจึงค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งถึงขั้นที่ไม่สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งทะลวงขอบเขตได้ นี่เป็นสาเหตุที่ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากเริ่มใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายออกไปจากโลก และดูเหมือนว่าผู้ที่เดินบนเส้นทางบ่มเพาะที่ไม่ได้ไปจากโลกจะค่อยๆ ตายลง การมีชีวิตยืนยาวยังคงเป็นความฝันของผู้บ่มเพาะเท่านั้น สุดท้ายสิ่งที่ปรมาจารย์กระบี่คาดเดาก็คือ อาจเป็นเพราะการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างผู้แข็งแกร่งที่ทำให้โลกถูกทำลาย และค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกทำลาย ประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติในยุคปัจจุบันได้รับรู้เช่นยุคไดโนเสาร์อะไรนั่น เป็นเพียงผู้แข็งแกร่งที่สัญจรผ่านมา ไม่อยากให้คนอื่นพบความลับอะไรจึงจงใจใช้พลังอันยิ่งใหญ่ปิดบังเอาไว้
“ถ้างั้นตอนนี้สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายได้หรือเปล่าครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามปัญหาที่สำคัญที่สุด
………………….