เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 430 ลงมืออย่างเผด็จการ พูดจาอย่างเผด็จการ
การบ่มเพาะของเสี้ยวหย่วนสูงกว่าเถียนปอกวง แต่เสี้ยวหย่วนเป็นโจรชั่วมาหลายปีขนาดนี้ เพลงดาบว่องไวก็ใช้ได้อย่างชำนาญ มีเคล็ดวิชาชีพท่องฉายาโดดเดี่ยวใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกตามฆ่าทุกเวลา ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงมากมายมหาศาล เคล็ดวิชาในด้านการหนีจะต้องสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
หลังจากที่เสี้ยวหย่วนสู้กับเถียนปอกวงไปหลายกระบวนท่า เขาก็สัมผัสได้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ของพรรคท่องกระบี่ของตนไม่เหมาะที่จะใช้คู่กับเคล็ดวิชาปราณกระบี่ เนื่องจากพลังอำนาจที่ใช้ออกมาแตกต่างกัน ในสายตาของคนอื่นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเถียนปอกวงที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับจอมราชันขั้นต้นเช่นเดียวกันก็ยังคงไม่มากพอ อีกอย่าง ลูกศิษย์ของพรรรคท่องกระบี่ไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาปราณกระบี่ ถึงแม้เพลงกระบี่จะลึกล้ำ แต่โดยปกติก็ไม่สามารถจับต้องได้ ต่อให้ใช้ร่วมกับกระบี่ที่รีดเร้นออกมาจากพลังภายในอันแข็งแกร่งก็ยังสูญเสียพลังภายในมากเกินไป ดังนั้นเพลงกระบี่ที่ใช้ออกไปจึงมีพลังอำนาจไม่ถึง 1 ใน 10
ตอนนี้เสี้ยวหย่วนเกิดความคิดที่จะฆ่าขึ้นมาแล้ว ต้องการฆ่าแม้กระทั่งเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งไปด้วยกันทั้งหมด และยังเป็นไปได้มากกว่าเถียนปอกวงจะรู้เรื่องราวของตน หากไม่ฆ่าคนปิดปากอาจถูกทำลายแผนการของตัวเองที่ปิดซ่อนอดทนมา 20 ปี เสแสร้งแกล้งทำมา 20 ปี ในที่สุดตอนนี้ ขาดอีกนิดเดียวก็จะได้เคล็ดวิชาปราณกระบี่มาแล้ว จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคท่องกระบี่แล้ว แล้วเขาเสี้ยวหย่วนก็จะชี้เป็นชี้ตายยุทธภพได้ กลายเป็นหัวหน้าพรรคคนหนึ่ง ดังนั้นตอนนี้เขาเสี้ยวหย่วนจะไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาดใดๆ หลังจากสู้กันไปหลายกระบวนท่าจึงใช้เพลงกระบี่มารอำมหิตออกมาโดยไม่คิดเสียดาย
เพลงกระบี่ที่โหดเหี้ยมขนาดนี้ถูกเสี้ยวหย่วนค้นพบที่ภูเขาด้านหลังของพรรคท่องกระบี่โดยบังเอิญ เขาถูกเพลงกระบี่ชุดนี้ดึงดูดไปในเวลาไม่นาน ในขณะที่ฝึกฝน เสี้ยวหย่วนพบว่าเพลงกระบี่มารอำมหิตนี้ ยิ่งฝึกไปถึงช่วงหลังก็ยิ่งมีความรู้สึกอยากจะฆ่าคนอย่างรุนแรง จนกระทั่งสุดท้ายถึงกับสูญเสียสติรับรู้ไปเล็กน้อย รู้จักแต่การฆ่าฟัน ต่อให้ค้นพบส่วนที่อันตรายของเพลงกระบี่ชุดนี้แล้ว แต่กระบวนการมหัศจรรย์เหล่านั้น กระบวนท่าอันรุนแรงดุดันเหล่านั้นก็ยังทำให้เสี้ยวหย่วนไม่อาจหยุด อดไม่ได้ที่จะฝึกฝนต่อไป ทุกวันเมื่อถึงยามค่ำคืน เสี้ยวหย่วนจะถือโอกาสที่ทุกคนหลับใหลแอบเข้าไปที่ภูเขาด้านหลัง ไปฝึกฝึนตามเพลงกระบี่ที่สลักอยู่บนกำแพงหิน จนกระทั่งจดจำเพลงกระบี่ทั้งหมดเอาไว้ในใจได้แล้ว เสี้ยวหย่วนจึงทำลายกำแพงหินนั้นเสีย โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว!
หลายปีมานี้ ทุกวันตอนกลางคืน เสี้ยวหย่วนจะไปยังสถานที่ที่ไม่มีผู้คนเพื่อแอบฝึกฝนเพลงกระบี่ชุดนี้ เขารู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของมัน เมื่อฟาดฟันกระบี่ออกไป ปราณอำมหิตจะฟุ้งกระจายทั่วฟ้า ลมปราณสังหารอันรุนแรงดุดันทำให้เขารู้สึกมีความสุข ยากที่จะปฎิเสธ ดังนั้นเสี้ยวหย่วนจึงฝึกฝนเพลงกระบี่มารอำมหิตไปจนถึงขอบเขตลึกล้ำสูงส่งทีละเล็กทีละน้อย มีเพียงกระบวนท่าสุดท้ายหลายกระบวนท่าที่ยังไม่เข้าใจ และถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ร้ายกาจมากแล้ว อย่างน้อยก็ร้ายกาจกว่าก่อนหน้านี้ที่ฝึกฝนแต่เพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่และยังไม่ได้สืบทอดเคล็ดวิชาปราณกระบี่มาก
ตู้มๆๆ…
เสียงหลายเสียงดังสนั่น เสี้ยวหย่วนฟาดฟันประกายกระบี่ที่โหดเหี้ยมอำมหิตรุนแรงติดต่อกันหลายกระบวนท่า หากไม่ใช่เพราะวิชาเทพท่องโดดเดี่ยวใต้หล้าของเถียนปอกวงมีความเร็วระดับสูง เกรงว่าหากไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ประกายกระบี่ที่แฝงไปด้วยลมปราณอำมหิตฟาดฟันถูกก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้าบนพื้น ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกมันสลายเป็นผุยผง ทั้งยังทิ้งรอยประทับสีดำเอาไว้อีกด้วย ล้วนเกิดจากการปนเปื้อนลมปราณอันโหดเหี้ยมนั้น
“เพลงกระบี่ที่แกใช้ไม่ใช่เพลงกระบี่ของพรรคท่องกระบี่ ดูแล้วลูกศิษย์คนโตของพรรคท่องกระบี่อย่างแกคงทรยศอาจารย์ของตัวเองไปนานแล้ว!” เถียนปอกวงพูดอย่างเย็นชา
“หึ เถียนปอกวง แกจะรู้มากเกินไปแล้ว ยังไงซะวันนี้แกก็ต้องตาย!”
เสี้ยวหย่วนตัดสินใจอย่างโหดเหี้ยมว่าจะต้องกำจัดคนทั้งสามที่อยู่ที่นี่ไปให้ได้ รวมไปถึงเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งด้วย มีเพียงทำเช่นนี้แผนร้ายของตนถึงจะไม่ถูกเปิดโปง จะถอนหญ้าต้องกำจัดให้ถึงราก เพียงแต่พลังบ่มเพาะของเถียนปอกวงผู้นี้ไม่ต่ำต้อยเลย เมื่อรวมเข้ากับวิชาเทพท่องของเขา เรียกได้ว่ารับมือไม่ง่ายเลยจริงๆ ตอนนี้เสี้ยวหย่วนเพิ่งจะรู้สึกว่าการที่โจรชั่วเถียนปอกวงคนนี้สามารถมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการถูกไล่ฆ่ามาได้หลาย 10 ปีโดยไม่ตายนั่นเพราะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอม
ฉัวะ!
กระบี่หนึ่งโจมตีมา ปราณกระบี่อันรุนแรงปกคลุมเถียนปอกวงโดยตรง เถียนปอกวงถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ในตอนที่เขาถอยหลังไป 10 เมตรก็รู้สึกว่าด้านหลังถูกอะไรบางอย่างขวางเอาไว้ ไม่สามารถขยับเท้าไปได้อีก ในใจอดไม่ได้ที่จะตกตลึง ทุกที่ล้วนฟุ้งกระจายไปด้วยลมปราณอันโหดเหี้ยมซึ่งมีเสี้ยวหย่วนเป็นศูนย์กลาง ครอบคลุมขอบเขต 1000 เมตรรอบๆ โดยไม่รู้ตัว กักขังเสี้ยวหย่วนและเถียนปอกวงอยู่ด้านใน
ตู้ม!
จะหลบก็ไม่สามารถหลบได้ เถียนปอกวงทำได้เพียงสะบัดดาบผ่าฟืนเข้ารับการโจมตี รู้สึกชาวาบไปถึงขากรรไกร กระบี่นี้ถูกกดลงมา แต่กระทั่งเขามองไปยังมือขวาของตนที่กำดาบเอาไว้จึงค่อยพบว่ามือขวาของตนถูกทำให้สั่นสะท้านมีเลือดไหลออกมา ในขณะที่เลือดสดๆ ไหลออกมานั้น เลือดยังไม่ทันหยดลงพื้นก็ถูกลมปราณอำมหิตที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศกลืนกิน พริบตาเดียวก็กลายเป็นหมอกสีดำ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น ยิ่งไปกว่านั้น เถียนปอกวงเห็นว่าลมปราณอำมหิตกำลังแทรกเข้ามาที่บาดแผล พลันต้องขมวดคิ้วแน่น ออกแรงที่มือขวาจนมือสั่น สะบัดลมปราณนั้นออก ในขณะเดียวกันก็สกัดจุดชีพจรลมปราณเพื่อหยุดไม่ให้เลือดไหล
“เพลงกระบี่ที่โหดเหี้ยมขนาดนี้ แกไปเรียนมาจากไหน?” เถียนปอกวงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“หึ แกไม่มีโอกาสได้รู้หรอก เพราะเดี๋ยวแกก็จะกลายเป็นคนตายแล้ว คนตายไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้!” กระบี่ที่ถูกกำอยู่ในมือขวาของเสี้ยวหย่วนกลายเป็นสีดำทั้งหมด ถูกลมปราณกลืนกินเข้าไป ดวงตาทั้งสองของเขาแดงก่ำ ไอสังหารอัดแน่นทั่วร่าง บริเวณคิ้วถึงกับมีรอยประทับสีดำเกิดขึ้น ใบหน้าเริ่มดำคล้ำขึ้นมา ลมปราณอำมหิตเช่นนี้มีความเป็นพิษสูง ผลสะท้อนกลับรุนแรง ถ้าใช้หลายครั้งนับว่าเป็นการฆ่าตัวตายแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าเพื่อเคล็ดวิชาปราณกระบี่ของพรรคท่องกระบี่และตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้ว แกจะกลายเป็นแบบนี้โดยไม่คิดเสียดาย!” เถียนปอกวงกล่าวเสียงเข้ม
“ไปตายซะ!”
ฉัวะๆๆๆ!
เสี้ยวหย่วนออกกระบวนท่า ร่างกายพริ้วไหวราวภาพลวงตา คล้ายกับว่าฟาดฟันกระบี่มาจากสี่ทิศในเวลาเพียงชั่วพริบตา ประกายกระบี่ที่แสดงออกมาล้วนมีลมปราณสีดำทะยานขึ้นฟ้า กรีดแทงอากาศจนส่งเสียงดังเปรี้ยะๆ ทำให้เถียนปอกวงตกตะลึงจนต้องถอยหลังไปสองก้าว คิดวิธีรับมือ
เพลงดาบว่องไวของเขาร้ายกาจมาก มีชื่อเสียงทางด้านความว่องไวรวดเร็ว ส่วนเคล็ดวิชาเทพท่องก็รวดเร็วประดุจสายฟ้า แต่คิดไม่ถึงว่าเสี้ยวหย่วนจะฟาดฟันกระบี่ของตนออกมาจากสี่ทิศที่แตกต่างกัน ลมปราณอำมหิตที่ฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้าประหนึ่งครอบคลุมฟ้าดินอย่างไรอย่างนั้น มีอำนาจยิ่งใหญ่ อยากหลบก็หลบไม่ได้ ไม่ว่าเถียนปอกวงจะใช้เคล็ดวิชาเทพท่องหนีไปทางใดก็ต้องเจอกับกระบี่ที่โจมตีมา
“พี่ใหญ่เถียนระวัง นี่คือเพลงกระบี่มารอำมหิต อยู่ที่เดิมอย่าขยับ!”
ชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินตะโกนบอกเถียนปอกวง ในขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปทางเถียนปอกวงและเสี้ยวหย่วนอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทะยานตัวเข้าไป มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินก็ประสานกัน เขารู้ว่าเถียนปอกวงเป็นผู้แข็งแกร่งทางด้านการต่อสู้ แต่พลังการป้องกันกลับไม่ร้ายกาจอะไรมากนัก การป้องกันของเขาส่วนใหญ่ล้วนอาศัยเคล็ดวิชาเทพท่องเพื่อการหลบหนี ทำให้สามารถหลบเคล็ดวิชาสังหารอันแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้ เพียงแต่ครั้งนี้กลับไม่มีที่ให้หนี ทำได้เพียงเข้าปะทะตรงๆ เพลงกระบี่ที่อำมหิตขนาดนี้เจือไปด้วยปราณกระบี่ที่มีลักษณะโหดเหี้ยม หากปะทะเข้าไปตรงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ตู้มๆๆๆ!
เสียงสี่เสียงดังสนั่นพร้อมกัน ทำให้ฝุ่นดินกระจายไปทั่วฟ้า ฝุ่นดินและเศษหินถูกโจมตีจนปลิวไปในอากาศ ถูกลมปราณสังหารอันโหดเหี้ยมอำมหิตของเสี้ยวหย่วนกลืนกิน พริบตาเดียวก็กลายเป็นฝุ่นผง ในตอนที่เสี้ยวหย่วนยกยิ้มโหดเหี้ยมที่มุมปาก คิดว่าเถียนปอกวงถูกตนโจมตีจนกลายเป็นฝุ่นไปแล้วนั่นเอง รอยยิ้มของเขายังไม่ทันได้ยิ้มออกมามากเท่าไหร่ก็ต้องหยุดลงกลายเป็นสีหน้าดุดันหาใดเปรียบ ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ใบหน้าดำเป็นหมึก ดูแล้วราวกับปีศาจอย่างไรอย่างนั้น น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“ด้วยเพลงดาบว่องไวและเคล็ดวิชาเทพท่องของพี่ใหญ่เถียนและพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งของฉัน คนที่จะต้องตายอยู่ที่นี่ในวันนี้ เกรงว่าจะต้องเป็นแกแล้วเสี้ยวหย่วน…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เอง พบว่าเย่เทียนเฉินนั่งอยู่บนก้อนอิฐสีทองอันใหญ่ก้อนหนึ่ง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย มองไปยังเสี้ยวหย่วนด้วยท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ประกายกระบี่และลมปราณอำมหิตอันมหาศาลจากทั่วทุกสารทิศของเสี้ยวหย่วนถูกเย่เทียนเฉินขวางเอาไว้ ไม่ได้ทำร้ายเถียนปอกวง ก้อนอิฐสีทองก้อนใหญ่ทั้งสี่ก้อนห้อมล้อมเถียนปอกวงเอาไว้ นั่นก็คือ “เคล็ดวิชาพลังพิเศษโล่ทองคำ” ของเย่เทียนเฉิน นี่คือเคล็ดวิชาพลังพิเศษสายป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาในตอนนี้ สามารถป้องกันปราณกระบี่อำมหิตจากสี่ทิศของเสี้ยวหย่วนได้ด้วยดี
“แกเป็นผู้มีพลังพิเศษงั้นเหรอ?” เสี้ยวหย่วนมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“แกไม่มีโอกาสได้รู้หรอก เพราะว่าเดี๋ยวแกจะกลายเป็นคนตายแล้ว คนตายไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพลางยิ้มออกมา
คำพูดเดียวกันแต่น้ำเสียงยังมั่นคงและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองยิ่งกว่าเสี้ยวหย่วน ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะพูดแบบนี้กับเถียนปอกวง ต่อมาก็ถูกเย่เทียนเฉินพูดตอบกลับ เสี้ยวหย่วนรู้สึกจุกที่อก โกรธจนปอดแทบระเบิด เดิมทีคิดว่าจะสามารถกำจัดคนทั้งสามนี้ได้ง่ายๆ ไหนเลยจะรู้ว่าจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังฆ่าพวกเขาไม่ได้แม้แต่คนเดียว หากยังเสียเวลาเช่นนี้ต่อไป เมื่อยอดฝีมือในระดับผู้อาวุโสของพรรคตามมาถึงแล้วยังฆ่าพวกเถียนปอกวงทั้งสามคนไม่ได้ ตอนนั้นเขาเสี้ยวหย่วนก็คงไม่สามารถแก้ตัวได้แล้ว
หลังจากที่เสี้ยวหย่วนพบพวกเถียนปอกวงก็ให้ศิษย์น้องที่เหลือคนนั้นกลับไปรายงานที่พรรคท่องกระบี่ ส่วนเขาก็เชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมากจึงเตรียมฆ่าเถียนปอกวงอย่างยโสโอหัง ขอเพียงฆ่าเถียนปอกวงได้ ไม่ว่า เขาจะแต่งเรื่องโกหกอะไรขึ้นมาคนในพรรคจะต้องเชื่อเขาแน่นอน เถียนปอกวงโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ เป็นโจรชั่วที่ทุกคนต้องการสังหาร เสี้ยวหย่วนไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าเขาจะนำพาความยุ่งยากอะไรมาให้ตนเอง ทว่าหลังจากที่ได้เห็นเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่ง ทั้งยังได้ยินว่าเถียนปอกวงรู้เรื่องของตนไม่น้อย เขาจึงรับรู้ได้ว่าเถียนปอกวงไม่ใช่การคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตนเอง แต่การคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือตงฟางเมิ่งกับเย่เทียนเฉิน สองคนนี้จะอย่างไรก็ต้องฆ่าให้ได้
เดิมทีคิดว่าเถียนปอกวงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนทั้งสาม ขอเพียงฆ่าเถียนปอกวงได้ หากต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินที่ดูอายุน้อยขนาดนี้จะมีความสามารถถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เสี้ยวหย่วนรู้สึกรับมือได้ยาก หากต้องการฆ่าพวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคนด้วยเวลาไม่นาน ดูเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว!
“งั้นเหรอ? ฉันอยากจะรู้จริงๆ แกที่มีพลังการต่อสู้ขนาดนี้ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยแค่นี้มีชื่อว่าอะไร?”
เย่เทียนเฉินกระโดดลงมาจากบนก้อนอิฐสีทองในชั่วพริบตา ขณะที่เตรียมจะกล่าวนั้น เถียนปอกวงก็พุ่งออกไปคิดจะหยุดยั้งเขา ตงฟางเมิ่งก็อยากพูดอะไรบางอย่าง คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะลงไปคลุกน้ำโคลนแบบนี้ จะอย่างไรน้ำของพรรควรยุทธโบราณก็ลึกล้ำ มียอดฝีมือมากมาย เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก จะลำพองใจไม่ได้
ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินกลับส่ายหน้ายิ้มๆ ใช้สายตาปฏิเสธความหวังดีของเถียนปอกวงและตงฟางเมิ่ง เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดอะไรอยู่แล้ว รีบเอ่ยออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “แกจำไว้ให้ดี ฉันชื่อเย่เทียนเฉิน สาบานเป็นพี่น้องกับเถียนปอกวงแล้ว พรรคท่องกระบี่ของพวกแกล่วงเกินพี่ใหญ่ของฉันก็ถือว่าล่วงเกินฉันด้วย ตอนนี้ หากแกคิดจะขอโทษก็ไม่ทันแล้ว!”
…………………