เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 443 พบหลิงอวี่สวิ๋นอีกครั้ง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นคุณก็ดูไปเถอะ ส่วนเรื่องสำนักโฮคุชินอิตโตริวและตระกูลหลิงคุณก็ไม่ต้องไปสอดมือ!” ท่านผู้นำสูงสุดมองหมานเทียนแล้วพูดขึ้น
เดิมทีท่านผู้นำสูงสุดกำลังคิดว่า ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะดูพึ่งพาไม่ได้แต่ก็เป็นคนหนุ่มที่มีศักยภาพคนหนึ่ง อายุน้อยความสามารถสูง กระทำการมั่นคงเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่คนเลวอะไร แต่ก็ยังมีความดุดันเด็ดขาด คนเช่นนี้ถ้านำมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้ก็จะดียิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงให้หมานเทียนมาดูเย่เทียนเฉินสักหน่อย หากทำให้เย่เทียนเฉินเข้าร่วมกองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าได้ก็จะเป็นการเสริมความสามารถในการต่อสู้ของกองกำลังได้มาก
ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่รับความช่วยเหลือจากกองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าโดยสิ้นเชิง นี่ทำให้หมานเทียนรู้สึกไม่พอใจมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดูถูกเย่เทียนเฉินอยู่ในใจ อยากหาโอกาสสั่งสอนเย่เทียนเฉินสักหน่อย ในเรื่องนี้ แม้ท่านผู้นำสูงสุดจะรู้ว่าหากเขาพูดอะไรสักประโยค ต่อให้ในใจของหมานเทียนจะไม่พอใจแค่ไหนก็จะรับเย่เทียนเฉินเข้าสู่กองกำลังของขุนพลระดับทัพฟ้า
แต่ถ้าทำแบบนี้เกรงว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายภายในกองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้า เช่นนี้จะได้ไม่คุ้มเสีย ปล่อยให้พวกเขาเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ!
หมานเทียน หัวหน้ากองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้า เป็นบุคคลที่มีความสามารถแข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าหวาดกลัว เคยมีข่าวลือว่าหมานเทียนเคยต่อสู้กับดาไลลามะแห่งทิเบตซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมาก่อน การต่อสู้ครั้งนั้นใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่รู้ แต่ไม่เคยได้ยินหมานเทียนกล่าวถึง รู้แค่ว่าหลังจากที่หมานเทียนสู้กับดาไลลามะแล้วก็กลับมารักษาตัวอยู่ถึงหนึ่งปีเต็มถึงจะออกมารับภารกิจของกองกำลังระดับทัพฟ้าใหม่อีกครั้ง
มือของหมานเทียนไม่รู้ว่าเปื้อนเลือดและชีวิตของโจรชั่วมามากน้อยแค่ไหน เขาเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งเหนือระดับ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินว่ามีใครกล้าไม่พอใจกับขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน ต่อให้เป็นหน่วยรบพิเศษระดับสูงของประเทศ M ที่แข็งแกร่งถึงขั้นยากจะจินตนาการได้ก็ยังไม่กล้ามองข้ามขุนพลระดับทัพฟ้า เย่เทียนเฉินอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น ถึงกับไม่ต้องการความช่วยเหลือจากขุนพลระดับทัพฟ้า นี่จะทำให้หมานเทียนไม่โกรธได้อย่างไรไหว?
หากไม่ใช่ว่าท่านผู้นำสูงสุดให้ความสำคัญกับเย่เทียนเฉินเช่นนี้ เกรงว่าหมานเทียนคงส่งคนไปสั่งสอนเย่เทียนเฉินแล้ว แน่นอนว่าเขาจะไม่ลงมือด้วยตัวเอง เนื่องจากเขายังรู้สึกดูถูกเย่เทียนเฉิน คิดว่าไอ้หนูที่ยโสโอหังคนนี้ไม่ควรค่าให้เขาลงมือด้วยตัวเอง
“ท่านผู้นำ คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะไม่ให้กองกำลังทัพฟ้าเข้าไปสอดมือ อาศัยแค่เจ้าหนูโอหังนั่นคนเดียวจะสามารถต่อกรกับพวกคนจากสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้หรือครับ? ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของตระกูลหลิงก็เกี่ยวพันไปถึงประเทศ M ในเวลาที่จำเป็นอาจต้องถึงขั้นไปจัดการที่ประเทศ M ด้วย มอบหมายให้ไอ้หนูนั่นแค่คนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นมาคงเก็บกวาดยาก!” หมานเทียนพูดด้วยความเคารพ
“ใช้คนไม่สงสัย สงสัยไม่ใช้คน ในเมื่อฉันรับปากเจ้าหนูนั่นไว้แล้วก็ให้เขาไปจัดการเถอะ!” ท่านผู้นำใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ทราบแล้วครับท่านผู้นำ ถ้างั้นผมขอตัวไปทำภาระกิจก่อน!” หมานเทียนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก
ท่านผู้นำพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก หมานเทียนเดินไปที่ประตูของห้องทำงาน ในขณะที่เขาเปิดประตูก็หมุนตัวกลับมามองไปยังท่านผู้นำด้วยความเคารพ คิดครู่หนึ่งแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านผู้นำครับ เย่เทียนเฉินดูหมิ่นกองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าของพวกเรา ในเวลาที่จำเป็น ผมจะลงมือสั่งสอนเขาเอง!”
“ตามใจเถอะ!” ท่านผู้นำพูดอย่างเรียบเฉย
“ขอบคุณครับท่านผู้นำ!” หมานเทียนพูดอย่างหนักแน่น
เมื่อเห็นหมานเทียนเดินออกไปจากห้องทำงานและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว มุมปากของท่านผู้นำก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ถึงแม้ครั้งนี้จะทำให้หมานเทียนรู้สึกไม่ดีกับเย่เทียนเฉินและไม่รับเย่เทียนเฉินเข้ากองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้า แต่ท่านผู้นำก็รู้ว่าด้วยนิสัยเลือดร้อนของหมานเทียนจะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่นอน นับว่าเย่เทียนเฉินไปเหยียบกับระเบิดเข้าแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเท้าของเขาจะแข็งกว่าหรือกับระเบิดจะแข็งกว่า จะมากจะน้อยก็ยังคงมีเรื่องน่าดูอยู่บ้าง ต้องดูว่าหมานเทียนและเย่เทียนเฉินจะแสดงออกมาอย่างไร
เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนเดินออกมาจากตึกสำนักงานของท่านผู้นำ เขาย่อมไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หมานเทียนซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้าไม่พอใจเขาแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะส่งคนมาสั่งสอนเขา
เย่เทียนเฉินพูดคุยกับเฮยเมี่ยนอย่างผ่อนคลายมาตลอดทาง นี่ทำให้เฮยเมี่ยนรู้สึกแปลกๆ นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวมากมายมาโจมตี คนของตระกูลหลิงต้องการย้ายกลับมาในประเทศ คราวนี้ก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรง บาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน นอกจากหลิงอวี่สวิ๋นและหลิงเยว่ที่หนีออกมาได้ คนตระกูลหลิงที่เดินทางกลับประเทศมาในคราวนี้ก็ตายไปทั้งหมด กระทั่งน้องชายแท้ๆ ของหลิงอวี่สวิ๋นก็ตายไปในการโจมตีครั้งนี้ด้วย คฤหาสน์ของตระกูลหลิงก็ถูกระเบิดเป็นจุล น่าอนาจขนาดไหนกัน
“ไอ้หนู แกไม่ร้อนใจสักนิดเลยเหรอ? ไม่กลัวว่าคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะมาโจมตีรึไง? ไม่เป็นห่วงคนตระกูลหลิงเหรอ?” เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮยเมี่ยน เย่เทียนเฉินก็มองเฮยเมี่ยนครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยท่าทางราวกับว่าคุณถามคำถามนี้ออกมาได้ ไอคิวจะต่ำเกินไปหรือเปล่า
“กังวลไปแล้วมีประโยชน์อะไร? ตอนนี้แม้แต่พวกคุณก็ไม่รู้ว่าคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวอยู่ที่ไหน แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเก็บซ่อนได้ลึกล้ำมาก ถ้าผมตามหาคนที่ถูกส่งมาเหมือนคนตาบอดแบบนี้คงจะเปลืองแรงไม่น้อย ยิ่งจะทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกระทำ รอคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวมาฆ่าถึงประตูแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า ส่วนตระกูลหลิง เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับผม ผมรู้ว่าหลิงอวี่สวิ๋นไม่เป็นไรก็พอแล้ว ตอนนี้แค่ต้องการไปดูด้วยกันกับคุณสักหน่อยจะได้วางใจ!”
“แก…ฉันคิดว่าอีกเดี๋ยวตอนที่แกได้พบสองพ่อลูกหลิงอวี่สวิ๋น แกคงไม่พูดสบายๆ แบบนี้หรอก!” เฮยเมี่ยนพูดพลางส่ายหน้า
“หือ? หลิงอวี่สวิ๋นเป็นอะไร? ได้รับบาดเจ็บเหรอ? ทำไมพวกคุณไม่ส่งเธอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล?”
เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมา รีบเอ่ยปากถามเฮยเมี่ยน หลิงอวี่สวิ๋นและเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกของทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ความรู้สึกที่หลิงอวี่สวิ๋นมีให้ตนนั้นเย่เทียนเฉินย่อมสัมผัสได้ เขาไม่ใช่นักบุญอะไร และไม่คิดจะเป็นนักบุญด้วย เขาที่ชีวิตที่แล้วอยู่เพียงลำพัง โลกนี้จึงไม่อยากเสียใจภายหลังอีก รู้สึกผิดต่อคนที่ดีกับตนเหล่านี้จริงๆ
“อ้อ ดูเถอะ ไอ้หนูอย่างแกก็มีเวลาร้อนใจขึ้นมาเหมือนกัน ทำไมหน้าถึงแดงขนาดนี้?” เฮยเมี่ยนเห็นเย่เทียนเฉินร้อนใจขนาดนี้จึงเอ่ยถามด้วยท่าทีหยอกล้อ
“ต่อให้ผมหน้าแดงขนาดไหนก็หล่อกว่าหน้าดำๆ ของคุณเป็นร้อยเท่า!” เย่เทียนเฉินรีบพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ฉันจะบอกนายตามตรง หลิงอวี่สวิ๋นไม่เป็นไร ส่วนพ่อของเขาพิการแล้ว มือขวาถูกปราณดาบทำร้ายจนใช้งานไม่ได้ พิการแล้ว!” เฮยเมี่ยนจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ถ้างั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม หลิงอวี่สวิ๋นไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
เฮยเมี่ยนส่ายหน้า ในใจคิดว่าทั้งๆ ที่ไอ้หนูนี่เป็นห่วงหลิงอวี่สวิ๋นแท้ๆ ดูท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้คงไม่เลวเลย แต่ทำไมกลับมีท่าทางราวกับว่าหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อของหลิงอวี่สวิ๋นจะเป็นจะตายก็ไม่สนใจล่ะ? หากพูดกันตามเหตุผล บ้านพ่อตาได้รับความลำบาก ลูกเขยก็ต้องถือโอกาสแสดงออกมาให้ดีสิ แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่มีความคิดจะทำอย่างนั้นแม้แต่น้อย ไอ้หนูนี่คิดอะไรอยู่กันแน่?
สถานที่ทำงานของท่านผู้นำเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ล้วนมีครบครัน รวมไปถึงทีมแพทย์รักษาที่จัดเตรียมให้ผู้นำระดับสูงของทางการโดยเฉพาะด้วย ความรู้ทางการแพทย์ของพวกเขาล้วนเป็นอันดับต้นๆ ในโลก อุปกรณ์การแพทย์ทั้งหมดก็เป็นของชั้นยอด ตระกูลหลิงเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดที่ทำการค้าอยู่นอกประเทศ มีความสามารถทางด้านเศรษฐกิจไม่น้อย มิฉะนั้นประเทศ M คงไม่เริ่มลงมือทันทีหลังจากที่ได้ยินข่าวว่าตระกูลหลิงจะย้ายกลับมาอยู่ในประเทศจีนแน่นอน ถึงกระทั่งข่มขู่บีบบังคับ ต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้ง แน่นอนว่าข้อมูลนี้บุคคลในระดับสูงของจีนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นี่คือจิตใจของผู้ที่จากบ้านเกิด จิตใจรักบ้านเกิด จะไม่คุ้มครองได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากตระกูลหลิงย้ายกลับมาอยู่ในประเทศ เช่นนั้นก็จะเป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจีนอย่างใหญ่หลวง จะมีผลประโยชน์ต่อสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นผู้นำระดับสูงของทางการต้องใส่ใจมากแน่ และส่งคนไปคอยคุ้มครองอยู่ตลอด เพียงแต่ไม่อาจเปิดเผยได้มากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจะส่งผลกระทบไปถึงความสัมพันธ์ระดับประเทศ พวกเขาไม่อาจทำให้ประชาชนทั้งหมดเกิดความลำบากเพียงเพราะตระกูลหลิงตระกูลเดียว นี่มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีขีดจำกัด
หลิงอวี่สวิ๋นและหลิงเยว่ผู้เป็นพ่อถูกพวกเฮยเมี่ยนช่วยออกมา พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพาหลิงอวี่สวิ๋นและหลิงเยว่ส่งไปยังเขตการแพทย์ที่นี่อย่างเร่งร้อน เนื่องจากหากหลิงเยว่ตายไป เป็นไปได้มากว่าจะส่งผลกระทบกับแผนการย้ายกลับมายังประเทศจีนของตระกูลหลิง ถึงแม้จะยังมีผู้อาวุโสตระกูลหลิงอยู่ แต่เรื่องในครั้งนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ตระกูลหลิงคงต้องใคร่ครวญถึงปัญหาด้านความปลอดภัยของคนในตระกูลให้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายท่านหลิงยังอยู่ในประเทศ M ต่อให้ประเทศจีนจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจกระทำการในถิ่นของประเทศ M ได้ หากประเทศ M ไม่คิดถึงศักดิ์ศรีหน้าตาแล้วจริงๆ ฆ่านายท่านหลิงไปเสีย เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า จะอย่างไรในหมู่พี่น้องคนอื่นของหลิงเยว่ ยังมีบางคนไม่เห็นด้วยที่จะกลับมาพัฒนาธุรกิจที่ประเทศจีน
เย่เทียนเฉินเดินตามหลังเฮยเมี่ยนไปยังโรงพยาบาลที่เป็นเอกสิทธิ์สำหรับพวกผู้นำระดับสูงของทางการ ที่นี่ย่อมต้องมีการคุ้มกันที่แน่นหนาเป็นอย่างมาก คนธรรมดาเข้าไปไม่ได้จริงๆ ในตอนที่เฮยเมี่ยนผลักประตูห้องผู้ป่วยห้องหนึ่งออก เขาก็เห็นหลิงอวี่สวิ๋น หลิงอวี่สวิ๋นเฝ้าอยู่ข้างเตียง เสื้อผ้าสกปรกและขาดวิ่นเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาทั้งสองยังแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ดูแล้วผู้หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บทางจิตใจมากจริงๆ
บนเตียงที่หลิงอวี่สวิ๋นนั่งเฝ้าอยู่ มีชายวัยกลางคนที่แขนขวาไม่เหลือเขาเดิมอยู่คนหนึ่ง บริเวณข้อมือที่ขาดถูกพันด้วยผ้าพันแผล ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องให้น้ำเกลือและตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อดูสีหน้าแล้วคงจะไม่เป็นอะไรมาก นอกจากแขนขวาพิการก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรอีก
“เทียนเฉิน…เทียนเฉิน…”
ในตอนที่หลิงอวี่สวิ๋นเห็นเย่เทียนเฉินเธอก็ควบคุมอารมณ์ของตนไม่อยู่อีกต่อไป ลุกขึ้นยืนจากข้างเตียงผู้ป่วย กอดเย่เทียนเฉินเอาไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
หลายวันมานี้เธอถูกกักบริเวณอยู่ในตระกูล ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นยิ่งรู้สึกคิดถึงเย่เทียนเฉินมากขึ้น ในยามค่ำคืนที่บ้านถูกลอบโจมตี บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ได้เห็นน้องชายของตนตายอย่างอนาถต่อหน้าตน หลิงอวี่สวิ๋นร้องไห้ด้วยหัวใจที่แหลกสลายแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่ตามมาคือการตามล่าสังหารของยอดฝีมือจากสำนักโฮคุชินอิตโตริว โชคดีที่เฮยเมี่ยนพาคนมาได้ทันเวลา มิฉะนั้นพวกเธอสองพ่อลูกคงตายไปแล้ว ความเจ็บปวดในใจไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
……………………………