เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 474 มัตสึโมโตะชิโมะเค็นที่ยังไม่ชักดาบ
ตู้มๆๆ!
ฝ่ามือทั้งสองปลิวว่อน สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนนั่นก็คือฝ่ามือหนึ่งเป็นเงาฝ่ามือสีดำอีก อีกฝ่ามือหนึ่งเป็นเงาฝ่ามือสีม่วง ที่เรียกกันว่าเมฆม่วงปรากฏทางทิศตะวันออก แผ่ขยายไปไกลสามพันลี้ นี่มิใช่ประโยคพิเศษที่คนใดคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ผู้เดินบนเส้นทางบ่มเพาะต่างรู้ดี ปราณแท้สีม่วงแบบนี้เป็นพลังที่ดั้งเดิมที่สุดในฟ้าดิน แข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังอาทิตย์จันทราอะไรนั่นไม่รู้มากน้อยแค่ไหน
ไม่ว่ามัตสึโมโตะชิโมะเค็นจะโจมตีจากระยะไกลหรือโจมตีจากระยะใกล้ ขอเพียงเขาใช้ฝ่ามือโฮคุชิน เย่เทียนเฉินก็จะใช้ฝ่ามือที่ดูน่าเกลียดเหมือนผู้หญิงร่ายรำแบบนี้ การที่เขาซึ่งเป็นผู้ชายคนหนึ่งใช้ออกมาดูอัปลักษณ์มากจริงๆ แต่กลับได้ผลดี สามารถทำให้ฝ่ามือโฮคุชินอันรุนแรงที่มัตสึโมโตะชิโมะเค็นใช้พลังเต็มร้อยสลายไปได้
ตู้ม!
การโจมตีนี้ ฝ่ามือทั้งสองของเย่เทียนเฉินและฝ่ามือทั้งสองของมัตสึโมโตะชิโมะเค็นปะทะกัน เขาถึงกับไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ความสามารถในการบ่มเพาะของเขาสู้มัตสึโมโตะชิโมะเค็นไม่ได้ ต่อให้ทะลวงไปถึงขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว แต่จากการคาดเดาของเขาความสามารถของมัตสึโมโตะชิโมะเค็นคงอยู่ในระดับนักรบจักรพรรดิขั้นต้น นอกจากตนจะใช้สภาวะการต่อสู้ข้ามขั้น มิฉะนั้นคงไม่สามารถเข้าปะทะกับมัตสึโมโตะชิโมะเค็นได้ อย่างไรก็ตาม เย่เทียนเฉินรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลา ภายในเมืองเทียนซา นอกจากมัตสึโมโตะชิโมะเค็นที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วยังมียอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวอีกหลายสิบคน ถึงแม้กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของตนทุกคนจะมีความสามารถไม่อ่อนแอ แต่ตอนนี้พวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไรเย่เทียนเฉินก็ไม่รู้ จะมากจะน้อยเขาก็ยังเป็นกังวลอยู่บ้าง ยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเหล่านี้แต่ละคนต่างก็อยู่ในขอบเขตการบ่มเพาะระดับนักรบราชันขึ้นไป ต่อให้ตนอยู่ในขั้นสูงสุดของผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิก็ไม่สามารถฆ่าคนเหล่านี้ได้ในเวลาชั่วพริบตา
ในหมู่กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน และเปาเทียนหลง สี่คนนี้นับเป็นสี่ขุนพลใหญ่ นอกจากเขาเย่เทียนเฉินแล้วพวกนั้นมีเป็นสี่คนที่มีพลังบ่มเพาะแข็งแกร่งที่สุด พลังการบ่มเพาะของพวกเขาอยู่ในระดับนักรบราชันขั้นปลาย หากต้องการเอาชนะยอดฝีมือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร ส่วนสมาชิกคนอื่นอาจจะบาดเจ็บหรือกระทั่งต้องเสียสละชีวิต
“ฝ่ามือนี้ของแกไม่เห็นจะแข็งแกร่งอะไร ทำได้แค่สลายพลังฝ่ามือของฉันเท่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้ แกอยากเอาชนะฉันก็คงเป็นไปไม่ได้!” ในใจของมัตสึโมโตะชิโมะเค็นตื่นตะลึงหาใดเปรียบ แต่ปากกลับพูดออกมาอย่างเรียบเฉย ในการต่อสู้ของยอดฝีมือ บรรยากาศเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ถ้าคุณมีบรรยากาศอ่อนแอก็จะแพ้ไปแล้วกว่าสามส่วน
“ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอกตาแก่ ความตายของแกถูกกำหนดไว้แล้ว ฝ่ามือล่องลอยไว้สำหรับอัดพวกสารเลวจนหน้าเขียวของฉันยังไม่ได้แสดงความสามารถสูงสุด หากแสดงความสามารถสูงสุดออกไปจริงๆ หน้าแก่ๆ ของแกคงรับไม่ไหว!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มไร้พิษภัย
แน่นอนว่าวิชาที่เย่เทียนเฉินใช้ไม่ใช่ “ฝ่ามือล่องลอยไว้สำหรับอัดพวกสารเลวจนหน้าเขียว” นี่เป็นชื่อที่เขาตั้งสุ่มขึ้นมาแน่นอนอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีฝ่ามือที่เอาไว้ใช้รับมือกับพวกสารเลวโดยเฉพาะอะไรนั่น คำพูดเช่นนี้จะให้ความสำคัญกับพวกสารเลวกลุ่มนี้มากเกินไป ความจริงในตอนที่เย่เทียนเฉินตกอยู่ในสถานการณ์เร่งร้อน หาวิธีรับมือไม่ได้ จึงพยายามทุกวิถีทางจนใช้ฝ่ามือที่เหมือนกับผู้หญิงนี้ออกมา กระทั่งเย่เทียนเฉินก็รู้สึกรังเกียจอยู่ในใจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์จริงๆ
ฝ่ามือนี้คือฝ่ามือดรุณีหยกที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ดรุณีหยก ในคัมภีร์ดรุณีหยกไม่เพียงแต่จะมีวิธีการฝึกฝนพลังภายในที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีเพลงกระบี่ เพลงฝ่ามือ และเคล็ดวิชาต่างๆ อีกด้วย ทั้งหมดต่างถูกคิดค้นโดยผู้หญิงมหัศจรรย์ของพรรคสุสานโบราณคนนั้น นี่เป็นจุดที่เย่เทียนเฉินนับถือผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นผู้หญิงแกร่งแห่งยุคจริงๆ เป็นคนที่สมควรแก่การนับถือ
ฝ่ามือดรุณีหยกเป็นเคล็ดวิชาที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ดรุณีหยก หลังจากที่เย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งฝึกฝนพลังภายในส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกร่วมกัน ทำให้เย่เทียนเฉินจำพลังภายในทั้งหมดของคัมภีร์ดรุณีหยกได้ มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถฝึกฝนร่วมกับตงฟางเมิ่งได้ โชคดีที่ตงฟางเมิ่งจดจำส่วนสุดท้ายของการฝึกฝนพลังภายในของคัมภีร์ดรุณีหยกเอาไว้ในใจ มิฉะนั้นต่อให้เย่เทียนเฉินพาเธอไปหาวิธีการฝึกฝนพลังภายในส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ดรุณีหยกจนพบก็ไม่สามารถฝึกจนดึงชีวิตเธอกลับมาได้
ในการฝึกฝนฝ่ามือดรุณีหยกมีบันทึกอยู่ประโยคหนึ่งว่า ใช้ช้าต้านเร็ว ใช้อ่อนต้านแข็ง ต้นกำเนิดสลายสิ่งชั่วร้าย กดข่มทุกสิ่ง!
ในตอนที่เย่เทียนเฉินไม่มีวิธีใดก็พลันคิดถึงฝ่ามือดรุณีหยกนี้ขึ้นมาได้ และคิดไปถึงคำพูดประโยคนั้น บางทีฝ่ามือดรุณีหยกอาจจะกดข่มฝ่ามือโฮคุชินของมัตสึโมโตะชิโมะเค็นได้ คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์จริงๆ ไม่ว่ามัตสึโมโตะชิโมะเค็นจะบ้าคลั่งขนาดไหน จะใช้ฝ่ามืออันรุนแรงโจมตีมาขนาดไหน ต่างก็ถูฝ่ามือดรุณีหยกของเย่เทียนเฉินสลายไปหมด
ในคัมภีร์ดรุณีหยกนั้น นอกจากวิธีการฝึกฝนพลังภายในที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้วยังมีเคล็ดวิชาอีกมากมาย แต่หากคิดจะใช้เคล็ดวิชาเหล่านี้ออกมาจำเป็นต้องโคจรพลังภายในอันแข็งแกร่งของคัมภีร์ดรุณีหยกออกมาเสียก่อน อาจกล่าวได้ว่าต่อให้ถูกคนรู้วิชาในคัมภีร์ดรุณีหยกเหล่านี้ แต่ถ้าคุณไม่ได้ฝึกฝนพลังภายในอันแข็งแกร่งของคัมภีร์ดรุณีหยกก็ไม่สามารถใช้ออกมาได้
ดังนั้นตลอดมาเย่เทียนเฉินจึงไม่ได้ใช้พลังภายในของคัมภีร์ดรุณีหยกเลย นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่า ถึงแม้คัมภีร์ดรุณีหยกจะแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เป็นวิชาพลังภายในที่เทียบเท่าได้กับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลินที่สืบทอดกันมาหลายพันปี แต่เย่เทียนเฉินรู้สึกว่าคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นถึงจะเป็นพลังภายในที่เหมาะสมให้เขาฝึกฝนมากที่สุด นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาเรียนรู้คัมภีร์ดรุณีหยกแล้วแต่กลับไม่ได้ใช้ เขาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้มัตสึโมโตะชิโมะเค็นบีบบังคับกันมากเกินไป เย่เทียนเฉินคงไม่เกิดปัญญาในยามยากจนคิดถึงฝ่ามือดรุณีหยกขึ้นมาได้
มัตสึโมโตะชิโมะเค็นชะงักไป เร่งเร้าพลังที่ฝ่ามือทั้งสอง เขาและเย่เทียนเฉินต่างถูกกระแทกออกไปจนห่างกันระยะหนึ่ง ดวงตาทั้งสองของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่มุมปากกลับเผยรอยยิ้มออกมา พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไอ้หนุ่ม ฉันประเมินแกต่ำไปจริงๆ แกแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่าตอนที่ฉันยังอายุน้อยซะอีก หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าตอนที่จักรพรรดิดาบผู้เป็นพี่ชายของฉันยังอายุน้อยด้วยซ้ำ เป็นคนที่มีพรสวรรค์ถึงขั้นต่อต้านฟ้าดินจริงๆ แต่แกไม่ทำประโยชน์ให้สำนักโฮคุชินอิตโตริวของพวกเรา ฉันคงทำได้แต่ฆ่าคนมีพรสวรรค์แล้ว!”
“ไอ้สุนัขเฒ่า ฉันประเมินแกสูงไปจริงๆ แกอ่อนแอมาก ตอนนี้อ่อนแอกว่าฉัน วันหน้าก็อ่อนแอกว่าฉัน เป็นแค่เศษสวะตัวหนึ่ง ในเมื่อแกไม่อยากเฝ้าบ้านให้ฉัน งั้นฉันก็ทำได้แค่ฆ่าเศษสวะไร้ประโยชน์อย่างแกซะ!” เย่เทียนเฉินยักไหล่ เลียนแบบคำพูดของมัตสึโมโตะชิโมะเค็น ทำให้มัตสึโมโตะชิโมะเค็นโกรธจนแทบคลั่ง
อย่างไรก็ตาม มัตสึโมโตะชิโมะเค็นโกรธจนกลายเป็นยิ้ม ที่มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความโหดเหี้ยมและความมั่นใจในตัวเอง ตอนนี้เขายังไม่ได้ลงมือเต็มที่ เพียงแค่ต้องการใช้ฝ่ามือของสำนักโฮคุชินอิตโตริวเอาชนะเย่เทียนเฉินเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่มีวิธี เขามัตสึโมโตะชิโมะเค็นก็ไม่ใช่คนโง่อะไร จะไม่ดื้อรั้นเช่นนั้น เมื่ออยู่ในสนามรบ แม้จะมีพลังเท่าเทียมกัน เป็นการต่อสู้ของวีรบุรุษเช่นเดียวกัน แต่ใครก็ไม่อยากเป็นผู้พ่ายแพ้ ใครก็ไม่อยากเป็นคนที่ต้องทอดตัวเป็นศพ มีเพียงคนที่มีชีวิตต่อไปถึงจะมีคุณสมบัติให้ทะเยอทะยาน
ซู่ม!
แสงสว่างสายหนึ่งทำให้ดวงตาของเย่เทียนเฉินสั่นไหว เย่เทียนเฉินรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าและพื้นดิน กำลังเข้ามากักขังตนเอาไว้ คราวนี้เขาไม่กล้าล้อเล่นและไม่กล้ารับตรงๆ ทำได้แค่รีบถอยหลังไป ใช้เคล็ดวิชาเทพท่อง เพียงพริบตาเดียวก็ไปถึงบริเวณทางเข้าของเมืองเทียนซาแล้ว เพียงแต่ประกายแสงสายนั้นยังคงร่วงใส่เย่เทียนเฉิน
“กำแพงพสุธา!”
มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินตบลงบนพื้น เสียงคำรามดังขึ้น พริบตานั้นมีกำแพงสูงหลายสิบจั้ง หนาหลายสิบเมตรพุ่งออกมาจากพื้น ประกายแสงสายนั้นฟาดฟันลงมา ฟันกำแพงสูงจนกลายเป็นผุยผงในพริบตา ไม่สามารถสกัดกั้นได้แม้เพียงชั่วครู่ เย่เทียนเฉินกลับยังคงถอยหลังอยู่ต่อไป เนื่องจากไอสังหารของประกายแสงนี้แข็งแกร่งเกินไป เขารู้ว่าตนรับตรงๆ ไม่ไหว และเขาเองก็ไม่รนหาที่ตายอย่างโง่งม
ฉูด!
เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมา แขนซ้ายของเย่เทียนเฉินถูกประกายแสงกวาดผ่านเล็กน้อย ทันใดนั้นมีเลือดพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากระดูกบริเวณแขนซ้ายของตนถูกฟันขาด หากไม่ใช่ว่าเขาถอยอย่างรวดเร็ว เกรงว่าประกายแสงที่กวาดผ่านมานี้คงฟันเขาจนแยกเป็นหลายท่อนแล้ว
มือซ้ายกำแน่น พลังอันอบอุ่นที่จางรั่วถงเหลือทิ้งไว้ในร่างกายของเขารวมอยู่บริเวณบาดแผลอย่างรวดเร็ว ป้องกันอาการบาดเจ็บทั้งยังเริ่มฟื้นสภาพ แต่ในใจของเย่เทียนเฉินก็ต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ปราณสังหารสายนี้ร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าร่างกายของจางรั่วถงเป็นอย่างไร พลังในการฟื้นฟูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บ ต่อให้อยู่ในการต่อสู้ พลังอันอบอุ่นในร่างกายก็สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ตอนนี้พลังอันอบอุ่นสายนั้นทำเพียงหยุดการแพร่กระจายของบาดแผล แต่กลับไม่ได้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางปราณสังหารนี้จะแข็งแกร่งมาก หากถูกเข้าไปอีกหลายครั้ง เขาเย่เทียนเฉินคงต้องตายแน่นอน
ในตอนนี้มัตสึโมโตะชิโมะเค็นยืนอยู่บริเวณที่ห่างจากเย่เทียนเฉินหลายร้อยเมตร มือซ้ายของเขากำปลอกดาบ มือขวากำด้ามดาบ ดาบยังไม่ทันชักออกมาจากฝัก เพียงแค่ดึงออกมาเล็กน้อยเท่านั้นก็ส่งปราณดาบที่ทำให้เย่เทียนเฉินเกือบตายออกมาได้แล้ว ทำให้เขาต้องเหน็บหนาวในใจจริงๆ เพลงดาบโฮคชินของชายชราคนนี้แข็งแกร่งมากเมื่อถูกใช้ออกมาจากมือของเขา ไม่อาจนำฮิคาวะและคาเมดะอิจิโร่ไปเทียบได้เลยจริงๆ
“แกคิดว่าแกแข็งแกร่งมากหรือไง? ฉันจะบอกแกให้ ถ้าฉันคิดจะฆ่าแกก็ง่ายเหมือนฆ่าหมูฆ่าหมา ก่อนหน้านี้ฉันแค่เล่นเป็นเพื่อนแกเท่านั้น!” มัตสึโมโตะชิโมะเค็นมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดัน
เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไร โบกมือขวาออกไป กระบี่เซียวหยวนปรากฏในมือของเขาโดยพลัน เขายืนมองมัตสึโมโตะชิโมะเค็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขารู้ว่ามัตสึโมโตะชิโมะเค็นยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ เรื่องนี้เขาสัมผัสได้ ถ้าหากชายชราคนนี้มีความสามารถแค่นี้ เกรงว่าคงไม่อาจข่มฮิคาวะที่ยโสโอหังได้
“คนของแกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือสำนักโฮคุชินอิตโตริวของฉันหรอก ฉันจะฆ่าแกต่อหน้าทุกคน เอาหัวแกกลับไปประเทศชิบะ!”
ซู่มๆ!
มัตสึโมโตะชิโมะเค็นยังไม่ได้ชักดาบ ทำเพียงใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางขวายื่นออกไปรวมกัน สะบัดไปยังบ้านแต่ละแห่งระหว่างสองข้างทางของเมืองเทียนซา บ้านทั้งหมดของเมืองเทียนซาพลันแหลกสลาย พังทลายไปทั้งหมดจนกลายเป็นเศษฝุ่น นี่คือความร้ายกาจของชายชราคนนี้ ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงจริงๆ