เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 483 เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ย
“ให้พวกเธอลองดู? นี่…”
อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวน เปาเทียนหลง รวมไปถึงชางหลางและเฮยเมี่ยน ผู้ชายทั้งหกต่างคิดไม่ถึงว่าในตอนที่พวกเขารับมือไม่ได้ เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งสองคนจะก้าวออกมาบอกว่าให้พวกเธอลองดูสักหน่อย ลองอะไรกัน? ลองโน้มน้าวจางอีเต๋อเหรอ?
หากจะพูดถึงความสามารถ ความสามารถของพวกอู๋เสวี่ยทั้งหกต้องแข็งแกร่งกว่าเสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยแน่นอน พวกเขาไม่มีวิธีการอะไรที่จะใช้ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นข่มขู่ มอบผลประโยชน์ หรือจะลงมือโจมตีจางอีเต๋อก็ตาม วิธีเหล่านี้ไม่อาจทำให้จางอีเต๋อขยับตัวไปดูเย่เทียนเฉินได้เลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะรักษาได้หรือไม่ แค่ไปดู จางอีเต๋อก็ยังไม่ยอมไป นี่ทำให้ในใจของพวกเขารู้สึกเศร้าสลด ในขณะเดียวกันก็มองไม่ออกว่าชายชราคนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
“ฉันว่าพวกเธออย่าไปเลย ตาแก่นั่นไม่ฟังพวกเธอหรอก ยิ่งไปกว่านั้นฉันว่าคนคนนี้ไม่เห็นจะมีวิชาแพทย์อะไรเลย เสียชื่อเสียงหมด!” หวังเจี๋ยเป็นคนแรกที่พูดด้วยความไม่พอใจ
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของหวังเจี๋ยที่พ่ายแพ้ภายในหนึ่งกระบวนท่า เพียงแต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ หากจะพูดถึงฝีมือและความสามารถของจางอีเต๋อแล้วนั้นไม่ได้สูงไปกว่าเขาเท่าไหร่ เพียงแต่เป็นเพราะความลำพองใจและความดูถูกศัตรูของเขาทำให้จางอีเต๋อฉวยโอกาสสกัดจุดชีพจรบนฝ่ามือของเขาได้ในพริบตา มิฉะนั้นหากจางอีเต๋อต้องการจับตัวเขาคงต้องใช้วิธีอื่น
“ใช่แล้ว อย่าไปเลย จะได้ไม่ถูกปฏิเสธ เดี๋ยวจะทำตัวไม่ถูก!” หลินตวนพูดแล้วส่ายหน้า
อู๋เสวี่ยมองไปยังฉีหรูเสวี่ยและเสี้ยวหยา ผู้หญิงสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่เย่เทียนเฉิน แม้จะไม่สามารถแยกแยะฐานะได้ชัดเจน แต่ก็พอคาดเดาได้บ้าง ถ้าพวกเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา พี่ใหญ่จะต้องไม่วางใจแน่นอน ดังนั้นอู๋เสวี่ยจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบพวกเธอ
“พวกเธอสองคน ฉันเองก็ไม่อยากให้พวกเธอไปเสี่ยงอันตรายอะไร จางอีเต๋อเป็นเซียนแพทย์เทวะ นิสัยขี้หงุดหงิดเอาใจยาก ถ้าเขาลงมือกับพวกเธอสองคน พวกเราอาจจะหยุดเขาไม่ได้ ดังนั้นอย่าไปเลย!” อู๋เสวี่ยมองไปยังฉีหรูเสวี่ยและเสี้ยวหยาพลางกล่าว
“วางใจเถอะ พวกเรามีวิธีการของตัวเอง!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก
“ใช่แล้ว ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็อยากลองดูสักหน่อย นอกจากนี้ ถ้าพวกเราไปก็ไม่เหมือนพวกคุณไป” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“แต่ว่า…” อู๋เสวี่ยยังคงรู้สึกลังเล หากจางอีเต๋ออารมณ์แปรปรวนจริงๆ จนลงมือกับเสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ย นั่นคงไม่ใช่เรื่องสนุก หวังเจี๋ยที่มีความสามารถแข็งแกร่งขนาดนี้ยังถูกจางอีเต๋อเอาชนะไปในกระบวนท่าเดียว ไม่กล้าคิดเลยว่าความสามารถของชายชราคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน
“ไม่มีเวลาให้แต่แล้ว เทียนเฉินสลบไปเกือบสิบวัน ถ้าเป็นคนปกติคงหิวตายไปนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกคุณก็เห็น สีหน้าของเขาซีดลงเรื่อยๆ ลมหายใจอ่อนแอลงทุกวัน ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงไปขอร้องจางอีเต๋อแล้ว!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“พี่สาวหรูเสวี่ยพูดถูก ตอนแรกพวกเราอยากพาเทียนเฉินไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ แต่ตอนนี้พลาดโอกาสนั้นไปแล้ว ลมหายใจของเขาอ่อนแอขนาดนั้น เป็นไปได้มากว่าแค่ขยับเบาๆ ก็อาจตายได้ พวกเราไม่สามารถเคลื่อนไหวเทียนเฉินมั่วซั่ว นี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาบอกกับพวกคุณว่าหลังจากพาเขามานั่งขัดสมาธิแล้วก็อย่าแตะต้องเขาอีก” เสี้ยวหยาพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยถึงกับยืนอยู่ข้างเดียวกัน ตอนแรกในใจของพวกเธอต่างรู้สึกไม่ดีกับอีกฝ่ายเพราะเรื่องของเย่เทียนเฉินและเพราะความรักที่พวกเธอมีต่อเย่เทียนเฉิน ถึงแม้จะไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน แต่ในใจยังรู้สึกมองหน้ากันไม่สนิท ทว่าตอนนี้ถึงกับจูงมือกัน สามัคคีกัน ดูแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ
ความจริงในตอนที่พวกอู๋เสวี่ยทั้งหกคนเดินไปที่สวนของคฤหาสน์เพื่อไปขอร้องจางอีเต๋อ เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยก็รอด้วยความร้อนใจมาโดยตลอด ในใจของพวกเธอต่างหวังให้จางอีเต๋อมารักษาเย่เทียนเฉิน จะอย่างไรฉายาเซียนแพทย์เทวะก็ไม่ได้ถูกเรียกขานมั่วซั่ว แม้จะบอกไม่ได้ว่าเขาเป็นคนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดในโลก แต่อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เก่งด้านการแพทย์ที่สุด
สิ่งที่ทำให้เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยคิดไม่ถึงก็คือจางอีเต๋อจะนอนอยู่บนเก้าอี้เอนในสวนมาแล้วสองวันสองคืน จะอย่างไรก็ไม่ยอมขยับ กระทั่งพวกอู๋เสวี่ยทั้งหกคนคิดทำทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่มาดูเย่เทียนเฉินแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะรักษาให้เย่เทียนเฉินเลย นี่ทำให้พวกเธอรู้สึกร้อนใจมาก พอร้อนใจก็เลยนั่งหาวิธีด้วยกัน คิดด้วยกัน ไม่นานก็บรรลุข้อตกลง พวกเธอยอมวางอคติที่มีต่อกัน ตัดสินใจไปขอร้องจางอีเต๋อให้มารักษาเย่เทียนเฉินด้วยกัน
“นี่…”
“พี่อู๋เสวี่ย เอาตามนี้เถอะ ให้พวกเราลองดูสักหน่อย เดี๋ยวจะไม่ทันการ!” เสี้ยวหยามองไปยังเย่เทียนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน ลมหายใจอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทีปวดใจ
อู๋เสวี่ยเองก็มองไปยังเย่เทียนเฉินที่มีสีหน้าขาวซีด คราวนี้เทียบกับคราวที่แล้วไม่ได้ คราวที่แล้วถึงแม้พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจะบาดเจ็บสาหัสแต่ได้รับการรักษาทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้นอาการบาดเจ็บภายในก็ไม่ได้แย่ลงเร็วขนาดนั้น จะอย่างไรความสามารถของซาโต้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับมัตสึโมโตะชิโมะเค็น แต่ครั้งนี้หลังจากที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินกำชับตนหลายประโยคก็สลบไปเลย สลบไปถึงสิบวันสิบคืนเต็มๆ ในช่วงนี้ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ไม่กินไม่ดื่ม สถานการณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก
“เอาเถอะ ฉันจะไปเป็นเพื่อนพวกเธอเอง!” อู๋เสวี่ยคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ผงกหัวตอบ เขาเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ
เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยมองกัน จากนั้นจึงจับมือกันเดินออกไปจากห้องนอนของเย่เทียนเฉินไปยังสวนของคฤหาสน์ เห็นจางอีเต๋อกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เอนในสวน กำลังหลับตาทำสมาธิ ทั้งสองต่างครุ่นคิดในใจ ขณะเดียวกันก็คาดเดาเหมือนกัน ถ้าพวกเธอเดาถูก บางทีเย่เทียนเฉินอาจจะมีทางช่วย จางอีเต๋อรักษาเย่เทียนเฉินได้ เพียงแต่พวกเธอจะต้องเสียสละบ้าง เป็นไปได้มากว่าจางอีเต๋อจะช่วยได้
“คุณปู่จาง หนูคือหยาเอ๋อร์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ขอบคุณที่ตอนนั้นคุณช่วยรักษาแม่ของหนู!” เสี้ยวหยาเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นอย่างมีมารยาท
จางอีเต๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองไปทางเสี้ยวหยา จากนั้นจึงพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ตอนนั้นที่รักษาให้แม่ของเธอนับเป็นผลงานของเย่เทียนเฉิน ตอนนั้นอาการป่วยของแม่เธอซึมลึกถึงกระดูกแล้ว ไม่สามารถช่วยได้อีก แต่เย่เทียนเฉินไม่อยากให้เธอเสียใจเลยบอกให้ฉันโกหกเธอ ตอนนั้นฉันก็เดาได้แล้วว่าไอ้หนูนี่จะต้องความสำคัญกับเธอแน่นอน ตอนนี้พวกเธออยู่ด้วยกันเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางอีเต๋อ ในใจของเสี้ยวหยาก็รู้สึกตกใจ จากนั้นจึงส่ายหน้าพูด “คุณปู่จางเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูกับเทียนเฉินเป็นแค่เพื่อนกัน ตอนนี้ไม่มีบ้านให้กลับเลยมาอยู่กับเขาที่นี่ พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบแฟน!”
“งั้นเหรอ? เธอหลอกฉันแบบนี้ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก!” จางอีเต๋อพูดแล้วส่ายหน้า
เสี้ยวหยามองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่จาง ได้ยินว่าจางรั่วถงหลานสาวของคุณสวยมาก อยากพบเธอสักครั้งจริงๆ หนูยังได้ยินมาว่าความรักระหว่างเธอกับเทียนเฉินไม่เลวเลย จะอยู่ด้วยกันหรือเปล่าคะ?”
“ถ้าหลานสาวของฉันอยู่กับเย่เทียนเฉิน เธอจะทำยังไง?” จางอีเต๋อถามกลับ
“หนูก็จะอวยพรให้พวกเขา!” เสี้ยวหยาพูดขึ้น ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“เธอเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีคนหนึ่ง แต่เรื่องของความรู้สึกไม่สามารถบีบบังคับได้ จำเป็นต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ เรื่องระหว่างหลานสาวของฉันและเย่เทียนเฉินทำให้ฉันโกรธจริงๆ คิดว่าเย่เทียนเฉินไม่มีค่าพอที่หลานสาวของฉันจะทำเพื่อเขาแบบนั้น!” จางอีเต๋อพูดด้วยความโกรธเคือง
ตอนนี้เอง ฉีหรูเสวี่ยก้าวออกมา มองไปยังจางอีเต๋อแล้วพูดขึ้นว่า “คุณปู่จางคะ หนูคือฉีหรูเสวี่ย คำพูดของคุณเมื่อกี้นี้หนูไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ จะมีค่าพอหรือไม่ก็เป็นเรื่องระหว่างคนทั้งสอง พวกเขารับรู้ได้ด้วยตัวเอง หนูเชื่อว่าการที่หลานสาวของคุณเสียสละไปแบบนั้นคงทำให้เย่เทียนเฉินซาบซึ้งใจ เย่เทียนเฉินจะต้องรับผิดชอบเธอแน่นอน!”
เรื่องของจางรั่วถงและเย่เทียนเฉินไม่ใช่ความลับอะไร ตอนนั้นเย่เทียนเฉินบาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าอาจจะตายได้ แต่สุดท้ายก็ยังหายดี ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถยังมั่นคงยิ่งขึ้น นี่ย่อมทำให้ใครหลายคนรู้สึกสงสัย คนที่มีอำนาจอยู่บ้างเพียงตรวจสอบดูก็รู้ ที่แท้การที่เย่เทียนเฉินสามารถกลับมามีชีวิตได้ล้วนต้องอาศัยจางอีเต๋อและจางรั่วถงผู้เป็นหลานสาว ส่วนจางรั่วถงจะรักษาเย่เทียนเฉินอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนพูดต่างกันไป แน่นอนว่าคำพูดที่ว่าใช้ร่างกายบริสุทธิ์ก็มีคนพูดออกมาเช่นกัน
“เธอคือฉีหรูเสวี่ยหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลฉีงั้นเหรอ? ได้ยินว่าเธอกับเย่เทียนเฉินหมั้นกันแล้ว ในเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ดูท่าทางคงมีความรู้สึกไม่เลวต่อกัน จะแต่งงานกันเมื่อไหร่ก็บอกคนแก่อย่างฉันด้วย ฉันจะได้ดื่มเหล้ามงคลให้พวกเธอ!” จางอีเต๋อเอ่ยปากพูด
“คุณปู่จาง คุณคิดมากเกินไปแล้วค่ะ ด้วยความสามารถของเย่เทียนเฉินยังไม่คู่ควรให้ฉันต้องแต่งงานด้วย ตระกูลฉีของฉันและตระกูลเย่ไม่ได้เกี่ยวดองกัน!” ฉีหรูเสวี่ยพูดด้วยท่าทีหยิ่งยโส
จางอีเต๋อมองไปยังฉีหรูเสวี่ย จากนั้นจึงเอ่ยปากกล่าวว่า “เรื่องที่พวกเธอสองคนถอนหมั้นกัน ฉันก็ได้ยินมาแล้ว ดูท่าทางจะเป็นเรื่องจริง เรื่องของโชคชะตาไม่สามารถบีบบังคับกันได้!”
“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเรียกได้ว่าเรื่องระหว่างจางรั่วถงหลานสาวของคุณกับเย่เทียนเฉินเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดแล้วค่ะ คุณปู่จาง คุณควรจะดีใจนะคะ เย่เทียนเฉินคนนี้แม้จะไม่เท่าไหร่แต่ก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง จะมากจะน้อยก็ยังทำอะไรได้บ้าง จะไม่ทำให้หลานสาวของคุณได้รับความไม่ยุติธรรมแน่นอน ใช่หรือเปล่าคะ?” ฉีหรูเสวี่ยเอ่ยปากต่อไป
“ฮ่าๆ เป็นคุณหนูน้อยที่ร้ายกาจจริงๆ พวกเธอพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าชายแก่อย่างฉัน คิดว่าฉันไม่รู้ความคิดของพวกเธอจริงๆ รึไง? ฉันแค่อยากจะบอกพวกเธอว่าสายไปแล้ว ฉันช่วยเย่เทียนเฉินไม่ได้ ส่วนเรื่องเขาจะตายหรือไม่ฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ยังไงซะไอ้หนูนี่ก็ค่อนข้างพิเศษ!” จางอีเต๋อยิ้มเล็กน้อย มองไปทางฉีหรูเสวี่ยและเสี้ยวหยาด้วยความชื่นชม
ผู้หญิงสองคนนี้มีความกล้าหาญขนาดนี้ ทั้งยังเฉลียวฉลาดขนาดนี้ สามารถคิดถึงปัญหานี้และยังคาดเดาจิตใจของจางอีเต๋อได้ด้วย ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ในจุดนี้เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยแข็งแกร่งกว่าพวกอู๋เสวี่ยทั้งหกคนจริงๆ ดังนั้นบางครั้งก็อย่าได้ดูถูกผู้หญิง ความฉลาดและไหวพริบของผู้หญิงไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายเลย