เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 612
บนร่างของแวมไพร์เกิดบาดแผลจากการโจมตีของหลินหยาง แต่มันมิใช่ใหญ่โตอันใดหากเที่ยบกับร่างขนาดมหึมาของตน
“…!?” มันกําลังจะส่งเสียงหัวรอเพื่อบ่งบอกชายหนุ่มว่าการโจมตีครั้งนี้ก็สามารถระแคะระคายผิวหนังของตนได้เช่นเคย ทันใดนั้นเองควงตากลมโตขนาดยักษ์ของมันเบิกโพลงแทบถลน มุมปากที่เคยแสยะยิ้มอยู่อ้ากว้างเป็นพร้อมกับเสียงหายใจตฟาต ร่างกายของมันสั่นเทาก ระตุกเป็นจังหวะส่งผลให้ร่างขนาดยักษ์ของมันเสียดสีกับผนังถ้ําเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
มีเสียงคล้ายบางอย่างที่กําลังถูกย่างไฟเกิดขึ้นพร้อมกับควันลอยขึ้นมาบริเวณจุดที่ถูกใจ มตีส่วนล่างของแวมไพร์ปีศาจ ตามมาด้วยกลิ่นเนื้อย่างหอมฉุยตลบอบอวลชวนให้ท้องหิว
แน่นอนปฏิกิริยาเหล่านี้ย่อมมาจากหลินหยาง การโจมตีสุดกําลังเมื่อครู่ชายหนุ่มเองยังฝากความหวังเอาไว้อยู่ไม่น้อย ถึงจะน่าเสียดายที่การโจมตีดังกล่าวเพียงแค่สามารถกรีดผิวหนังมันได้ เพียงบาดแผลอื่นๆเท่านั้นก็ตาม แต่หลินหยางก็ยังมิได้ถอนอาวุธของตนกลับแต่อย่างใดกลับกันเขาหันหมุนตาบเอาส่วนคมออกใช้ใบดาบทั้งใบดันใส่ก้อนเนื้อแวมไพร์จนเกิดรอยยุบ
ด้วยความร้อนจากทักษะหลอมไฟอาบชโลมลงบนใบด้ามจึงทําให้ตัวดาบเองมีอุณหภูมิสูงยิ่ง อย่าว่าแต่ผิวหนังของแวมไพร์เลย แม้แต่ช่วงเวลาปกติในบางคราหลินหยางมักจะ ใช้ทักษะดังกล่าวในการปรุงสุกเนื้อดิบให้เหมาะแก่การรับประทาน แล้วมีหรือที่ก้อนเนื้อไร้ผิวหนังห่อหุ้มของแวมไพร์ปีศาจตนนี้จะไม่เป็นอย่างเนื้อสัตว์เหล่านั้น? แน่นอนบัดนี้เนื้อของมันสุกได้ที่เสียแล้ว
“คู่!” ก้อนเนื้อแวมไพร์ร้องเสียงหลงกระตุกตัวเด้งขึ้นลงอย่างร้อนลน แม้จะมีความสามารถพิเศษมีของเหลวเป็นเปลือกห่อหุ้มป้องกันการโจมตีใต้หนึ่งขึ้น และมีร่างกายที่ยืดหยุ่นสามารถลดทอนการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามได้ส่วนหนึ่ง แต่ทว่าความร้อนดั่งเปลวเพลิงที่นาบกับลําตัวของมันอยู่ตอนนี้มิใช่การโจมตีทางกายภาพโดยตรง ความร้อนดังกล่าวไม่สนการป้องกันภายนอก แม้แต่เมือกเหนียวหนืดที่เคลือบร่างของมันไว้ก็ยังถูกความร้อนเผาผลาญเดือดปดๆราวกับถูกต้มในน้ำเดือด
นอกเสียจากว่ามันจะไม่มีประสาทรับความเจ็บปวดหรือประสาทรับรู้ใดๆมันจึงจะไม่ เจ็บปวดกับการถูกย่างสดเช่นนี้ ซึ่งแน่นอนมันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตมีความรู้สึกอยู่ครบถ้วนส่งผลให้ ร่างกายของมันแสดงปฏิกิริยาตอบสนองมันกระตุกร่างอย่างลนลานพยายามกระเถิบถอยหลังให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ได้รับ
กล้ามเนื้อที่ยุบลงเป็นร่องถูกความร้อนสูงของตาบนาบจนจุดดังกล่าวไหม้เกรียมเสียความยืดหยุ่นไม่เหมือนชิ้นเนื้อสดอีกต่อไป
เมื่อเห็นการโจมตีของตนเป็นผลสําเร็จหลินหยางมิปล่อยให้เสียโอกาศอันมีค่า เขาถอนตัวดาบออกจากจุดเดิมไถลมันไปตามผิวกายของแวมไพร์ปีศาจห่างจากจุดเดิมราวหนี้งคืบพร้อมกับออกแรงกดตัวดาบใส่ร่างของมันอีกครั้ง
พรืดด
มีเศษเนื้อของแวมไพร์ติดออกมาจากจุดแรกที่ถูกความร้อนนาบ เมื่อมองไปยังจุดดังกล่าวจะ พบว่าผิวกายชั้นนอกของมันหลุดติดออกมาทั้งแผง มันแห้งกรังเกาะอยู่บนใบดาบทั้งหมด ตรง จุดบาดแผลของมันเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดงสดใหม่ที่อยู่ข้างใต้ผิวหนังเดิมพร้อมกับเลือดสีแดงดำไหลซึมออกมา
เมื่อเห็นบาดแผลเช่นนี้แม้แต่หลินหยางเองก็ยังรู้สึกสยดสยอง เขาไม่สามารถจินตนาการถึงค วามเจ็บปวดที่เจ้าแวมไพร์ตนนี้ได้รับว่ามันจะมากมายถึงเพียงไหนที่ผิวหนังถูกลอกออกไปสดๆ เช่นนี้
เมื่อเห็นว่าผิวกายขั้นนอกของมันหลุติติดใบดาบออกมา ชายหนุ่มดึงใบดาบผละออกจาก ผิวการของแวมไพร์แต่เดิมหมายจะใช้ความร้อนของตัวตาบสร้างรอยแผลจุดใหม่บนร่างกายของมัน แต่ตอนนี้เขาละทิ้งการกระทําปัจจุบันทันที่พร้อมกับหมุนเปลี่ยนวิถีการโจมตีขปลายดาบที่หักครึ่งไปทางบาดแผลแรกที่ถูกลอกผิวหนังออกไปหนึ่งชั้น
ตัวดาบสั้นที่เคยมีสีแดงสวยสดกลับค่อยมลายหม่นหมองสูญเสียความร้อนไปจนกลับกลาย เป็นดาบธรรมดาไม่มีพิษสงของความร้อนดังเดิมกลับกันมันหยดนาสีเขียวขุ่นผุดขึ้นมาอาบโลมใบดาบจนทั่วราวกับเม็ดเหงื่อ หลินหยางยกเลิกการใช้งานทักษะหลอมไฟและผลัดเปลี่ยนทดแทนด้วยทักษะพิษผึ้ง ตอนนี้เมื่อผิวกายขั้นนอกที่เสียความยืดหยุ่นไร้สารเหลวแปลกปลอม ที่เคลือบมันอยู่ไปจึงไม่ต่างไปจากก้อนเนื้อธรรมดา เช่นนั้นแล้วมีหรือมันจะสามารถต้านทานของมีคมอย่างตาบภายในมือหลินหยางได้สรูป
สวบ
หลินหยางแทงตาบที่อาบตัวยทักษะพิษผึ้งทั่วทั้งเล่มเสียบเข้าใส่บาตแผลจุดแรกที่ ถูกลอกหนังออกมาอย่างบรรจงจิตมิดด้าม
” คู๊ ” ก้อนเนื้อแวมไพร์ที่พึ่งปวดแสบสันกับบาดแผลเก่าที่ถูกความร้อนนาบแถมยังถูกดึงเอาผิวกายขั้นนอกหลุดติดออกไปทั้งแถบยังมิทันได้หายใจหายคอ มันก็ต้องร้องเสียงหลงดิ้นทุรนทุรายเมื่อถูกของมีคมแทงใส่ร่างของตน แน่นอนแม้ไม่ใช่บาดแผลใหญ่ฉกรรจ์อันใดหากเทียบกับขนาดตัวใหญ่ยักษ์ของตน แต่มันเองก็ได้รับความเจ็บปวดจากการถูกเสียบร่างเช่นเคย
มันสะบัดตัวอย่างรุนแรงเพื่อหวังจะหลุดพ้นจากความเจ็บส่งผลให้พื้นถสั่นไหวยวบยาบราวกับเกลียวคลื่นแต่หลินหยางยังคงปักหลักมั่นเสียบตาบสิ้นค้างเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อยพลางหมุนมือทั้งสองข้างที่จับด้ามดาบไปซ้ายขวาคว้านเนื้อของแวมไพร์จนหลุดรุ่ย
ฉึบ
ไม่นานนักหลินหยางจึงถอนดาบออกมาเล็กน้อยและเปลี่ยนจุดแทงใหม่ที่ไม่ห่างกันนักพร้อมกันนั้นเขาเร่งใช้ทักษะพิษผึ้งจนถึงขีดสุดแพรพิษเข้าใส่บาดแผลใหม่
ครืน~~
ทันใดนั้นเองเมื่อถูกโจมตีครั้งที่สองเจ้าแวมไพร์ตนนี้ยิ่งดิ้นหนักขึ้นกว่าเดิม มันสบัดตัวโน้มหน้าโน้มหลังทําให้ร่างกายของมันที่ติดขัดอัดอยู่กับผนังและเพดานถ้ําสามารถเคลื่อนหลุดออกมาได้ ส่วนหนึ่งคล้ายกับตุ๊กตาล้มลุก เมื่อมันขยับมากยิ่งขึ้นทําให้มันสามารถหลุดออกจากผนังถ้ำที่กักขัง พันธนาการร่างเอาไว้มันใช้ส่วนหัวของมันโน้มโถมเข้าหาหลินหยางหมายจะใช้ร่างยักษ์ของ ตนกับบีบใสให้หลินหยางละทิ้งการโจมตีถึงดาบสั้นที่เสียบในตัวของตนออกไป
“12” หากยังเสียบตาบคาเอาไว้อย่างนี้แน่นอนต้องถูกร่างมหึมาของมันทาบทับเป็นแน่ หลิน หยางย่อมมีปล่อยให้มันทําได้สําเร็จเขาตั้งตาบออก
แต่ก่อนที่ดาบสั้นครึ่งเล่มนี้จะหลุดออกมาจากตัวของแวมไพร์ตนนี้หลินหยางกลับฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เขาออกแรงบีบมือมั่นพร้อมกับโถมตัวกตตาบสั้นลงด้วยน้ําหนักตัวของตน
ฟรืดด~~
ดาบสั้นตัดผ่านกล้ามเนื้อของแวมไพร์ลากยาวราวหนึ่งฟุตจนแขนทั้งสองข้างของหลินหยางสุดความยาวชายหนึ่งจึงยังมือถึงตาบกลับถอยหลังหนึ่งก้าวสร้างระยะห่างเล็กน้อยจากมัน
“อืม” ชายหนุ่มเค้นเสียงในลําคอระบายความเหน็ดเหนื่อย ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้าจากการใช้งานทักษะอย่างต่อเนื่องยาวนานเกินไปแต่ใบหน้าของเขากลับแสดงออกแตกต่างออกไป บัดนี้มุมปากของเขายกยิ้มแสยะขึ้นเล็กน้อยด้วยความปิติยิน ดีกับการโจมตีที่เป็นผลสําเร็จแม้มันจะมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตแต่การโจมตีครั้งสุดท้ายที่เขา ฝากฝังเอาไว้บนร่างกายของแวมไพร์ตนนี้มีความยาวมากพอที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นบาดแผลฉกรรจ์เลยที่เดียว
โดยก่อนที่หลินหยางจะดึงดาบออกมาจากร่างของมันทั้งเล่มนั้นเขาได้ฉุกคิดขึ้นมา หากจําต้องใช้เรียวแรงสูงสุดเพียงเพื่อจะสร้างรอยขีดข่วนเล็กๆน้อยบนร่างกายของฝ่ายตรงข้าม แน่นอนหลินหยางย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยสิ้นพละกําลังไปก่อน แม้จะสามารถลอกผิวหนังขอ งมันออกมาได้ด้วยความร้อนจากทักษะหลอมไฟแต่ทักษะดังกล่าวก็นับว่าเป็นดังตาบสองคมกว่าจะสามารถทําให้ดาบเหล็กในมือของตนเกิดความร้อนจนถึงขีดสุดหลินหยางจักต้องใช้ ทักษะหลอมไฟอาบใบดาบอยู่นมนานเลยที่เดียวเพื่อให้ได้อุณหภูมิที่ตนต้องการ มันจึงสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ไม่น้อย
แล้วในเมื่อจุดที่ผิวหนังของศัตรูถูกลอกออกมาเผยให้เห็นกล้ามเนื้อชั้นใต้ที่ไร้เกราะป้องกันอ่อนนุ่มราวกับผิวเด็กนี้เล่าไม่ต้องกล่าวของถึงมีคมอย่างตาบสั้น แม้แต่เล็บมือของหลินหยางยังสามารถกรีตเจาะผ่านมันได้เสียตัวยซ้ำ แล้วเหตุใดเขาต้องสิ้นเปลืองพลังงานอันแสนมีค่าของตนเพื่อเจาะผิวชั้นนอกที่มีความยืดหยุ่นสูงและเมือกเหลวเคลือบอยู่ด้วยเล่าในเมื่อมีทางลัดอันง่ายดายให้เลือกสรร
นี่จึงคือที่มาของการโจมตีสุดท้ายที่หลินหยางฝากเอาไว้บนร่างกายของมันก่อนที่จะผลักตัวออกห่าง