เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 624
ดาบสั้นในมือหลินหยางสั่นเล็กน้อยพร้อมกับใบดาบที่มีสีแดงระเรื่อ เป็นการใช้ออกด้วยทักษะหลอมไฟอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ดูแล้วสีสันหาได้แดงสดใสแสดงถึงความร้อนระอุไม่ เปรียบเทียบกันแล้วทักษะหลอมไฟที่หลินหยางใช้ด้วยเรียวแรงในตอนนี้มันเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิใช่แค่สีสัน แม้แต่ความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวดาบก็บางเบาเช่นกัน แต่มันก็ยังมีฤทธิ์มากพอที่จะย่างเนื้อสดๆให้สุกได้ในเวลาไม่นาน ฉะนั้นจึงไม่นับว่าเป็นปัญหามากนักสําหรับก้อนเนื้อแวมไพร์กระสอบทรายตัวยักษ์ที่ไม่มีความสามารถหลบการโจมตีเช่นมัน
“คู” ทันทีที่เห็นหลินหยางตั้งท่าเตรียมต่อสู้ แวมไพร์ปีศาจที่นิ่งเงียบคอยดูท่าทีมานานก็ส่งเสียงทุ้มต่ำคล้ายกับข่มขู่หลินหยาง ตั้งแต่เหตุการณ์ผิดปกติเมื่อครู่ ตอนนี้แม้มันจะหยุดแหกปากร้องแล้วก็ตามแต่สีหน้าท่าทางของมันก็ยังอ่อนล้าอ่อนเพลียราวกับเรี่ยวแรงที่เคยมีหายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เสียงของมันมีหรือจะข่มขู่หลินหยางได้ ชายหนุ่มมิได้เกรงกลัวแวมไพร์โง่งมตนนี้แม้แต่น้อย หากมันจําแลงเป็นร่างมนุษย์ยังพอให้หวาดระแวงถึงอันตรายอยู่ ทั้งการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและกรงเล็บคู่กายของมันทําให้ยากในการต่อกรด้วยยิ่งปฏิเสธมิได้เลยว่าแวมไพร์ในร่างมนุษย์นี้เป็นสิ่งมีชีวิตในรูปร่างใกล้เคียงกันที่เก่งกาจมีฝีมือทัดเทียมหรือมากกว่าหลินหยางเลยทีเดียว แต่สําหรับก้อนเนื้อเน่าตรงหน้านี้หรือ?
หลินหยางจับดาบในรูปแบบที่ปลายดาบชี้ลงพื้นถ้ำปลายสุดของด้ามดาบโผล่พ้นนิ้วชี้และนิ้วโป้งขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงงอข้อศอกยกด้ามดาบสูงในระดับอก ตอนนี้หลังมือของเขาอยู่ด้านบนบดบังตัวด้ามเอาไว้จนมิด หากคู่ต่อสู้เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กแล้วมันยากเย็นอย่างยิ่งที่จะใช้ท่วงท่าปัจจุบันสําหรับการโจมตี แต่ในเมื่อก้อนเนื้อแวมไพร์ตัวยักษ์นั้นมิสามารถหลบหลีกได้ทําให้หลินหยางมุ่งเน้นจุดประสงค์ทั้งหมดไปที่พลังการโจมตีเพียงอย่างเดียวมิจําเป็นต้องใช้การโจมตีที่หลากหลายใช้เล่ห์กล
เขาใช้มือซ้ายกุมด้ามดาบที่โผล่พ้นนิ้วชี้และโป้งขวาออกมาเล็กน้อยเพื่อเพิ่มพลังการโจมตี เมื่อท่วงท่าเพรียบพร้อมสําหรับการจู่โจมเป็นที่เรียบร้อยหลินหยางเพิ่มแรงขาทั้งสองข้างดันกายกระโจนเข้าใส่ก้อนเนื้อแวมไพร์ด้วยความเร็วสูงเพื่อเพิ่มพลังการทะลวงเป้าหมายให้ถึงขีดสุด
ส่วนที่ตกเป็นเป้าหมายของดาบสั้นก็คือจุดที่เคยถูกลอกผิวหนังออกมาแล้วหนึ่งชั้นนั่นเอง แม้ตอนนี้จะมีบาดแผลใหม่เกิดขึ้นตั้งแต่กึ่งกลางลําตัวของก้อนเนื้อตนนี้ ทว่าเป็นบาดแผลดังกล่าวยังคงปริศนาคาใจไม่ทราบถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นได้เช่นใด ทําให้ชายหนุ่มไม่วางใจนักที่จะโจมตีไปยังจุดที่ไม่พึงประสงค์เช่นนี้
ฟุบ
หลินหยางพุ่งลงต่ำรวดเร็วอย่างยิ่งเมื่อรวมเข้ากับความมืดภายในถ้ำส่งผลให้ภาพร่างชายหนุ่มเลือนรางราวกับภูติพราย แม้แขนทั้งสองข้างจะได้รับภาระมาอย่างหนักหนาสาหัสเอาการ แต่มิใช่กับขาทั้งสองข้าง ความเร็วการเคลื่อนที่ของเขาจึงมิได้ลดลงไปมานักหากเทียบกับช่วงเวลาปกติ
เพียงพริบตาเดียวหลินหยางก็เข้าประชิดตัวก้อนเนื้อแวมไพร์
เจ้าแวมไพร์มันตกใจชั่วครู่ที่มนุษย์หนุ่มตรงหน้าพึ่งผ่านพ้นการเผชิญหน้ากับสมุนสุดรักของมันได้เพียงไม่ถึงสองนาทีก็เริ่มเข้าประจัญหน้ากับมันแล้ว
มันกระเถิบกายถอยไปด้านหลังหมายจะหนีจากการบุกของมนุษย์หนุ่มตัวน้อย แม้ขนาดร่างกายของมันจะลดลงไม่ติดขัดกับผนังถ้ําส่วนใดแล้วทว่าสิ่งมีชีวิตตัวกลมเช่นมันที่ไม่มีมือมีเท้างอกเงยออกมาก็เป็นการยากอยู่ดีที่จะเคลื่อนย้ายลําตัวขนาดมหึมาของตนได้ มันขยับตัวขึ้นลงกว่าสามทีจึงจะสามารถเคลื่อนตัวถอยไปข้างหลังได้แต่มันก็เป็นเพียงแค่หนึ่งก้าวของมนุษย์เท่านั้น ทว่าเมื่อมันใช้สายตามองมาข้างหน้าก็พบกับร่างของหลินหยางที่กําลังจะเสียบอาวุธเข้าใส่ร่างกายของมันในระยะเผาขน
การพยายามเคลื่อนที่ของมันไม่เกิดผลใดๆเลย มันใช้เวลามากกว่าสามเท่าของมนุษย์ปกติเพียงเพื่อจะถอยหลังไปเพียงครึ่งเมตร ซึ่งสําหรับหลินหยางใช้เวลาเพียงเสี้ยววิเท่านั้น ทําให้การกระทําของมันเสียเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถทิ้งระยะห่างจากมนุษย์ตรงหน้าได้อย่างที่ตน คาดคิดเอาไว้ทั้งยังดูเหมือนเป็นใช้เรี่ยวแรงไปอย่างเสียเปล่าอีกต่างหาก บาดแผลปริศนาที่คล้ายกับรอยถูกฟันบนร่างของมันตั้งแต่ริมฝีปากจนถึงร่างกายส่วนล่างของตัวมันเองก็ปริแตกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เลือดของมันไหลทะลักเป็นเขื่อนแตกเป็นทวีคูณ
ความโง่งมของมันไร้ที่สิ้นสุด
มันยังพยายามสั่นสะเทือนร่างของมันเพื่อกระเถิบหนีอย่างไร้ความจําเป็น แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างที่การขยับตัวของมันส่งผลให้พื้นถสั่นสะเทือนไปมาสร้างภาระให้แก่คู่ต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมิสามารถหยุดหลินหยางที่กําลังจะปะทะอยู่รอมร่อได้
เมื่อเห็นว่ามิสามารถขวางกั้นเปลี่ยนความคิดของชายหนุ่มได้ มุมปากทั้งสองข้างของแวมไพร์ปีศาจอ้าออกกว้างร่วมเมตรพร้อมกับฟันซี่แหลมที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของมนุษย์ที่โตเต็มวัย หมายจะใช้ปากกว้างของตนกัดร่างของมนุษย์ตัวน้อยตรงหน้าให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าเสมือนมันสมองของมันกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว เมื่อมันพยายามอ้าปาก บาดแผลใต้ปากของมันยิ่งปริแตกมากขึ้นด้วยความตึงของผิวหนังส่งผลให้ความกว้างของรอยแผลอ้าออกมากกว่าเดิมถึงสองเท่า
แผละ
“คู๊!!” แวมไพร์ปีศาจร้องเสียงหลงทันทีที่ความเจ็บปวดส่งมาถึงโสทประสาท ดวงตากลมโตของมันหยีเล็กลงแสดงถึงความเจ็บแสบที่ตนได้รับ
การกระทําทุกสิ่งอย่างที่มันแสดงออกย่อมไม่พ้นสายตาของหลินหยาง หากตอนนี้มิใช่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเขาคงตะเบ็งเสียงหัวร่อในความโง่เง่าของก้อนเนื้อเน่าตนนี้ไปแล้ว
เมื่อพุ่งกายมาถึงร่างของก้อนเนื้อแวมไพร์หลินหยางมิได้ผ่อนความเร็วลง ตอนนี้จุดเป้าหมายผิวหนังที่ถูกลอกออกไปด้วยทักษะหลอมไฟอยู่เบื้องหน้าหลินหยางเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกันนั้น เขาเหยียดแขนยืดส่งปลายดาบมุ่งตรงเข้าหาจุดเป้าหมายอย่างแม่นยํา
ดาบสั้นแทงทะลุเนื้อสดๆที่ไร้ผิวหนังห่อหุ้มเข้าไปจนมิดด้าม แม้แต่มือขวาของหลินหยางยังจมลึกเข้าไปในร่างของมันเกือบครึ่ง!
คว้ากกก
เสียงแห่งความเจ็บปวดแรกยังมิทันได้สิ้นไป ความเจ็บปวดใหม่ที่ถูกมอบให้โดยมนุษย์หนุ่มกลับมาทดแทนเพิ่มความเจ็บปวดอย่างทวีคูณ
แวมไพร์ปีศาจส่งเสียงกรีดร้องแหลมก้องกังวาลส่งลมกรรโชกตามพลังเสียงของตน หลินหยางตกใจชั่วครู่ก่อนจะลดศรีษะลงต่ำใช้หัวไหล่ทั้งสองข้างของตนแนบหูเพื่อบรรเทา ส่วนมือทั้งสองข้างของเขายังคงบังคับด้ามดาบควงเฉือนเนื้อของคู่ต่อสู้อยู่ภายใน ตัวดาบหมุนคว้านวนไม่นานนักหลินหยางก็ดึงมือกลับพร้อมกระโจนตัวถอยห่างออกจากก้อนเนื้อเน่าเกือบสองเมตรและใช้มือทั้งสองข้างขึ้นปิดหูของตนที่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาบ้างแล้วจากการรับฟังเสียงดังเกินกว่าที่จะรับไหว
มองไปยังจุดโจมตีของหลินหยางเมื่อครู่ จากเดิมที่เพียงแค่ถูกลอกผิวหนังเผยให้เห็นผิวเนื้อด้านใน บัดนี้มันกลายเป็นรูโหว่ขนาดเท่ากําปั้นและมีความลึกมากกว่าหนึ่งคืบเสียปีก พร้อมกันนั้นเองมีเศษชิ้นเนื้อเละเทะน่าขยะแขยงราวกับถูกเครื่องบดจนละเอียดไหลออกมาจากรูดังกล่าวย้อยลงบนผิวหนังไหลตกลงบนพื้นถ้ําเป็นทางยาว
มันคือชิ้นส่วนเลือดเนื้อของแวมไพร์ปีศาจที่ถูกดาบสั้นและมือของหลินหยางคว้านออกมานั่นเอง ความเจ็บปวดที่มันได้รับสุดแสนจะเกินทนหากเป็นมนุษย์คงลงไปชักดิ้นชักงอตัวโก่งหมดสติไปนานนม แต่แวมไพร์ปีศาจก็มิได้ด้อยไปกว่ากันนักมันแหกปากร้องเสียงหลงจนเสียดแทงแก้วหู ระบายความเจ็บปวดทรมานที่ตนได้รับ แม้หลินหยางจะยกมือปิดหูทั้งสองข้างจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบข้างแต่ทว่าเสียงร้องของแวมไพร์ตนนี้ก็ยังทะลุทะลวงฝามือของเขาเข้าโจมตีแก้วหูโดยที่มันเองก็คงมิได้ตั้งใจ
หลายสิบลมหายใจกว่ามันจะหยุดแหกปากลงพร้อมกับร่างกายที่เหนื่อยหอบแฮ่ก ราวกับผ่านการต่อสู้มาสามวันสามคืนไม่หยุดพัก สภาพหลินหยางเองก็มิได้ต่างจากมันมากนักเขาค่อยลดมือที่อุดหูของตนลงพร้อมกับใบหน้าซีดเซียว เสียงร้องของคู่ต่อสู้มันเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้เสียอีก แม้นี้ไม่ใช่การโจมตีของเจ้าตัว แต่มันก็แทบไม่ต่างจากการโจมตีที่มองไม่เห็นอย่างการโจมตีทางวิญญาณเลย เสียงของมันแทรกแซงเข้าไปในหัวของเขาจนรู้สึกเจ็บปวดเกินทานทน
ขอบพระคุณที่ติดตามผลงาน