เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 628
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 628 ระดับที่หายไป
เมื่อเว้นระยะห่างกระโจนตัวออกจากจุดเดิมนับสิบครั้ง เสียงที่เสียดแทงโสทประสาทจึงเบาบางลงบ้างแม้ไม่มากมายแต่ก็มิได้สาหัสเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในระยะประชิด
ควากะ
ผ่านไปหลายสิบวินาทีเสียงของแวมไพร์ปีศาจเริ่มเบาบางลง หลงเหลือไว้เพียงเสียงสะท้อนที่กระทบกับผนังถ้ําไปมาส่งไปยังส่วนลึกของถ้ํา
“เฮ้อ” หลินหยางพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้แม้เสียงมันจะหยุดไปแล้วแต่ในหัวของเขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เมื่อเสียงของมันหยุดเงียบไปจนสิ้นหลินหยางจึงขยับฝ่ามือทั้งสองข้างที่อุดหูของตนออกอย่างแผ่วเบา
“อีก” เมื่อเศษผ้าที่ถูกนําออกความเจ็บปวดก็ประดังเข้ามาจากหูทั้งสองข้าง บนเศษผ้าที่ถูกบีบอัดจนเป็นก้อนกลมทั้งสองลูกจากเดิมที่มีสีแดงซีดบางเบาบัดนี้กลายเป็นสีแดงสดพร้อมกับมีความเปียกชื้นห้อของเหลวเอาไว้ ของเหลวเหล่านั้นก็คือเลือดนั่นเอง นี่แสดงว่าภายในหูของเขาได้รับความเสียหาย?
หลินหยางมีสีหน้าบูดบึงแสดงความเจ็บปวดจากหูทั้งสองข้าง อาการบาดเจ็บภายนอกยังพอทนไหว แต่ความเจ็บปวดที่ส่งออกมาจากภายในนี้ช่างทรมานยิ่งนัก พร้อมกับความเสียหายตอนนี้เสียงรอบข้างที่ตนได้ยินกลับกลายเป็นอื้ออึงไม่ชัดเจน
การระเบิดเสียงร้องของแวมไพร์ปีศาจอาจเทียบเคียงได้กับการโจมตีด้วยทักษะราชสีคํารามที่เป็นการโจมตีทางวิญญาณในแง่ของผลกระทบนั้น หากหลินหยางยังอยู่จุดเดิมฟังเสียงดังกล่าวอย่างเต็มเปาคงไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีทางวิญญาณสักเท่าไหร่ ซึ่งก็นับว่าโชคดีหากมันเป็นการโจมตีด้วยพลังวิญญาณจริงคงมิใช่เพียงแค่การบาดเจ็บของหูทั้งสองข้างเป็นแน่
หลินหยางเช็ดคราบเลือดจากหูทั้งสองข้างจนแห้งพลางถอนหายใจ
เหตุการณ์การโจมตีค้างคาวตัวจิ๋วเมื่อครู่เป็นไปด้วยสัญชาตญาณดิบแทบจะทั้งหมด เมื่อครู่เพียงแค่เขาเห็นค้างคาวตัวจิ๋วตนที่แรกก็นิ่งค้างตั้งตัวไม่ถูกแล้ว สมองของเขาครุ่นคิดวนไปวนมาหลายตลบถึงสถานการณ์ต่อจากนี้ซึ่งในตอนนั้นอารมณ์ความรู้สึกมีแต่ความสิ้นหวัง แต่เมื่อเห็นตัวที่สองปรากฏ ความคิดทุกสิ่งอย่างหายวับเหลือแต่ความว่างเปล่าราวกับคนหมดสติ เขาคิดสิ่งใดไม่ออกเลยแม้แต่น้อยไม่มีเศษเสี้ยวแห่งความหวังอันริบหรี่ให้ใคว่คว้าไม่มีแม้สักแบบแผนวิธีการ
ค้างคาวตัวจิ๋วเพียงตัวเดียวชายหนุ่มยังคิดมตกแต่มันกลับมีถึงสอง มันหมดหนทางอย่างแท้จริง ขณะที่ความคิดหยุดการทํางานไปชั่วครู่ จู่ๆร่างกายของเขาก็ขยับไปเองโดยที่มิได้สั่งการ ขาเคลื่อนไหวก้าวไปข้างหน้าลดระยะห่างระหว่างตนและคู่ต่อสู้โดยอัตโนมัติ แม้กระทั่งหลินหยางยังแปลกใจมทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดตนจึงต้องเข้าไปหาคู่ต่อสู้
หากในยามปกติแล้ว หลินหยางย่อมไม่เป็นฝ่ายเข้าไปหาศัตรูก่อนอย่างแน่นอน เพราะมันมีความเสี่ยงและอันตรายอย่างยิ่ง แต่เมื่อขาทั้งสองข้างก้าวเข้าประชิดตัวศัตรูแล้ว จู่ๆสมองที่ว่างเปล่าก็ก่อเกิดความคิดที่ผิดแปลกจากตนยามปกติ ในเมื่อร่างกายถาโถมเข้าใกล้ถึงเพียงนี้และไม่มีทั้งแผนหลักและแผนรองสําหรับรับมือกับศัตรู หากจะถอยเอากลางทางก็คงจะเสียเปล่าแล้วไฉนมส่งเสริมบุกต่อไปเลยเล่า? การโจมตีโดยที่มิได้คาดคิดไตร่ตรองจึงบังเกิดขึ้นตามมานั่นเอง
เมื่อไม่เหลือเวลาให้วางแผน สมองไม่สามารถคิดแผนการรับมือได้ทันท่วงที ตกอยู่ในอันตรายและอับจนหนทางอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ผุดขึ้นมาในช่วงเวลานั้นก็คือสัญชาตญาณ สัญชาตญาณการแก้ปัญหาและการเอาตัวรอดที่ถูกขัดเกลาด้วยความเป็นและความตาย
ตั้งแต่ก้าวขาข้ามผ่านประตูสวรรค์และมาโผล่ในโลกใบใหม่ที่ตนไม่รู้จัก ได้เผชิญหน้ากับสภาพอากาศที่แปรปรวน สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน สัญชาตญาณของหลินหยางที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในส่วนลึกจึงถูกเปิดใช้งานอีกครั้งโดยที่เขาก็มิได้รู้ตัว ทว่ามิใช่เพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่ป ลุกสัญชาตญาณของตนขึ้นมา แต่เป็นมนุษย์ทุกผู้คนที่ก้าวข้ามประตูสวรรค์มาแทบทุกชีวิต
พวกมันจําต้องเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตในประจําวันปรับสภาพร่างกาย เพื่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพื่อเอาชีวิตรอดไปได้ในแต่ละวัน ต่างจากการใช้ชีวิตอย่างที่เคยกระทํา กิน นอน ทํางานวนเวียนซ้ําไปมาล้วนไม่มีภัยอันตรายใดต่อชีวิต แต่เมื่อมาเผชิญกับโลกใบใหม่ สัญชาตญาณดิบที่ถูกฝังเอาไว้ในตัวจึงถูกปลุกตื่นขึ้น
นั่นคือสําหรับมนุษย์
ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นเช่นมนุษย์หมาป่านั้น พวกมันล้วนลับคมสัญชาตญาณของตนมาตั้งแต่รู้ความหากเทียบกันแล้วสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของพวกมันล้วนเหนือกว่ามนุษย์อยู่มากนัก หากตอนนี้มิใช่หลินหยางแต่เป็นเจียวชิ้นมนุษย์หมาป่าหนุ่มมาเผชิญหน้ากับแวมไพร์ปีศาจแทนบางที มันอาจมีวิธีคิดแผนการรับมือสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้ดีกว่าหลินหยางก็เป็นได้
“ฮั่ว” หลินหยางพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ อารมณ์ของเขาตอนนี้จะว่าร้ายก็มิใช่ดีก็มีเชิง แม้จะมีค้างคาวตัวจิ๋วโผล่มาใหม่ถึงสองตัว แต่ทว่าหนึ่งในนั้นก็พึ่งตกตายลงไปใต้การโจมตีของเขา หากเมื่อครู่ตัวเขาไม่พุ่งเข้าไปโจมตี ปล่อยให้ควันดําก้อนนั้นหลอมรวมกลายเป็นค้างคาวตัวจิ๋วร่างสมบูรณ์ได้อีกตัวละก็…หลินหยางคิดหาทางออกจากสถานการณ์เช่นนี้มิได้เลยจริงๆ
ในเมื่อตอนนี้อยู่นอกสมรภูมห่างจากคู่ต่อสู้อยู่พอสมควร จากการคํานวนคร่าวๆคงราวสิบถึงยี่สิบเมตรเลยทีเดียว โดยที่หลินหยางก็ยังจดจํามิได้ว่าตนถอยออกมาห่างไกลมากแค่ไหน เพราะช่วงเวลานั้นเสียงของแวมไพร์ปีศาจมันดังเกินรับฟังทําให้เขาหนีห่างอย่างเพียงอย่างเดียวโดยมิได้คํานึงถึงระยะทาง
และเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่าบัดนี้จึงอยู่ในเขตปลอดภัยไร้อันตรายใกล้ตัว ชายหนุ่มจึงมีเวลาตรวจสอบบาดแผลของตนให้ถี่ถ้วนรอบคอบ
โชคดีที่บาดแผลใหญ่บริเวณช่วงเอวของตนไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวร่างกายมัน ยังคงมีเลือดซึมออกมาบ้างเล็กน้อยแต่ปากแผลส่วนใหญ่มิได้เปิดอ้าออกแม้ชายหนุ่มจะเคลื่อนไหวร่างกายโดยที่มิได้คํานึงถึงบาดแผลก็ตาม
ฉีด
หลินหยางฉีกชายเสื้อด้านขวาออกได้ขนาดกว้างและยาวราวหนึ่งคืบ ก่อนจะใช้มันซับเหงอบนใบหน้า ลําคอ และร่างกายจนสบายตัวขึ้นมาเล็กน้อยและใช้ผ้าผืนเดิมซับบาดแผลชําระล้างเลือดช่วงเอว ลําคอ และหูของตนจนสะอาด
“หึม…” ขณะที่กําลังทําความสะอาดร่างกายและบาดแผลอยู่นั้นจู่ๆหลินหยางก็ฉุกคิดถึงบางอย่างที่ตนได้หลงลืม
“ทําไมไม่ได้อีกแล้ว!!” หลินหยางอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความสับสน
ไม่ได้สิ่งใด? ความหมายที่แฝงในคํากล่าวสิ่งที่ไม่ได้ในที่นี้ก็คือระดับ!
ไม่มีทั้งเสียงหวานใสหรือเสียงแจ้งประจักษ์ว่าตนได้เข่นฆ่าค้างคาวตัวจิ๋วดังขึ้นเลยแม้แต่น้อยการโจมตีครั้งล่าสุดนี้หลินหยางยังจดจําได้แม่นยําเพราะมันพึ่งผ่านมาเพียงแค่นาทีเศษเท่านั้นจากการโจมตีดังกล่าวมีเป้าหมายอยู่สองเป้าหมายซึ่งทั้งสองก็คือค้างคาวตัวจิ๋วทั้งคู่
แม้การโจมตีแรกจะพลาดไปอย่างหวุดหวิดเพราะคู่ต่อสู้ได้หลบหลีกในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่คมดาบจะถึงตัวซึ่งนั่นก็มิได้ติดขัดในใจของหลินหยาง แต่สําหรับตัวที่สองนั้นรสสัมผัสที่มือของเขาได้รับยังคงตราตรึง ภาพที่ตาเขาเห็นยังแจ่มชัดไม่เลือนหาย มันถูกโจมตีเข้าเต็มเปาและตกตายลงอย่างแน่นอนไม่มีผิดพลาด
ซากของมันที่น่าขยะแขยงก็ยังติดตาเขาอยู่
หลินหยางพยายามนึกคิดว่าบางที่ตนอาจหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้มากเกินไปจึงมิได้ยินเสียงปริศนาที่แจ้งเตือนยามเข่นฆ่าเหล่าสัตว์ประหลาด ทว่าแม้จะคิดเข้าข้างตนเองเช่นนั้นแต่ชายหนุ่มก็รู้แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงนั้นมันมิใช่เสียงที่พูดออกมาจากปากและใช้หูรับฟังแต่มันดัง ขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัด
และเสียงปริศนาอันรื่นหูนี้หลินหยางได้ยินมานับพันครั้งในทุกคราที่เขาคร่าชีวิตสัตว์ประหลาดตนใดไปมักมีเสียงดังกล่าวนับจํานวนแจ้งให้ทราบอยู่ทุกครา แม้แต่สัตว์ระดับต่ําดังเช่นมดไฟและค้างคาวปีกเหล็กที่ตนได้ปลิดชีวิตมันไปกว่าหลายร้อยตัว ซึ่งเสียงหวานใสนั้นจะเป็นตัวนับจํานวนให้แก่ผู้ฆ่าโดยอัตโนมัติและไม่สามารถปฏิเสธการรับฟังได้ แม้จะหูหนวกก็ยังได้ยินนั่นเอง
มันมิใช่เพียงแค่เสียงหวานที่หลินหยางอยากได้ยิน แต่มันเป็นผลพวงที่ตามมาจากการคร่าชีวิตศัตรูนั่นคือระดับ