เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 635
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 635 หวุดหวิด
ขณะที่หลินหยางกําลังครุ่นคิดวิเคาะห์อยู่นั้น ค้างคาวตัวจิ๋วที่เตรียมตัวเสร็จสรรพเมื่อถูกสายตาของแวมไพร์ปีศาจจ้องมอง มันกระพือปีกกี่มากขึ้นคล้ายกําลังจะออกตัวเร่งความเร็ว
เสียงตีปีกของมันมิได้เบาเลย หลินหยางปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งดึงความสนใจกลับมาเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งสอง อย่างไรในเมื่อดวงตาของตนยังใช้งานได้ตามปกติก็ยังมิน่าเป็นห่วงมากนัก
ตอนนี้ท่วงท่าของเขายังอยู่ในรูปแบบเดิมคือแผ่นหลังแนบกับผนังถ้ํา ร่างกายซีกขวาหันไปทางค้างคาวตัวจิ๋ว ส่วนซีกซ้ายเผชิญกับก้อนเนื้อแวมไพร์
แวมไพร์ปีศาจที่อยู่นอกสังเวียนการต่อสู้ตอนนี้ดูเหมือนร่างกายของมันจะค่อยฟื้นคืนสภาพขึ้นอย่างรวดเร็ว เทียบกับก่อนหน้านี้ร่างกายของมันย่ําแย่ยิ่งนักเปรียบดั่งไม้ใกล้ฝั่งหอบหายใจร่างกายกระเพื่อมอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ตอนนี้อาการเหล่านั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด แทบไม่เหลือเค้าโครงแห่งความเจ็บปวดทรมานอ่อนล้าที่มันแสดงออกเลย
การฟื้นคืนกําลังของมันเมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วห่างชั้นกันอย่างแท้จริง หลินหยางแม้จะมีเวลาพักจากการต่อสู้เป็นช่วงเล็กน้อยแต่สภาพร่างกายของชายหนุ่มก็มิได้แตกต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ กลับกันแวมไพร์ปีศาจใช้เวลาเพียงสองถึงสามนาทีเท่านั้นถึงสภาพจิตใจของตนจากเหวลึกขึ้นมาจนอยู่ในสภาพปกติ
โชคดีที่บาดแผลบนร่างของมันมิได้ฟื้นฟูสภาพด้วยความรวดเร็วอย่างร่างกาย มีเพียงบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่เกิดจากการปะทะในตอนที่มันยังอยู่ในร่างจําแลงมนุษย์ที่หายไป ส่วนบาดแผลใหญ่ทั้งสามจุดยังสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ความกว้างความยาวและความลึกของบาดแผลทั้งสามยังใกล้เคียงกับภาพในความทรงจําของหลินหยาง
จะมีก็แต่เลือดที่เคยไหลอาบออกมาเป็นน้ําพุของมันตอนนี้บรรเทาแล้ว และสีหน้าของมันบัดนี้กระตือรือร้นอย่างยิ่ง
หลินหยางปรายตาสํารวจแวมไพร์ปีศาจครานึงก่อนที่จะเคลื่อนไหวร่างกายเปลี่ยนอิริยาบถหมุนกายไปทางค้างคาวตัวจิ๋วโดยมีแวมไพร์ปีศาจอยู่ทางด้านหลัง
เมื่อแวมไพร์ปีศาจเห็นเช่นนั้นมันยิ่งคึกคักกว่าเดิมนับสองเท่าที่เห็นมนุษย์หนุ่มโง่งมยังหลงกล ไม่ทราบถึงความสามารถแน่ชัดของตัวมันเอง และเพื่อมิให้ชายหนุ่มเกิดความระแคะระคาย มันใช้ดวงตาจ้องมองค้างคาวตัวจิ๋วสั่งการเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์หนุ่ม
ค้างคาวตัวจิ๋วที่เตรียมตัวพร้อมออกโรงอยู่ทุกเมื่อ เมื่อได้รับคําสั่งมันกระพือปีกรุนแรงส่งกระแสลมดันร่างของตนไปข้างหน้าราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศร ก่อนที่จะหุบปีกของตนเพื่อลดแรงต้านทานในอากาศ
เมื่อถึงระยะหนึ่งเมตรมันสยายกางปีกอีกครั้งพร้อมกับมีอากาศเสริมส่งความเร็วของร่างกาย แรงดันผลักส่งให้ค้างคาวตัวจิ๋วพุ่งเร็วขึ้นเกือบเท่าตัวและเฉกเช่นเดิม เมื่อได้ความเร็วที่ต้องการเป็นที่เรียบร้อยมันเก็บปีกแนบลําตัวอีกครั้งพร้อมกับเอียงตัวซ้ายขวาเล็กน้อยเพื่อบังคับทิศทาง ดูจากท่าทีของมันดูเหมือนมันพร้อมจะโจมตีใส่เป้าหมายแล้ว ความเร็วของมันบัดนี้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าความเร็วการยิงธนูของเหล่าเอลฟ์เสียอีก
“หึ” หลินหยางส่งเสียงในลําคอพร้อมกับรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ที่ประดับบนใบหน้า
ร่างกายส่วนบนหมุนเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วร่างกายส่วนล่างตามมาติดๆ ชายหนุ่มกลับหลังหันฉับพลันเผชิญหน้ากับแวมไพร์ปีศาจ ที่ยังคงใช้สายตาควบคุมบังคับค้างคาวตัวจิ๋วอยู่
เมื่อมันเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับท่วงท่าของมนุษย์หนุ่ม จุดสนใจของมันถูกดึงกลับโดยอัตโนมัติ ค้างคาวตัวจิ๋วที่ไร้การควบคุมจึงหยุดชะงักกลางอากาศ
หลินหยางออกตัวพุ่งเข้าหาแวมไพร์ปีศาจด้วยความรวดเร็ว ภาพร่างของเขาเลือนรางราวกับภูติพรายใช้เวลาเพียงครึ่งวินาทีก็ร่นระยะจากหนึ่งมาอยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้
แวมไพร์ปีศาจดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ มันยังมิทันได้ตั้งตัวใดๆ อันเนื่องมาจากความเคยชินและความประมาทที่ตนมิคิดว่ามนุษย์ตัวน้อยจะเปลี่ยนเป้าหมายเข้าหาตนเองเช่นนี้
แต่ผลลัพธ์อย่างใดก็ถูกกําหนดไว้แล้วตั้งแต่ต้นไม่ว่ามันจะรู้ตัวหรือไม่ ด้วยความเร็วการเคลื่อนที่สูงสุดของหลินหยางย่อมสามารถประชิดตัวมันได้ในเสี้ยววิ
แม้จะประชิดร่างของศัตรูแล้วก็ตามแต่ฝีเท้าของเขาก็ยังมิได้หยุด พร้อมกันนั้นดาบสั้นเพียงครึ่งเล่มในมือขวาถูกเปลี่ยนวิธีการจับโดยส่วนแหลมของดาบชื้ลงพื้นพลางชูขึ้นเหนือศรีษะ และมือซ้ายก็รับหน้าที่คอยประคองสร้างสมดุลด้วยการโอบรอบมือขวาจับปลายด้าม ตอนนี้เขาใช้ทั้งสองมือจับดาบเอาไว้ การโจมตีจากมือทั้งสองนี้แน่นอนพลังโจมตีย่อมเพิ่มทวีคูณ!
ครืน
ด้วยความแตกตื่นแวมไพร์ปีศาจกระเถิบตัวถอยอย่างร้อนลนพลางสั่นไหวร่างกายหมายจะให้มนุษย์ตรงหน้าเสียการทรงตัว แต่ทว่าขนาดร่างกายที่ลดลงของมันทําให้แรงสั่นสะเทือนที่เคยสร้างได้หายไปตามขนาดตัวนั่นเอง
หลินหยางใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้ายเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอด ชายหนุ่มแทงดาบสั้นจากมุมสูงด้วยความรุนแรงสูงสุดใส่ศัตรูทันที การโจมตีในครั้งนี้มิได้ใช้งานทักษะใดๆร่วมด้วย เป็นการโจมตีทางกายภาพแบบปกติ
กระนั้นถึงขนาดตัวแวมไพร์ปีศาจจะมีขนาดเล็กลงแต่สิ่งของเหลวที่ห่อหุ้มร่างกายของมันเพื่อปกป้องการโจมตีที่ยังมีอยู่ แม้การโจมตีหลินหยางจะรุนแรงแค่ไหนก็คงทําได้เพียงแค่ปักดาบเล่มนี้ใส่ร่างของมันก็เพียงเท่านั้น ทว่าเป้าหมายที่แท้จริงของชายหนุ่มหาใช่ผิวหนังไม่ มิใช่ทั้งบาดแผลเดิม แต่เป็นดวงตาของมันต่างหาก!!
แวมไพร์ปีศาจร้องเสียงแหลม เมื่อเห็นปลายแหลมของดาบมีเป้าหมายเป็นดวงตาของมัน ซึ่งเป็นส่วนที่สําคัญที่สุดสําหรับการต่อสู้
ดวงใจของมันกระวนกระวายอย่างยิ่งสติปัญญาที่มีเล็กน้อยของมันยิ่งแล้วใหญ่มิสามารถคิดหาทางออกจากสถานการณ์ตรงหน้าได้เลย อย่าว่าแต่มันเลยแม้แต่มนุษย์เมื่อถูกโจมตีในระยะกระชั้นชิดโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้แม้แต่ผู้มีสติปัญญาสูงส่งก็สามารถพลาดท่าได้โดยง่าย นับประสาอะไรกับแวมไพร์ปีศาจที่มีสติปัญญาค่อนไปทางสัตว์เดรัจฉานมากกว่าคน
ภาพของดาบสั้นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเข้าใกล้ดวงตาของตนจนห่างมถึงคืบ ร่างกายของมันพยายามกระเถิบถอยไปด้านหลังเบี่ยงกายหมายกลับหลังหันหน้ามิให้ดวงตาของตนได้รับบาดเจ็บ
ทว่ามันช้าไปเสียแล้ว ร่างกายของมันเบียงได้แค่มุมเฉียงคมดาบก็จวนเจียนถึงเป้าหมายมีถึงคืบ เมื่อถึงจุดนี้แวมไพร์ปีศาจได้แต่ร้องเสียงแหลมส่งเสียงแสบแก้วหูหมายจะให้ชายหนุ่มหนีไปให้ห่างไกลแต่ก็มิเป็นผล ตอนนี้มันก็จึงทําได้เพียงแต่รอรับชะตากรรมที่กําลังจะมาถึง
เปลืองตาของมันลดลงมาปิดบังดวงตาตามสัญชาติญาณ แต่อย่างไรก็ตามเปลือกตาแผ่นบางที่มิสามารถเทียบได้กับผิวหนังที่มีของเหลวห่อหุ้มของมันไหนเลยจะสามารถต้านทานแรงเจาะทะลวงจากการแทงของหลินหยางได้
เคร๊ง
ทว่า…คมดาบของหลินหยางกลับถูกสกัดกั้นด้วยบางอย่างที่มีมวลแข็งไม่ด้อยไปกว่าตัวดาบ มันคือปักสีดําทมิฬที่ถูกยกมาป้องกันการโจมตี!
“ฮีม” ชายหนุ่มส่งเสียงในลําคอเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ชายหนุ่มเกือบจะหลงลืมไปแล้วว่าการป้องกันอันแข็งแกร่งที่ศัตรูมีอย่างปีกเหล็กที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันยังคงมีประดับไว้อยู่บนแผ่นหลังก้อนเนื้อแวมไพร์ตนนี้
แวมไพร์ปีศาจค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้าพลางกระพริบดวงตาปริบๆก่อนที่จะพบว่าดวงตาของตนยังใช้งานได้ตามปกติสุขไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
มิใช่หลินหยางที่แปลกใจเพียงคนเดียว แม้กระทั่งแวมไพร์ปีศาจก็ยังสับสนเช่นกันว่ามันสามารถรอดพ้นมาจากการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างไร
แครก
และแล้วมันก็พบเข้ากับอาวุธของคู่ต่อสู้ที่กําลังเสียดสีอยู่กับปักเหล็กดําทมิฬของตน ตอนนี้ความแคลงใจของมันไขกระจ่างแล้ว เป็นเพราะปีกเหล็กที่ติดอยู่ด้านหลังของมันนี่เองที่สามารถหยุดการโจมตีของคู่ต่อสู้เอาไว้ได้อย่างชะงักเลยทีเดียว
การป้องกันด้วยปีกเหล็กนี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญโดยที่มิใช่เจตจํานงของเจ้าตัว อันเนื่องมาจากปีกเหล็กที่ติดอยู่ด้านหลังของมันนั้นแม้จะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารแต่ทว่ามันมิสามารถใช้งานได้ มันมิสามารถสยายกางปีกเพื่อโบยบินในอากาศได้อย่างลูกสมุนทั้งมวลของตนเป็นเพราะขนาดร่างกายที่ใหญ่เกินไปของมันนั่นเอง