เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 659
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 659 สองผู้บาดเจ็บ
หรงเถียนเหยายกแขนทั้งสองข้างกางฝ่ามือของตนไว้บริเวณกลางลําตัวของชายร่างสมส่วนที่เห็นสมควรต้องรักษาก่อนเป็นรายแรก
วูบ
มีแสงสว่างสีเขียวอ่อนชวนผ่อนคลายจิตใจค่อยสว่างขึ้นทีละน้อยบนฝ่ามือทั้งสองข้างของเธอมันคือทักษะเพียงหนึ่งเดียวที่เธอถือครอง ทักษะแห่งการรักษาอาการบาดเจ็บ
” หยุดมือ!” ทันใดนั้นเองมีเสียงห้ามปรามมาแต่ไกลก่อนที่ตัวผู้พูดจะเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาหาเธอ
“มีอะไรคะ…ลุงเรียน” หรงเถียนเหยาชะงักค้างเลิกล้มการใช้ทักษะกลางคันหลังถูกสะกัดด้วยวาจาเธอกล่าวถามด้วยความสงสัย คนที่เข้ามาหยุดไว้คือเทียนหนิงเจี้ยนนั่นเอง
เทียนหนิงเจี้ยนยืนมองร่างผู้ได้รับบาดเจ็บพลางใช้มือลูบไล้คางของตนคล้ายกําลังครุ่นคิดมองอย่างไรชายผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองก็อาการหนักยิ่ง เรียกได้ว่าพวกมันได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งไปยัง ทางยมโลกตายไปกว่าครึ่งตัวแล้วนั่นเอง
“อย่าเปลืองแรงเลย” เทียนหนิงเจี้ยนกล่าวพลางส่ายหน้า แม้มันไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์แต่ด้วยเลือดกองโตของพวกมันทั้งสองที่เอ่อนองผสมปนเปกันอยู่นี้หานํามารวมกันคงได้หลายลิตรเลยทีเดียว โชคดีแค่ไหนที่มันยังไม่ตกตายจากการเสียเลือดและยังหายใจอยู่
“นั่นสิ ดูยังไงพวกมันทั้งสองคนก็คงไม่รอด” เสียงชายคนนึ่งผสมโรง มันคือหนึ่งในทีมจู่โจมมนุษย์หมาป่า
“ใช่แล้วคุณหมอ อีกไม่นานพวกมันทั้งคู่ก็คงตายกันแล้วล่ะ ปล่อยให้พวกมันไปอย่างสงบเถอะ
” ข้าก็ว่างั้น” เหล่าชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ช่วยขนย้ายช่วยมันออกมาจากกองภูเขาก้อนหินเองก็ยังมีความเห็นไปทางเดียวกัน
จากความเห็นที่ยกขึ้นมากล่าวเหล่านี้มิใช่เพราะพวกมันแร้งน้ําใจมอยากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแต่เป็นเพราะทักษะและเรี่ยวแรงของทีมแพทย์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของพวกมันนั้นล้ําค่าเกินกว่าจะมาเสียให้แก่คนแปลกหน้า ตอนนี้เองพลเมืองผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้เป็นหัวหอกในกองกําลังของมันเองก็ได้รับบาดเจ็บซึ่งยังสมควรได้รับการรักษาจากทักษะแห่งการรักษาแสนพิศวงนี้อยู่นั่นคือเจียวชิ้นนี่นอนนิ่งเป็นผักอยู่ในที่พักชั่วคราว
ในสายตาพวกมัน ชีวิตของผู้บาดเจ็บทั้งสองรายที่นอนจมกองเลือดยังไม่อาจเทียบเท่าความสําคัญกับชีวิตเดียวของเจียวชิ้นมนุษย์หมาป่าหนุ่ม
หรงเถียนเหยาก็พอจะดูจุดประสงค์ของพวกมันออก
” หนูรู้ตัวว่ากําลังทําอะไรอยู่ พี่เจียวชิ้นเองตอนนี้ก็พ้นขีดอันตรายแล้ว” เธอกล่าว ส่วนตัวเธอนั้นแม้จะยังร่ําเรียนมิจบแพทย์อย่างที่ตั้งใจ แต่จิตวิญญาณของเธอก็ได้รับอิทธิพลของศาสตร์ที่เรียนรู้มาไม่น้อยเช่นกัน เพราะงั้นเธอย่อมไม่อาจปล่อยให้ผู้บาดเจ็บที่รอการช่วยเหลือตกตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างแน่นอน
ส่วนที่เทียนหนิงเจี้ยนและเหล่าชายฉกรรจ์เป็นกังวลก็มิได้น่าเป็นห่วงนัก เพราะเธอเองก็พึ่งผ่านสถานการณ์การใช้งานทักษะเกินกําลังมาแล้วหยกๆซึ่งเป็นบทเรียนที่พึ่งได้รับมาหมาดๆไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนี้เองฉะนั้นเธอย่อมไม่ปล่อยให้ผลกระทบเดิมกลับมาเล่นงานตนเองซ้ําสองอย่าง แน่นอน
วูบ
ฝามือเธอมีแสงสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแสงสีเขียวอ่อนส่องลงบนร่างของชายผู้เคาะห์ร้ายบาดแผลบนร่างของมันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรอยขีดข่วนเล็กน้อยหรือใหญ่เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองร่างกายสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อเชื่อมต่อส่วนฉีกขาดที่ถูกทําร้ายด้วยของมีคมค่อยๆสมานเข้าหากนด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
การทํางานของทักษะแห่งการรักษาของเธอคล้ายกับเร่งการทํางานของร่างกายให้สมานเข้าหากันโดยร่นระยะเวลาลงมากกว่าหลายสิบเท่าหรือร้อยเท่าอย่างน่าอัศจรรย์ บาดแผลเล็กๆสามารถบรรจบกันจนกลายเป็นเนื้อเดียวไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่รอยแผลเป็นราวกับย้อนเวลาไปก่อนหน้าที่มันจะได้รับบาดเจ็บ
ส่วนบาดแผลใหญ่บางจุดยังมิสามารถสมานเข้าหากันจนหมดจด มันเพียงสามารถลดความยาวและความกว้างของบาดแผล
แต่ประเด็นหลักที่ทําให้หรงเถียนเหยาตัดสินใจใช้งานทักษะที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว ของตนในครั้งนี้หาใช่เพราะอาการบาดเจ็บจากภายนอกไม่ จุดประสงค์หลักของเธอก็เพื่อมิให้ชายผู้เคาะห์ร้ายรายนี้เสียเลือดมากไปกว่านี้นั่นเอง ซึ่งบาดแผลภายนอกของมันนั้นสามารถรักษาได้ด้วยวิธีทางการแพทย์โดยการเย็บหรือปล่อยให้บาดแผลสมานกันเองตามธรรมชาติได้อย่างไม่ยากเย็น
หลังจากรักษาชายรายแรกเสร็จสิ้น ลมหายใจของเธอรุนแรงหนักหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นการหายใจเข้าและออกล้วนส่งเสียงให้คนรอบข้างได้ยินถนัดหูซึ่งบ่งบอกว่าร่างกายของเธอนั้นรับภาระหนักมากเพียงใดในการใช้งานทักษะอันแสนวิเศษ
เธอมปล่อยให้เวลาล่วงเลยผายมือไปยังผู้บาดเจ็บอีกรายที่นอนอยู่ใกล้เคียงใช้งานทักษะรักษามันอีกคนจนเลือดที่ไหลทะลักบาดแผลที่เปิดอ้าค่อยๆลดลงจนอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยต่อไปก็เหลือ เพียงแต่บาดแผลภายนอกที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้นซึ่งก็เป็นหน้าที่ของเธอเช่นกันที่จะใช้วิชาทางการแพทย์ที่ร่ําเรียนมาในการปฐมพยาบาลรักษาชีวิตของพวกมัน ส่วนบาดแผลภายในจากอวัย วะสําคัญทั้งหลายนั้นคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยให้เธอได้ฟื้นคืนกําลังมากกว่านี้เพื่อที่ จะใช้ทักษะในการรักษา
เธอซบใบหน้าของตนเข้ากับหัวไหล่เพื่อซับเหงื่อขจัดสิ่งสกปรกก่อนที่จะหันมาหาชายผู้เคาะห์ร้ายที่มีด้ามดาบปักคาหน้าท้อง
“เอ่อ…” หรงเถียนเหยาเปิดปากพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือมองรอบข้างก่อนจะสบตากับเทียนหนิงเจี้ยนที่ยืนดูการรักษาอยู่
“มีอะไร” เทียนหนิงเจี้ยนที่ยืนดูการรักษาของหรงเถียนเหยาตั้งแต่ตนจนจบชมภาพ อันอัศจรรย์ใจจากทักษะราวกับหัตถ์ของพระเจ้าดึงชีวิตของชายทั้งสองจากหุบเหวแห่งความตายขึ้นมาด้วยเงื้อมมือน้อยๆของหญิงสาวร่างกายบอบบาง กล่าวด้วยความสงสัย
“ช-ช่วยดึงออกมาให้หน่อยได้ไหมคะ”
“ดึงอะไร?” เทียนหนิงเจี้ยนย้อนถามและกระจ่างชัดในที่สุดเมื่อหรงเถียนเหยาชี้ไปยังด้ามดาบที่ปักคาหน้าท้องของผู้บาดเจ็บ
“อะแฮ่ม หลิวเจียจัดการซิ” เทียนหนิงเจี้ยนกระแอมครานึ่งก่อนจะหันกายมอบหมายหน้าที่ต่อให้แก่หลิวเจียหัวหน้าทีมก่อสร้างที่ยืนอยู่เคียงข้าง
“อ-เอ่อ” หลิวเจียเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาก่อนสายตาจะบรรจบกับชายฉกรรจ์รายหนึ่งจากทีมระยะใกล้ที่เป็นผู้ลากชายเจ็บทั้งสองออกมาจากกองหิน
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” หลิวเจียมิต้องกล่าวคําพูดก็เป็นอันเข้าใจความหมาย ชายฉกรรจ์รายนั้นรับมอบหน้าที่ด้วยตนเอง มันคุกเข่าลงข้างกายผู้เคาะห์ร้ายกุมสองมือไว้บนด้ามดาบ
“ดึงเลยใช่ไหม?” ก่อนที่จะดึงออกมาลังเลเล็กน้อยก่อนจะหันมาถามหรงเถียนเหยาเพื่อให้แน่ใจ
“คะ” หรงเถียนเหยากล่าวด้วยความหนักแน่น หากเป็นปกติแล้วดาบที่ปักคาไว้อยู่เช่นนี้ก็คงมิสมควรดึงออกหากมิมีความพร้อมในการรักษาเพราะตัวดาบเองก็นับว่าเป็นการปิดกั้นห้ามเลือดในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันไม่จําเป็นแล้วเพราะหรงเถียนเหยาได้ใช้ทักษะของเธอในการสมานแผลไปแล้วส่วนหนึ่งรวมถึงหน้าท้องของมันที่มีดาบเสียบอยู่ก็เป็นบาดแผลใหญ่สุด ตรงจุดนี้จึงเป็นตําแหน่งเพ่งเร่งเป็นที่เธอทําทําการรักษาโดยใช้ตําแหน่งดังกล่าวเป็นศูนย์กลาง ส่วนบาดแผลรอยขีดข่วนยิบย่อยที่สมานเข้าหากันด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อทําให้ผู้มุงดูตะลึงลานกับความพิศดาลของทักษะมิใช่จุดที่หญิงสาวเจาะจงแต่เป็นอานิสงส์ประปรายที่กระจายตัวออกมาจากทัก ษะของเธอฉะนั้นบาดแผลตรงจุดนี้ย่อมได้รับการรักษามากกว่าที่อื่นๆ
อ๊ากกก
ทันทีที่มันออกแรงดึงก็เป็นการปลุกผู้บาดเจ็บตื่นขึ้นมารับรู้ความเจ็บปวด แต่เดิมมันสิ้นสติไปด้วยอ่อนล้าของร่างกายและพิษบาดแผลซึ่งก็นับว่าเป็นสุขเป็นเรื่องดีสําหรับมันแล้วที่มิต้องทนทุกข์รับความทรมาน แต่ตอนนี้ดวงตาของมันเบิกโพลงแทบถลนผงกหัวขึ้นมาดูต้นตอของความเจ็บปวดนิ้วมือทั้งสองข้างจิกลึกลงบนผืนดินดิ้นรนร้องคร่ําครวญอย่างทรมาน
“อือออ” ชายร่างท้วมที่นอนกําลังนอนอยู่กับมันเองก็ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันแสนหวานมันสลึมสลือตาปรือและพบกับต้นเหตุของเสียงดังที่ขัดความสุขของมันในที่สุด