เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 664
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 664 บุคคลสูญหาย
หลี่จิ้งเล่าทุกอย่างที่มันจําได้ให้แก่เหล่าผู้มีพระคุณฟังไม่มีตกหล่น
” ห้ะ? เจ้าหนุ่มนั่นงั้นหรือ?” เหล่าชายฉกรรจ์จากกลุ่มผู้รอดชีวิตเองก็ทราบถึงตัวตนชายปริศนาแล้ว
จากลักษณะที่หลี่จิ้งเล่ามาก็สามารถยืนยันได้ว่าที่หลิวไห่และพรรคพวกของมันได้สนทนาตอบโต้ด้วยนั้นมิใช่เพียงคนที่มีน้ําเสียงคล้ายกัน แต่เป็นหลินหยางตัวจริงอย่างแน่นอน
เทียนหนิงเจี้ยนอมยิ้มมุมปาก มันอดชื่นชมหลินหยางมิได้ที่แก้สถานการณ์กับกลุ่มผู้รอดชีวิต ที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือให้ต่อกรกับศัตรูโดยการนําซากกระดูกมาใช้ทดแทน เดิมทีมันก็คิดอยากหาตัวผู้คิดวิธีการพิศดารเช่นนี้มาเข้าร่วมเมืองของตนอยู่เช่นกัน แต่ตอนนี้มันทราบแล้วว่าต้นตอความคิดดังกล่าวมาจากหลินหยางนั่นเอง ทว่า…น่าเสียดายยิ่งหากมันได้ล่วงรู้อุปสรรคที่เผชิญ ภายในถ้ํามิได้ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะอาวุธกระดูกที่ผลิตมานั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากขยะไร้ค่า มันแทบไม่มีบทบาทอันใด..
แต่เดี๋ยวก่อน? เรื่องเล่าในตอนใกล้ถึงจุดจบนั้นมีบางจุดตะขิดตะขวางใจของเทียนหนิงเจี้ยนอยู่ ในการกลับมาพบกันอีกครั้งของหลี่จิ้งและหลินหยางหลังจากชายหนุ่มปักหลักอยู่เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดแวมไพร์เป็นรายสุดท้าย ในตอนนั้นร่างกายของชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บหนักหนาสาหัสเอาการเลยทีเดียว จากคําบอกเล่ามีบาดแผลอยู่บนร่างชายหนุ่มอย่างน้อยก็สามจุดด้วยกัน นั่นแสดงว่าชายหนุ่มต้องเผชิญหน้ากับเจ้าปีศาจตนนั้นและเมื่อรวมเรื่องดังกล่าวเข้ากับการล่มสลายของถ้ําก็พอจะคาดเดาได้ว่าหลินหยางอาจเป็นผู้พิชิตชัยต่อผู้นําของถ้ําค้างคาวและเป็นผู้ปิดฉากถ้ําแห่งนี้ด้วยตัวคนเดียว
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นหลินหยางที่เคยผ่านสถานการณ์เช่นเดียวกันมาก่อนเหตุใดจึงพลาดท่าได้? ตัวชายหนุ่มเป็นผู้นํากวาดล้างถ้ําสัตว์ประหลาดมาแล้วถึงสองครั้งย่อมล่วงรู้ถึงเหตุที่จะตามมาหลังจากสิ้นชีพของผู้นําแห่งถ้ํานั้นๆ แม้ชายหนุ่มจะได้รับบาดเจ็บ แต่จากคําบอกเล่าของหลี่จิ้ง หลินหยางยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระไม่ติดขัด ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่จะตกเป็นเหยื่อของการทรุดตัวถ้ําหินก็แทบจะเป็นศูนย์
เทียนหนิงเจี้ยนใช้มือลูบไล้คางของตนพลางครุ่นคิด ก่อนที่สายตาของมันจะกวาดผ่านชายผู้บาดเจ็บสาหัสหนักที่สุดในหมู่ผู้รอดชีวิตทั้งสองรายที่นอนเป็นผักอยู่หน้าที่พักชั่วคราว
ดาบหัก? เกิดการเข้าใจผิดระหว่างหลินหยางและชายอ้วนผอมสองคน? หลี่จิ้งเล่าทุกอย่างที่มันพอจะจําได้ แม้กระทั่งอาวุธคู่กายที่ชํารุดของชายหนุ่ม รวมถึงเหตุการณ์วุ่นวายปะทะคารมณ์ของชายหนุ่มที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแวมไพร์ปีศาจปลอมแปลงกายมา
“ชายสองคนที่มีข้อบาดหมางกับหลินหยางใช่สองคนนั้นไหม?” เทียนหนิงเจี้ยนกล่าวถาม
หลี่จิ้งลังเลเล็กน้อยเนื่องจากมันจดจําใบหน้าของชายทั้งสองได้อย่างไม่ชัดเจนมากนัก เพราะภายในถ้ําเองความมืดก็เป็นอุปสรรคสําคัญที่บดบังการมองเห็น ทั้งมันเองก็มิได้สนิทชิดเชื้อกับชายทั้งสองสักเท่าไหร่ รวมถึงขณะที่เกิดเหตุความวุ่นวายมันมิได้อยู่ในจุดที่จะมองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน มันค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นเดินต้วมเตี้ยมไปยังจุดที่ชายทั้งสองนอนสลบก่อนจะพินิจพยายามนึกภาพในหัวของตน
“ใช่แล้ว พวกมันนี่แหละ” ทันใดนั้นเองมีเสียงสตรีนางหนึ่งกล่าวแทรกระหว่างการสนทนา สตรีนางนี้แทรกตัวออกมาจากกลุ่มผู้รอดชีวิตเผยโฉมประจักษ์ต่อสายตานับร้อยดึงดูดความสนใจของผู้คน หลี่จิ้งจดจําสตรีนางนี้ได้อย่างแม่นยํา เธอคือหญิงวัยกลางคนผู้มากเล่ห์เพทุบายคอยยุยงริมผู้อื่นจากแนวหลังในช่วงที่อยู่บริเวณส่วนลึกของถ้ํานั่นเอง
“ปเป็นพวกมันทั้งสองคนค่ะ” เมื่อสบสายตากับเทียนหนิงเจี้ยนเธอเปลี่ยนน้ําเสียงโดยฉับพลันเป็นอ่อนหวานละมุนละไม พวงแก้มซ้ายขวาแดงระเรื่อ ราวกับเธอกําลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรักพบเจอบุรุษในฝัน
“อย่างงั้นหรอกหรือ…” เทียนหนิงเจี้ยนกล่าวบางเบา แม้จะไม่ได้รับการยืนยันจากพวกมันทั้งสองเทียนหนิงเจี้ยนก็พอจะคาดเดาได้อยู่บางส่วน เนื่องจากบาดแผลบนร่างของผู้บาดเจ็บทั้งสองเองก็บ่งบอกถึงตัวผู้กระทําอยู่แล้วว่ามันมาจากมนุษย์ แถมตัวอาวุธที่ปักคาหน้าท้องของมันก่อนหน้านี้ ก็เป็นดาบสั้นที่ชํารุดหักไปมากกว่าครึ่งตามคําบอกเล่าของหลี่จิ้ง
ตอนนี้เหล่าชายฉกรรจ์จากทีมระยะใกล้ ทีมก่อสร้างและทีมจู่โจมบางส่วนล้วนมายืนมุงดูชายผู้บาดเจ็บทั้งสองด้วยความสนใจ
พริบ
ขณะนั้นเองที่พักชั่วคราวที่คลุมด้วยผ้าผืนยาวถูกแหวกเปิดออกพร้อมกับเจียวฮั่นแทรกตัวออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อย ที่ภายนอกเกิดเสียงดังเอะอะโวยวายรบกวนพี่ชายสุดรักเจียวซิ่นที่ต้องการการพักผ่อน มันแปลกใจเล็กน้อยเมื่อพบเจอกับฝูงชนแออัดกระจุกอยู่ตรงหน้าที่พัก
“หือ? พวกมันดูคุ้นๆ…นี่มันเจ้าพวกทหารบ้าพวกนั้นนี่!” เจียวสั่นกล่าวเมื่อพบใบหน้าที่คล้ายคลึงว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนและมันก็นึกออกในบัดดล
“อ๋อ เป็นพวกมันนี่เอง ข้าก็คิดอยู่ว่าเคยเห็นพวกมันที่ไหนมาก่อน” มนุษย์หมาป่าจากทีมจู่โจมบางคนเริ่มผสมโรงด้วย เนื่องจากการเผชิญหน้ากับเมืองทหารที่ลอบโจมตียามค่ําคืนในครานั้น หลินหยางได้มอบหมายหน้าที่ให้แก่เหล่ามนุษย์หมาป่าเป็นผู้รับมือกับพวกมัน
ข้อพิพาทเก่างั้นหรือที่เป็นเหตุก่อให้เกิดการวิวาทระหว่างพวกมันและหลินหยาง? ไม่ น้ําหนักมันน้อยไปหน่อย หากจะนําเรื่องเกือบปีมาเป็นเหตุจูงใจ หลายจุดยังน่าสงสัย หลายแห่งยังครุมเครือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในถ้ําคงไม่มีใครทราบดีไปกว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสาม ทว่าน่าเสียดายที่พยานปากเอกสองในสามยังมิได้ฟื้นฟูสติสัมปชัญญะและดูเหมือนเหล่าบริวารที่มีความอดทนสูงนั้นจะมีเพียงน้อยนิด ทีมระยะใกล้บางคนเริ่มร้อนเนื้อร้อนใจอยากเค้นข้อมูลจากผู้บาดเจ็บทั้งสองจนแทบคลั่ง
“อืมห์” เทียนหนิงเจี้ยนปลีกตัวแยกออกมาจากกลุ่มมันเดินเชื่องช้าห่างออกจากฝูงชนเรื่อยๆ เพื่อตัดเสียงรบกวนที่คอยทําลายสมาธิ ตอนนี้มันแทบไม่ได้รับข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์บ่งบอกถึงที่อยู่ของหลินหยางปัจจุบันเลย ชายหนุ่มหายเข้ากลีบเมฆอยู่หนแห่งใดมิทราบแน่
บางทีคําให้การของชายอ้วนผอมอาจจะเป็นเบาะแสสําคัญ แต่มันจะรู้ตําแหน่งหลินหยางจริงหรือ? ถ้ําค้างคาวแห่งนี้แน่นอนว่ามีทางเข้าเพียงทางเดียวและพวกมันก็เฝ้าทางเข้าดังกล่าวไม่เคย คลาดสายตาเลยแม้แต่เสี้ยววิ จากดวงตาของคนร่วมร้อยทั้งทีมก่อสร้าง ทีมจู่โจมและทีมระยะใกล้ที่เพ่งเล็งอยู่ตลอด ฉะนั้นการที่หลินหยางจะกลับออกมาโดยที่ไม่มีใครพบเห็นนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
หรือมันจะมีประตูปริศนาดั่งถ้ําโครงกระดูก? ประสบการณ์ตะลุยถ้ําโครงกระดูกเพียงลําพังของหลินหยางมิได้ปกปิดเป็นความลับ เขาเล่าทุกรายละเอียดเกี่ยวกับถ้ําแห่งแรกที่พบเจอให้แก่สมาชิกพลเมืองฟังทุกเม็ดไม่ตกหล่นรวมถึงเรื่องประตูวิเศษที่เปรียบเสมือนประตูเชื่อมต่อกับห้องปริศนาที่ราวกับว่าเป็นมิติเอกเทศมิได้มีอยู่ในโลกใบนี้
ไม่สิ…เทียนหนิงเจี้ยนสายหัวปัดความคิดดังกล่าวทิ้ง มันหลงลืมไปว่าหลินหยางและเจียวซิ่น เคยเข้าไปสํารวจถ้ําค้างคาวมาแล้วหนึ่งครา และตามคําบอกเล่าถ้ําแห่งนี้มีโครงสร้างเฉกเช่นเดียวกับถ้ำมด นอกจากสัตว์ประหลาดที่แตกต่างสายพันธ์กันแล้วหากจะกล่าวว่ามันเป็นถ้ําเดียวกันก็คงไม่มีใครขัดค้าน เป็นที่แน่ชัดว่าถ้ําค้างคาวไม่มีประตูวิเศษบานนั้นอยู่
เทียนหนิงเจี้ยนคิดจนหัวแทบระเบิดก็หาคําตอบมิได้ สิ่งที่มันคาดคะเนล้วนผิดเพี้ยนไม่ถูกจุด ไม่สามารถระบุตําแหน่งของชายหนุ่ม
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง….ตอนนี้อาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานกลืนผืนนภาเดินทางเข้าสู่ยามราตรี
บริเวณปากถ้ํายังคงมีผู้คนพลุกพล่านเดินสวนกันไปมา หลังจากรักษากลุ่มผู้รอดชีวิตเสร็จสรรพ สมาชิกทีมก่อสร้างได้รับมอบหมายขนย้ายเถาวัลย์คุกที่จองจําค้างคาวปีกเหล็กมากกว่าพันตัว เดินทางกลับไปยังเมืองที่พักอาศัย หลายต่อหลายเที่ยวจนกระทั่งภารกิจเสร็จสิ้นในช่วงเย็น แต่พวกมันก็ยังกลับมาพร้อมกับข้าวปลาอาหารกองโตมาปักหลักอยู่หน้าปากถ้ํา จากคําสั่งของหลิวเจีย ส่งผลให้รอบบริเวณมีรั้วไม้ล้อมรอบสร้างเป็นฐานทัพ