เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 665
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 665 ความมืดชั่วนิรันดร์
ตอนนี้สมาชิกทีมจู่โจมและทีมระยะใกล้ดูเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด พวกมันแบ่งกลุ่มจัดกําลังกลุ่มละสามถึงสี่คนออกตระเวณรอบบริเวณไกลออกไปเรื่อยๆตั้งแต่หัววัน พวกมันออกตามหาหลินหยางทุกทิศทางกระจายกําลังเป็นวงกว้าง คาดว่าหลายกลุ่มคงเดินทางออกไปไกลกว่ายี่สิบถึงสามสิบกิโลเมตรรอบนอกแล้วเป็นแน่ ซึ่งนับว่าไกลมากเมื่อเทียบกับการสํารวจเส้นทางแบบปกติ แต่กระนั้นก็ยังมิมีกลุ่มใดกลับมารายงานข่าวดีเกี่ยวกับเบาะแสของหลินหยางเลย
หลิวเจี้ยใช้ทักษะที่ได้รับมาล่าสุดอย่างทักษะเคลื่อนธรณีขุดเจาะผืนดินบริเวณที่เคยเป็นปากถ้ําลึกกว่าสองเมตรและกว้างนับสิบเมตร เนื่องจากพื้นที่ภายในถ้ํานั้นมันทอดยาวมุดลงไปในดินโผล่พ้นมาเพียงปากถ้ํา ทําให้คิดว่าบางทีหลินหยางอาจไม่สามารถออกมาได้ทันและถูกฝังอยู่ข้างใต้ แต่ก็น่าผิดหวัง เพราะใต้ผืนดินที่ขุดลงไปนั้นราวกับว่าไม่เคยมีร่องรอยของถ้ําหินมาก่อน
แพทย์สาวหรงเถียนเหยาที่รักษาคนไข้มาอย่างยาวนานจนถึงช่วงเย็น ตอนนี้ร่างกายเธอเหนื่อยล้าเต็มทนนอนซมอยู่ในที่พักชั่วคราวเพื่อฟื้นคืนกําลังในการใช้งานทักษะแห่งการรักษาอันพิศดาร โดยเป้าหมายรายต่อไปของทักษะดังกล่าวคือชายอ้วนผอมที่รู้เบาะแสของหลินหยางนั่นเอง
เทียนหนิงเจี้ยนนั่งโดดเดี่ยวใบหน้าเคร่งเครียดใช้สมองคิดหาความเป็นไปได้ถึงที่อยู่หลินหยาง
หลินหยางหายไปไหนกันแน่? เทียนหนิงเจี้ยนก็ยังคิดไม่ตกจนถึงตอนนี้
ขณะเดียวกัน
รูป
สถานที่อันมืดมิดมองมิเห็นก้นบึง รอบข้างดําสนิทไม่มีจุดด่างพร้อย ด้านบนดํามืดราวกับคืนเดือนดับไร้จันทรา นี่คือทัศนวิสัยจากสายตาของชายผู้หนึ่ง ชายผู้นี้คือสาเหตุของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าปากถ้ําหลินหยาง ชายหนุ่มค่อยๆฟื้นคืนสติอย่างช้าๆมองรอบกายด้วยความสับสน
” คือ…นี่มันที่ไหนเนี่ย!” หลินหยางแตกตื่นตกใจกับภาพที่เห็นเรียกว่าเขาไม่เห็นยังคงง่ายกว่า เพราะมันดํามืดไม่เห็นสิ่งใด ไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่จะดึงดูดความสนใจได้นอกจากสีดํา นี่เขามานอนหมดสติอยู่ที่ไหน?
” เหวอ ” ทันใดนั้นเองหลังจากฟื้นสติคืนชายหนุ่มพยายามใช้แขนทั้งสองข้างพยุงตัวหมายจะลุกขึ้นยืน ก็จําต้องร้องเสียงหลงอย่างมิทันตั้งตัวเมื่อแขนทั้งสองหมายจะท้าวพื้นส่งแรงเพื่อพยุงร่างกลับจมดิ่งผ่าน สิ่งที่คิดว่าเป็นพื้นดินไปราวกับอากาศธาตุส่งผลให้ร่างกายเสียหลักการทรงตัวถลําจมดิ่ง
วูมม
เสียงกระแสลมพัดผ่านใบหูเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าความเร็วขณะที่ล่วงหล่นนั้นมีมากแค่ไหน
สติยังมิทันได้ฟื้นคืนมาครบถ้วนเต็มร้อยก็มาพบเจอกับสถานการณ์ไม่คาดฝัน
“ว้ากก” หลินหยางร้องแหกปากด้วยความแตกตื่นร่างกายขยับไปตามสัญชาติญาณควานหาสิ่งที่จับต้องได้เพื่อหยุดการร่วงลงสู่เหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึงนี้ ด้วยระยะเวลาและความเร็วปัจจุบันคงไม่โอกาศที่จะมีชีวิตรอดเป็นแน่หากตกลงไปกระทบเบื้องล่าง แต่ยิ่งเขาดิ้นมากเท่าไหร่ความเร็วยิ่งเพิ่มพูนนับทวี ลมที่พัดผ่านร่างยิ่งมายิ่งเจ็บปวดแสบตามผิวหนังราวกับถูกใบมีดเล็กๆแผ่นบางเฉือดเฉือน
ฮาก
เสียงร้องของชายหนุ่มยิ่งมายิ่งแหบพร่า นานเท่าไหร่มิทราบตั้งแต่เขาตะเบ็งเสียง สิบ สามสิบ วิ หรืออาจจะหลายนาที จนกระทั่งแขนและขาของเขาก็อ่อนแรงตามไปเช่นกันการเคลื่อนไห วเชื่องช้าลงทีละน้อยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึก
ฟูววว
เสียงลมพัดผ่านหูค่อยเบาบางเลือนลางลง
ท้ายสุดแล้วหลินหยางก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงดิ้นรนอีกต่อไป เวลาที่ร่วงหล่นลงนั้นนานแสนนาน แม้จะเจอสิ่งที่คว้าจับได้ร่างกายก็คงรับไม่ไหว หรือแม้ก้นเหวลึกนี้จะเป็นน้ําร่างกายก็คงแหลกสลายเช่นกัน เปลือกตาคล้อยปิดการมองเห็นยอมแพ้ต่อชะตากรรมในที่สุด
“หือ?” ไม่กี่วินาทีต่อมาชายหนุ่มส่งเสียงแห่งความแปลกใจเมื่อพบความผิดปกติบางอย่าง ความแรงของลมที่พัดผ่านร่างกายนั้นเบาบางลง กระทั่งเสียงเองก็ค่อยๆหายไปเช่นกัน ชายหนุ่มลืมตามองรอบกายก็ยังพบเห็นแต่ความมืดเช่นเดิม แต่เขารู้สึกได้ว่าความเร็วที่ร่วงหล่นมันลดลงอย่างยิ่ง แถมยังช้ามากขึ้นเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปร่วมหนึ่งนาที่กระทั่งทุกสิ่งอย่างหยุดลง ร่างของชายหนุ่มหยุดอยู่กับที่ไม่มีแรงเสียดทานต่อกระแสลมที่พัดผ่านอีกซึ่งแสดงว่าตอนนี้ตัวเขาหยุดอยู่กับที่มิได้ร่วงหล่นลงอย่างที่คิดแล้ว
วูบ
ชายหนุ่มแกว่งแขนขาหมุนตัวไปมาได้อย่างอิสระเสรีไม่มีสิ่งกีดขวางไร้แรงต้านกระทั่งแรงดึงดูดก็ไม่มี คล้ายกับตนกําลังล่องลอยอยู่บนอากาศ ไม่รับรู้สิ่งใดและไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? หลินหยางตกอยู่ในความสับสนกับสถานการณ์ที่ไม่เคยพบพาน หรือเราตายแล้ว? ไม่สิเขายังสามารถจับต้องร่างกายของตนรับรู้ถึงการมีอยู่ ทั้งยังหายใจเข้าออกได้เป็นปกติ รับรู้ถึงความเจ็บแสบในลําคอจากการตะโกนใช้เสียงมาอย่างยาวนาน รู้สึกเมื่อยล้าตามร่างกายจากการขวานขวายเอาชีวิตรอดเมื่อครู่ ชายหนุ่มใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของตนยังสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดอยู่ฉะนั้นตามความเข้าใจแล้วมันคงมิใช่ทั้งความตายและความฝัน
“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงถ้าจําไม่ผิดเมื่อกี้เรากําลังสู้อยู่กับไอ้สองตัวนั้นอยู่ในถ้ําค้างคาว แล้ว จากนั้น…” ชายหนุ่มพยายามนึกถึงสิ่งสุดท้ายที่ตนจําได้ แต่ความทรงจําของเขาในตอนนี้มันสับสนอลหม่านผสมปนเปกันยิ่งนัก ทั้งความทรงจําใหม่และเก่าประดังเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องใด
ท้ายสุดแล้วชายหนุ่มจําต้องยอมแพ้เลิกคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้ากลับเข้าสู่ปัจจุบันมองไปยังสถานที่แปลกพิศดารด้วยความสงสัย
วูบ
ชายหนุ่มแหวกว่ายไปด้านซ้าย ความเร็วการเคลื่อนที่ของเขาเทียบเท่าความเร็วในการเดินในยามปกติ และมันค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดอย่างช้าๆจนรวดเร็วคล้ายกับกิ่งร่วงหล่นในก่อนหน้านี้
เวลาผ่านไปเท่าใดมิทราบแต่สมควรมิต่ํากว่าสิบนาที บัดนี้หลินหยางได้หยุดสงบนิ่งมิเคลื่อนไหวต่อ หัวคิ้วสองข้างยุ่นเข้าหากันแสดงถึงความเคร่งเครียดกังวลที่ตนมี
ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศว่ายขึ้นไปยังด้านบนโดยคราวนี้ใช้เวลามากกว่าเดิมสามเท่า โดยเวลาและความเร็วที่ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาย้ายไปฝั่งซ้ายและลงล่างผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม สีหน้าของเขายิ่งมายิ่งมืดหม่น
เสมือนว่าเวียนว่ายอยู่ในความมืดชั่วนิรันดร์ไม่มีทางออก ไม่ว่าไปจุดใดไกลแค่ไหนสิ่งที่เห็นก็ยังมีแต่ความมืดมิดไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน
ตอนนี้เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วนะ? ชายหนุ่มคิด แต่คําตอบนั้นไม่มีในหัวของเขาเลย หลายชั่วโมงหรืออาจจะผ่านไปหนึ่งวันแล้วก็ไม่ทราบแน่ เมื่อถึงตอนนี้เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตนไม่มีความหิวกระหายเลย ทั้งที่ขยับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีน้ําสักหยดอาหารสักเม็ดตกถึงท้องแต่มีเพียงความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อตามร่างกายเท่านั้นที่รู้สึก
!?” ชายหนุ่มตรวจสอบสภาพร่างกายของตนตั้งแต่หัวจรดเท้าพบกับความแปลกใจบางอย่าง นั่นคือบาดแผลทั้งตัวของเขาจากการเผชิญหน้ากับแวมไพร์ปีศาจไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่รอยขีดข่วน แผลหน้าท้องที่ได้รับผลทักษะโลหิตรคลั่งของแวมไพร์ตัวจิ๋วจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ก็หายไปเช่นกัน มันไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่ร่องรอยแผลเป็น ร่างกายรักษาเองตามธรรมชาตินั้นหรือ? มิถูก เพราะมันไม่มีร่องรอยของเนื้อเยื่อผิวหนังใหม่เลย มันเหมือนกับว่าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนมากกว่า
หลินหยางหลับตารวบรวมสมาธิหมายจะเปิดดูค่าสถานะส่วนตัวของตน ทว่ามันกลับไม่มีข้อมูลใดๆส่งกลับมาให้เขาเลย ไม่ว่าจะพยายามเรียกดูสักกี่ครั้ง
ฟวับ
ชายหนุ่มกวัดแกว่งมือปล่อยหมัดตวัดกรงเล็บก็พบว่าความเร็วของตนต่ําลงอย่างเทียบไม่ติดกับคราวก่อนหน้า
วูบ
เขายกแขนขวาขึ้นสูงเหนือศรีษะก่อนจะฟาดใส่อากาศเบื้องหน้าด้วยพละกําลังทั้งหมดเพื่อใช้ทักษะสั้นพสุธา
มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของตนเท่านั้นที่ปรากฏ ไม่มีแท่งหินแท่งดินโผล่ขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า
ว้ากกกก
เขาเค้นเสียงตะโกนสุดกําลังเพื่อใช้งานทักษะราชสีห์คําราม
แค่กๆ
กระแสลมคลื่นพลังอย่างที่เคยมีกลับหาไม่ มีเพียงความเจ็บปวดในลําคอจากการใช้งานเส้นเสียงเท่านั้นที่ได้รับ
ย้ากกก
มือซ้ายบีบข้อมือขวา นิ้วมือขวาทั้งห้าเกร็งกําลังจนเส้นเลือดปูดโปนใช้งานทักษะคู่ใจ ทักษะหลอมไฟทว่าไม่สามารถตรวจพบไอความร้อนที่แผ่ออกมาเลยแม้แต่น้อย แบบนี้มันเหมือนคนธรรมดาเลยนี่!