เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 666
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 666 มิติที่บิดเบี้ยว
“ทักษะสั้นพสุธา!” ชายหนุ่มเปลี่ยนวิธีใช้เปร่งเสียงตะโกนขานเรียกชื่อทักษะก่อนจะใช้งาน
” ราชสีห์คําราม วกก”
ตอนนี้หากมีคนอื่นอยู่ด้วยและเห็นการกระทําของเขาคงคิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นบ้าเสียสติไปแล้วอย่างแน่นอน…
“ฮิม” ชายหนุ่มไม่ลดละความพยายาม เขาเค่นเสียงหลับตาเพ่งสมาธิฝืนเปิดหน้าต่างค่าสถานะของตนอีกหลายคราใช้ออกด้วยทักษะที่ครอบครองอีกหลายครั้ง ปล่อยหมัดยิงลูกเตะกลางอากาศว่างเปล่านับครั้งไม่ถ้วนทุกค่าสถานะและทักษะที่ส่งเสริมให้ตนกลายเป็นคนเหนือมนุษย์กลับไม่ส่งผลเลยแม้แต่นิด
“เฮ้อ” หลินหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่ทราบวันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่มาอยู่ในที่อันมืดมิดนี้เขาใช้ร่างกายจนเหนื่อยหอบหมดแรงในที่สุด หลับตาปล่อยตัวล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมายที่แห่งนี้ราวกับมิใช่ความจริงไม่รับรู้ถึงสภาพอากาศ ไม่ทราบอุณหภูมิร่างกายไม่ร้อนไม่หนาวแม้ออกแรงจนร่างกายเมื่อยล้ากลับไม่มีเหงื่อสักหยดไม่หิวโหยไม่กระหายน้ําแม้เวลาจะผ่านไปนานนมแต่ความง่วงก็มิเคยถามหาจะว่าดีก็ดีแต่มันหนักไปทางที่เลวร้ายเสียมากกว่า
ในครรลองมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด จิตใจที่กล้าแข็งถูกความกังวลกัดกร่อน ชวนสิ้นหวัง เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะเสาะหาทางออกได้แต่ล่องลอยไปมาโดยไม่ทราบว่าจุดที่อยู่ปัจจุบันอยู่ส่วนใดในโลกมืด
หลังจากล่องลอยอยู่นานความคิดฟุ้งซ่านก็บังเกิด หากเขาออกจากที่นี่ไม่ได้ตลอดกาลเล่า?แต่ก็ทําได้เพียงแค่คิดไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้ อารมณ์ขวานขวายหาทางออกมอดดับลงไปแล้ว
เวลาผ่านไปอาจจะหลายวันหรือหลายเดือนไม่ทราบแน่ ในสถานที่อันมืดมิดมีร่างชายหนุ่มกําลังชกต่อยอากาศบ้างก็หมุนตัวตีลังกา บางครั้งพุ่งต่ํามุดไปข้างหน้าหมุนตัวปล่อยลูกเตะ
ช่วงเวลาแรกเริ่มที่ถูกกักตัวอยู่ในความมืดชายหนุ่มแตกตื่นวิตกกังวล ผ่านไปอีกหลายวันแปรเปลี่ยนไปเป็นความสิ้นหวัง จนกระทั่งหลงลืมวันเวลาจึงยอมรับชะตากรรมทําทุกวิถีทางให้สมองตนปลอดโปร่งไม่คิดฟุ้งซ่าน ฝึกการเตะต่อยเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายในสถานที่ไร้แรงโน้มถ่วง
ตอนนี้เขาอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญในการโจมตีด้วยหมัดเปล่าและลูกเตะไปแล้ว จากการปล่อยอาวุธใส่อากาศว่างเปล่าเมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็พักยกปล่อยให้ร่างกายฟื้นคืนสภาพและกลับไปโจมตีใส่อากาศธาตุอีกครั้งเขาทําแบบนี้ซ้ําไปซ้ํามานับจํานวนไม่ถ้วน มีบางครั้งที่แก้ความเบื่อหน่ายโดยการโบยบินล่องลอยเล่นไปเรื่อยๆไร้จุดหมายหรือไม่ก็พูดคุยกันตนเองนึกถึงความหลังวันวานราวกับคนเสียสติ
“เจ้าพวกนั้นจะเป็นยังไงกันมั่งนะ…” ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ทั้งทีมระยะใกล้ ทีมจู่โจมและทีมก่อสร้างรวมไปถึงเหล่าสมาชิกพลเมืองหลายร้อยคนที่ใกล้ชิดแม้แต่ภาพเจ้าเขียวเหยี่ยวมรกตสัตว์เลี้ยงแสนรู้ทั้งเจ็ดตัวก็ล่องลอยผ่านความทรงจําบรรยากาศมันชวนน่าคิดถึงเสียจริง
วูบบ
ทันใดนั้นเองห้วงมิติเกิดการบิดเบี้ยว ต่ําลงไปใต้ฝ่าเท้าชายหนุ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติชั้นบรรยากาศบิดเป็นเกลียว หากเป็นปกติชายหนุ่มคงมิทันได้สังเกตุแต่เพราะมันมีสีสันแปลกใหม่สะดุดตาดึงดูดความสนใจของเขา เกลียวคลื่นสีแดงฉานราวกับเลือดสดๆหมุนวนราวกับพายุพร้อมกับดูดกลืนความมืดรอบๆไหลเวียนลงไปในจุดศูนย์กลาง
หลินหยางตกใจดีดตัวพุ่งหนีขึ้นด้านบนออกห่างไปราวหนึ่งเมตรก่อนจะหยุดชะงักโง้มศรีษะม องลงเบื้องล่างอีกครั้ง มองดูเกลียวคลื่นสีเลือดแปลกใหม่ที่มีขนาดกว้างและยาวราวสองเมตร
” นี่มันอะไรเนี่ย” ชายหนุ่มเวียนว่ายไปมารอบๆค่อยลดระยะห่างเข้าใกล้ที่น้อยพบว่าแรงดูดของมันมิได้มีผลมากนักร่างกายของเขายังคงสภาพได้ตามปกติแม้จะเข้าประชิดก็ตาม
เมื่อเขาเอื้อมมือไปสัมผัสมันพบว่ามือของเขาจมหายเข้าไปภายในชายหนุ่มจึงค่อยๆถลําแขนลีกลงไปเรื่อยๆจนถึงข้อศอก เขาเอี้ยวตัวมองมองหาแขนที่หายไปของตนด้านหลังวังวนสีแดงก็มพบ ตั้งแต่มือจรดข้อศอกของเขาหายวับไปราวกับกําลังเล่นมายากลอยู่ก็มิปานเมื่อดึงแขนกลับอวัยวะ ทุกส่วนก็ยังมีสภาพเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
พรึบ
ชายหนุ่มถอดเสื้อที่สวมใส่ถือไว้ในมือและยัดมันเข้าไปในใจกลางวังวนสีเลือดก่อนจะดึงกลับมา
ในตอนนั้นเองความคิดพิเรนก็บังเกิด เขาตัดสินม้วนเสื้อเป็นก้อนกลมพร้อนกับโยนมันเข้าไปภายในผลปรากฏว่าเสื้อของเขาหายวับไปกลับตา!
” มันคืออะไรเนี่ย?” ชายหนุ่มครุ่นมันดูดกลืนเสื้อของเขาเข้าไปภายในเหลือไว้แต่ความว่างเปล่า เสื้อเขาหายไปไหน? เขาชะเง้อหน้าจ่อมองมันในระยะใกล้ก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านสิ่งนี้ไป
พรึบ
เขาตัดสินใจถอดกางเกง สิ่งสวมใส่ชิ้นสุดท้ายที่อยู่บนตัวออกถือไว้ในมือซ้าย ในตอนนี้ลําตัวของเขาขนาบข้างติดกับสิ่งแปลกปลอมใช้แขนขวาเสียบเข้าไปภายในจากด้านหลัง ส่วนมือซ้ายก็ ยัดกางเกงของตนเข้าไปภายในจากด้านหน้าเช่นกัน ทั้งสองมือควานหากันและกันไม่เจอ!
มือทั้งสองข้างราวกับไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน
ชายหนุ่มดึงแขนทั้งสองข้างออกเว้นระยะห่างออกมาเล็กน้อยใส่กางเกงกลับเข้าที่เดิม
เกลียวสีเลือดที่ชวนสงสัยไม่น่าไว้ใจ… ไม่มีทีท่าว่าจะเล็กลงหรือขยายตัว
เขาพินิจมองตรวจสอบมันทุกกระเบียดนิ้ว จากภาพลักษณ์มันให้ความรู้สึกลึกล้ําคล้ายปากถ้ําสัตว์ประหลาด
หรือบางที่นี่อาจจะเป็นทางออก? แล้วหากมันไม่ใช่ล่ะ? ชายหนุ่มเวียนว่ายไปมารอบๆครุ่นคิดความคิดหลายแบบตีกันในหัวจนสับสน
เมื่อมองกลับไปด้านหลังพบกับความมืดไร้สิ้นสุด เวลาอาจผ่านไปหลายเดือนหรือแรมปีตั้งแต่รู้สึกตัวในสถานที่แห่งดํามืด
ทุกวันที่ผ่านมาเขายังไม่รู้เลยว่าตอนนี้ได้อยู่ตรงจุดใด เมื่อวานอยู่มุมไหนและพรุ่งนี้จะกลับมาจุดเดิมได้หรือไม่
ในตอนนี้เขายังทนได้แต่หากต้องติดอยู่ในนี้อีกสามปี สิบปี ร้อยปีหรือชั่วนิรันดร์ล่ะ? ไม่พบปะผู้คนใหม่ไม่ดื่มกินหรือนอนหลับ ไม่มีความสุข ไม่มีสิ่งใดให้กระทํานอกจากล่องลอยไปมาตอนนั้นเขาจะเป็นยังไงบ้าคลั่งเสียสติ? หรือฆ่าตัวตาย? นั่นคืออนาคตที่รอคอยเขาอยู่แม้ไม่ใช่ก็ ใกล้เคียง
ในเมื่อตอนนี้เบื้องหน้าของตนมีเส้นทางที่แตกต่างออกไปทําไมเขาจะไม่เลือกเล่า? จะดีหรือร้ายก็ยังไม่แน่ชัด หากผลออกมาในแง่ร้ายก็คงไม่ร้ายเกินกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่อีกแล้ว
ด้วยการตัดสินใจอันแน่วแน่เคลื่อนกายเข้าหาเกลียวคลื่นสีเลือดอย่างช้าๆเอื้อมมือซ้ายสัมผัสและผลุบหายเข้าไปภายใน ท่อนแขนของเขาค่อยๆหายไปทีละส่วนที่ละส่วนจนถึงหัวไหล่ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่หลับตาแน่นกระโจนตัวเข้าไปในจุดศูนย์กลางทันที
ร่างของเขาผลุบหายเข้าไปภายในอย่างสมบูรณ์ ไม่กี่วินาทีต่อมาวังวนสีแดงฉานอันเป็นเอกเทศแตกต่างจากความมืดที่ล้อมรอบค่อยๆหดตัวเล็กลงกระทั่งหายวับไม่เหลือร่องรอยใดๆทิ้งเอาไว้ส่วนสถานที่อันดํามืดนี้สรุปแล้วมันคือที่ไหน อยู่หนแห่งใดก็ยังคงเป็นปริศนาตลอดกาล
ทันทีที่สิ้นปฏิกิริยาการตอบสนองของวังวนสีเลือดหลินหยางค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆแต่ยังมิทันได้เบิกกว้างเต็มที่ชายหนุ่มก็ต้องเคลื่อนหนังตาลงมาปิดอย่างฉับพลันพร้อมกับความเจ็บแสบที่ดวงตาของตนได้รับ เขาโดนโจมตีงั้นหรือ? มิใช่แต่เป็นเพราะโทนสีที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วของสองสถานที่
ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถปรับสภาพการมองเห็นให้เป็นปกติ ชายหนุ่มใช้สายตามองสํารวจรอบกายพบว่าบัดนี้สถานที่อยู่ของตนได้เปลี่ยนไปแล้ว มันมีทั้งสีสันแปลกใหม่ที่ผสมผสานกันจนไม่สามารถแยกแยะได้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสีที่ชวนแสบตาทั้งแดง ฟ้าม่วงและอีกหลายสีที่แปรเปลี่ยนไปมาเรื่อยๆล้อมตัวเขาอยู่
หากเปรียบสถานที่ที่มืดมิดก่อนหน้าเป็นห้องปิดตายที่ไม่มีแสงใดลอดผ่านเข้าไปได้ สถานที่ให้แม่แห่งนี้ก็คงเทียบกับห้องหนึ่งที่มีจิตรกรรมฝาผนังที่ไม่มีรูปร่างชัดเจนระบายจนไม่เหลือที่ว่าง
แต่คุณสมบัติของทั้งสองแห่งไม่แตกต่างกัน ไม่หิวกระหายไม่มีแรงโน้มถ่วง ชายหนุ่มตัดสินใจสํารวจสถานที่ใหม่ด้วยความหวัง เขาล่องลอยออกไปไกลโพ้นไม่ทราบระยะทาง
ตึง
การเดินทางที่ไร้จุดหมายสิ้นสุดลงเมื่อจู่ๆหลินหยางชนเข้ากับสิ่งกีดขวางที่มิสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“นี่มันอะไร กําแพง?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความสับสนเขากางฝ่ามือทาบลงเบื้องหน้า คล้ายกับว่ามันมีกําแพงโปร่งใสขวางกั้นอยู่
แคร๊ก
“1” ทันใดนั้นเองจุดที่มือของหลินหยางวางอยู่เกิดรอยปริแตกเป็นทางยาว รอยแตกกระจายตัวแยกออกเป็นสอง สี่ แปด จนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ทุกจุดในที่ที่มองเห็น