เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 669
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 669 จันทร์ทราลาจาก
“เอายังไงกับมันดี?” นั่นคือสิ่งที่ชายกลางคนคิด มันไม่ทราบควรทําเช่นไรกับชายแปลกหน้าที่น่าสงสัย
ตอนนั้นเองเด็กสาวเข้ามายืนอยู่ข้างกายมันตั้งแต่เมื่อใดมิทราบกําลังมองด้วยสายตาไร้เดียงสาเตียงสาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เอาเถอะ” ชายวัยกลางคนตัดสินใจช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ มันช้อนแขนซ้ายใต้ข้อพับหัวเขา สอดแขนขวาบริเวณกลางหลังอุ้มผู้บาดเจ็บขึ้นมา
“กลับ” มันกล่าวพร้อมกับเดินนําหน้าเด็กน้อยทั้งสาม
ด้านนอกป่า เวลาผ่านไปราวสิบนาที
ชายวัยกลางคนและเด็กน้อยทั้งสามทยอยตามกันออกมาจากป่ารกทึบ ด้านหลังของพวกมันมีผู้คุ้มกันทั้งสามสิบบินตามมาติดๆ พวกมันยังคอยระแวดระวังภัยใกล้ตัวให้แก่บุคคลสําคัญที่มีสมญานามว่าองค์หญิง
“มากันครบแล้วใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนกล่าวถามลูกสมุน หลังจากตรวจดูด้วยสายตาไม่พบผู้สูญหายมันจึงเดินนําขบวนมุ่งหน้ากับฐานที่มั่น
ฮู่มๆ
คว้ากก
หลังจากกลุ่มของชายวัยกลางคนกลับไปได้ไม่นานนัก มีเสียงร้องของสัตว์ดุร้ายดังไปทั่วทั้งผืนปาราวกับว่าพวกมันกําลังตื่นจากการนอนหลับได้เวลาออกหากิน
ฟีด
มองไปยังตําแหน่งที่ชายวัยกลางคนและพักพวกใช้เป็นเส้นทางออกมาจากป่ารก มีกระต่ายขนสีขาวปุกปุยใบหน้าเปื้อนคราบเลือดสีแดงกําลังยืนสองขามองห่างไปไกลด้วยสายตาอาวรณ์ มันคือกระต่ายจันทร์ทราที่ปะทะกับเหล่าเด็กน้อยเมื่อครู่นั่นเอง ตอนนี้มันคืนสภาพกลายเป็นกระต่ายขนปุย ใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูพร้อมกับดวงตาเศร้าหมองชวนให้ผู้พบเห็นอดหลงรักมิได้
จมูกของมันขยับขึ้นลงกําลังสูดดมกลิ่นเลือดอันหอมหวานจากอาหารมื้อล่าสุดของตนที่บัดนี้ถูกอุ้มพาร่างไปไกลจนกลิ่นเลือนหาย
มันหันกายกระโดดโหยงเหยงเชื่องช้ามุ่งหน้าเข้าไปในปาที่อยู่อาศัยแต่กําเนิด ความเร็วของมันช้าลงเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดนิ่งเหม่อมองผืนปาที่เปรียบเสมือนบ้านเกิดเมืองนอนอยู่นาน
ค๊าาห์–
มันส่งเสียงร้องยาวนานจนแหบแห้ง เสียงของมันมิใช่เสียงขู่ มิดุร้าย แต่เป็นน้ําเสียงที่เศร้าสร้อยราวกับเป็นการอําลาจากสถานที่อันเป็นที่รัก มันตัดสินใจหมุนตัวกระโดดต้วมเตี้ยมมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่กลุ่มคนทั้งสามสิบเดินทางไป
*****************************
ณ เมืองแห่งหนึ่งทางทิศเหนือห่างออกจากป่ารกทึบราวสิบกิโลเมตร เมืองนี้นี้มีอาณาเขตกว้างไกลครอบคลุมพื้นที่ส่วนนี้ทั้งแถบ มีกําแพงหินขนาดใหญ่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ กําแพงที่มีความสูงมากกว่าสิบเมตรสร้างอย่างปราณีตเป็นปราการที่ไม่มันแตกพ่าย ด้านหน้ามีประตูเมืองขนาดกว้างราวสี่เมตรและสูงราวหกเมตรที่ทําจากเหล็กซึ่งยากจะเปิดมันออกด้วยคนเพียงคนเดียว
บนกําแพงมีเวรยามนับพันคนประจําแต่ละจุดทั้งสี่ทิศเรียกได้ว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีปลอดภัยถึงขีดสุด แม้แต่ยุงก็ยังยากจะหลุดรอดสายตาของเหล่าทหาร และที่สําคัญ.แผ่นหลังของพวกมันล้วนมีปีกสีดําประดับอยู่ทุกคน! เล็กบ้าง ใหญ่บ้างตามขนาดพอเหมาะของร่างกาย
“หืม?” ชายสูงวัยร่างกายกํายํารายหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้มีอํานาจในกลุ่มเวรยามประจําตําแหน่งเฝ้าประตูเมืองส่งเสียงสงสัยเล็กน้อยเมื่อมันเห็นกลุ่มคนปริศนากําลังมุ่งตรงเข้ามาจากระยะไกล เมื่อคนกลุ่มนั้นเข้าใกล้มากขึ้นจนเห็นได้ชัดเจน มุมปากของชายชราก็ยกยิ้มขึ้น
”เปิดประตูเมือง!!” ชายชราปาวตะโกนออกคําสั่งเสียงดัง
ปู่ววว
มีชายสองคนกําลังยกสิ่งประดิษย์คล้ายเขาสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีรูกลวงเป่าลมเข้าสู่ภายในเกิดเสียงดังหุ้มดังไปทั่วบริเวณ เป็นสัญญาณให้แก่ผู้ทําหน้าที่ควบคุมประตูเมือง แสดงถึงความรัดกุมในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
“ฮ๊าาห์” ด้านใต้กําแพงเมืองเกิดเสียงผสานของเหล่าชายฉกรรจ์กว่าห้าสิบชีวิตกําลังเค้นเสียงรวบรวมกําลังดึงกลไกเปิดการทํางานของประตูยักษ์
ครืนนนน
ประตูเมืองที่ดูแล้วน้ําหนักโดยรวมหลายสิบตันค่อยๆเคลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆต้อนรับผู้มาเยือน
พรึ่บ
ชายชราบนกําแพงเมืองสยายปีกกว้างกระโดดตัวออกจากจุดยืนที่สูงกว่าสิบเมตรกระพือปีกมุ่งหน้าเข้าหาคนกลุ่มนั้นด้วยความกระตือรือร้น
“อันเอ๋อร์” ชายชราส่งเสียงร้องเรียกมาแต่ไกลก่อนจะร่อนตัวลงจอดหน้าขบวน
“ท่านปู่รอง” สาวน้อยวิ่งกระโจนตัวพร้อมกับหยาดน้ําตาคลอเบ้าเข้าสู่อ้อมกอดของชายชรา
ชายชราตรวจดูร่างกายของสาวน้อยเพื่อยืนยันว่ามิได้รับบาดเจ็บใดๆก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก
วูบ
ตุบ
เหล่านักสู้ผู้คุ้มกันของชายวัยกลางร่อนลงต่อหน้าชายชราคุกเข่าก้มหัวอย่างนอบน้อมแสดงถึงความเคารพที่พวกมันมีต่อชายชรา
”เจ้าทําได้ดีมาก” ชายชรากล่าวชื่นชมแก่ชายวัยกลางคน
“ ท่านพ่อ” ชายวัยกลางคนตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ ชายชรารายนี้คือบิดาของมันนั่นเอง
“ส่วนพวกเจ้าทั้งสอง…ฮึ่ม!” ชายชรามองไปยังเด็กชายตัวน้อยสองคนที่มีศักดิ์เป็นบุตรหลานทางสายเลือดของตนพลางเค่นเสียงระงับอารมณ์โกรธ
“หือ?” ชายชราส่งเสียงฉงนเมื่อสังเกตุเห็นว่าในอ้อมอกบุตรชายมีบุคคลปริศนาร่างสะบักสะบอมบาดเจ็บสาหัส
“มันเป็นใคร?” ชายชรากล่าวถาม
“ข้าเองมิทราบ ข้าพบร่างมันนอนจมกองเลือดอยู่ใจกลางของป่าอสูร” ชายวัยกลางคนตอบก
“ในป่าอสูร? แล้วเจ้าพามันกลับม” ชายชรากําลังจะต่อว่าบุตรชายที่พาคนแปลกหน้าปริศนากลับมาโดยไม่บอกกล่าว ทว่ามันก็ต้องหยุดปากเมื่อเห็นดวงตาของบุตรชายที่ขยิบไปมาเก้ๆ กังๆคล้ายกับให้สัญญาณใจกันบางอย่างโดยมีเป้าหมายคือหญิงสาวตัวน้อย แม้ไม่ต้องใช้คําพูดก็เป็นเข้าใจสําหรับสองพ่อลูก ชายชราเข้าใจในบัดดลว่านี่คือความต้องการของเด็กสาวในอ้อมกอดของตนนั่นเอง
”กลับเข้าไปในเมืองก่อนค่อยว่ากัน” ชายชรากล่าวอุ้มเด็กสาวเดินนําหน้ากลับเข้าเมืองทันที
******************************
ภายในกําแพง
” ท่านแม่ทัพ” เมื่อพวกมันกลับเข้ามาในเมืองมีเหล่าชายฉกรรจ์แต่งองค์ทรงเครื่องสวมชุดเกราะเหล็กสีดํามันวาว มือขวาถือหอกยาวมือซ้ายถือโล่เหล็ก ยืนเรียงแถวเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแสดงถึงความน่าเกรงขาม พวกมันโค้งคํานับแก่ชายวัยกลางคนด้วยความนอบน้อมถึงที่สุด
เหล่าผู้คุ้มกันทั้งสามสิบตนกระจายตัวซ้ายขวาเข้าไปแทรกตัวอยู่ในแถว บ่งบอกว่าพวกมันคือหนึ่งในสมาชิกคนกลุ่มนี้เช่นกัน
” อันเอ๋อร์—” ทันใดนั้นเองมีเสียงเรียกยาวมาแต่ไกลมา มองไปยังทิศทางดังกล่าวพบราชรถคันงามสีทองแวววับถูกลากมาด้วยม้ามิเหมือนม้าซะทีเดียวขนาดลําตัวใหญ่สูงร่วมสองเมตรร่างกายดําทมิฬ แต่จุดที่ทําให้มันแตกต่างไปจากม้าทั่วและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือเขาแหลมที่งอกยาวกว่าหนึ่งฟุตบริเวณหน้าผากและปีกสีดําที่ประดับอยู่กลางลําตัวซ้ายขวา มันคล้ายคลึงกับยูนิคอร์น?
ยูนิคอร์นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตํานานถูกใช้เป็นสัตว์ลากรถโดยมีชายท้วมรายหนึ่งเป็นผู้คุมบังเหียนใช้แส้ฟาดบังคับทิศทาง
ภายในราชรถมีบุรุษร่างกายสมส่วนมิอ้วนผอมแต่งตัวหรูหราสวมใส่ชุดคลุมสีทอง มันกําลังตะเบ็งเสียงเรียกหาใครบางคน
เอี๊ยดด–
ทันทีที่รถลากจอดสนิท บุรุษผู้โดยสารกระโดดออกมาวิ่งปรี่เข้าไปหาคนกลุ่มนี้ทันที
“องค์ชายรอง” ชายวัยกลางคนและผู้คุ้มกันเปร่งเสียงเดียวกันพร้อมกับโค้งคํานับมันด้วยความเคารพ
“หลีกไป!” องค์ชายรองผู้ที่พวกมันให้ความเคารพเค่นเสียงเย็นชามสนใจผู้อื่น สายตาของมันจับจ้องไปยังสาวน้อยในอ้อมกอดของชายชรา
“ท่านปู่รอง” มันผงกหัวเล็กน้อยกล่าววาจากับชายชรา ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเห็นก็ล้วนสามารถบอกได้ว่ามันมิได้แสดงความเคารพจากใจจริง
“อันเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บรึเปล่า?” มันเปลี่ยนน้ําเสียงเป็นนุ่มนวลอ่อนหวานยื่นมือหมายประคองโอบอุ้มสาวน้อยออกมาจากชายชรา
“องค์ชายรอง! องค์หญิงมิได้รับบาดเจ็บอันใด” ชายวัยกลางคนแทรกตัวออกมายืนขวางหน้ากั้นระหว่างสองพี่น้อง
“เจ้า!” องค์ชายผู้ถูกขัดขวางมันกําหมัดแน่นดวงตาหรี่เล็กจ้องเขม็งไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง องค์ชายผู้นี้แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์มองไม่เห็นหัวผู้ใดนอกจากน้องสาวของตนอย่างชัดเจน
ชายวัยกลางคนก้มหน้าหลบสายตาแม้ตัวมันจะอายุมากกว่าก็ตาม
” อะแฮ่ม- ตอนนี้ถึงเวลาอันสมควรที่พวกเราควรพาองค์หญิงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท” ชายชราเห็นท่าไม่ดีมันรีบกล่าวแทรกขัดจังหวะ
“เช่นนั้นท่านพ่อ ข้าขอตัวนําเจ้าหนุ่มนี้ไปหอโอสถ” ชายวัยกลางคนกล่าวอําลานําร่างผู้บาดเจ็บในอ้อมอกไปรักษาตามความต้องการ
“ท่านปู่รอง พาอันเอ๋อร์ขึ้นราชรถข้าไปเถิด” องค์ชายรองกล่าวกับชายชรา
ชายชรามองสบตาหญิงสาวในอ้อมอกก่อนจะทราบถึงเจตจํานงของเด็กสาวผ่านแววตา
พรึ่บ
“ไม่จําเป็น” ชายชรากล่าว ปีกด้านหลังของมันสยายกางออก สองเขาย่อลงและดีดตัวกระโจนขึ้นเหนือพื้นดินพาเด็กสาวโบยบินไปกลางอากาศ