เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 673
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 673 ศึกษาฆ่าเวลา
เอี้ยดดด
“ท่านปู่!!” ด้วยอุปนิสัยซุกซน นางดึงประตูเปิดกระโจนตัวเข้าไปภายในอย่างฉับพลันพร้อมกับตะเบ็งเสียงหมายจะกลั่นแกล้งบุคคลที่อยู่ภายในให้ตกใจเล่น
ทว่าการกระทำของผู้ที่นางเรียกมันว่าท่านปู่คงทำให้นางต้องผิดหวังเสียแล้ว
เบื้องหน้าของนางมีชายชราผู้ครอบครองสมญานามเทพโอสถกำลังลงมือทำการรักษาผู้บาดเจ็บที่นอนอยู่เบื้องหน้า ปฏิกิริยาของมันต่อการละเล่นของเธอราวกับว่าเด็กสาวเป็นฝุ่นควันไม่มีตัวตน สีหน้าของมันจริงจังไม่วอกแว่กเลยแม้แต่สักวินาทีเดียว
เทพโอสถผู้นี้คือ “ท่านปู่” ที่นางตามหานั่นเอง แท้จริงแล้วตัวตนของมันมิใช่เพียงแค่แพทย์มือฉมังเท่านั้น แต่ยังมีศักดิ์เป็นถึงจักพรรดิปีศาจพระองค์ก่อน!!
ชายชราผู้นี้จึงเป็นปู่ทางสายเลือดโดยตรงของเด็กสาว
“หึม… สายตาเด็กสาวมองสำรวจผู้ที่ได้รับการรักษาจากเทพโอสถ มันคือชายที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากปาอสูร ทรวงอกตรงจุดที่สูญเสียเนื้อหนังเปิดเผยให้เห็นกระทั่งกระดูกของมันในตอนนี้ถูกพันรอบด้วยผ้าขาวสะอาด บาดแผลตรงหน้าท้องซึ่งเป็นแผลไหม้รอยยาวเองตอนนี้ก็ถูกโปะด้วยสมุนไพรกองโต
เตียงนอนรับรองผู้ป่วยที่เคยเป็นสีขาวบริสุทธ์ตอนนี้กลายเป็นสีแดงดำเปียกชื้นไปด้วยเลือดของผู้บาดเจ็บ แต่สีหน้าของมันในตอนนี้ยังดูดียิ่งกว่าตอนที่พบร่างมันใหม่ๆเสียอีก แม้นางจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการแพทย์แต่ก็พอจะบอกได้ว่าอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ถูกรักษาไปบ้างแล้วตามอาการ
“ท่านปู่” เด็กสาวกระซิบกระซาบบางเบาเรียกปู่ของตน
ฟู่ววว
เทพโอสถหาได้สนใจหรือรับรู้ถึงการมาของเด็กสาวไม่ มันยื่นฝ่ามือวางเหนือลำตัวของผู้บาดเจ็บก่อนที่จะปล่อยคลื่นพลังบางเบาที่มองยากยิ่งด้วยตาเปล่าเข้าสู่ร่างของผู้เคาะห์ร้าย
“ท่านปู่” เด็กสาวเพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อย
เด็กสาวส่ายหัวอย่างจนปัญญา บัดนี้ปู่ของนางราวกับตกอยู่ในภวังค์ไม่สนใจรอบข้างมุ่งเน้นแต่การรักษา ท้ายสุดแล้วนางก็ตัดสินใจปลีกตัวออกมายืนรออยู่นอกห้อง
ห้า สิบ สิบห้านาทีผ่านไป ปู่ที่เคารพรักของนางยังไม่มีวี่แววว่าจะทำหน้าที่เสร็จในเร็วไว
เด็กสาวเดินสำรวจหอโอสถเพียงลำพัง สำหรับนางแล้วนี่คือสถานที่แปลกใหม่เพราะนางมิเคยเข้ามาภายในหอโอสถเลยและไม่มีความคิดจะเข้ามาอีกด้วย เนื่องจากมันเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อยิ่ง!
นอกจากมาเยี่ยมเยือนปู่ของตนแล้วก็ไม่มีสาเหตุอื่นให้ย่างกรายเข้ามายังตำหนักแพทย์
นางเดินวนเวียนสำรวจทุกซอกทุกมุมของหอโอสถจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ยาสลายพลัง…สุบโลหิตกลืนวิญญาณ หึม” เด็กสาวพึมพำกับตนเองขณะในมือถือตำราฝุ่นเขรอะโทรมๆสองเล่ม ด้านหน้าของเธอมีชั้นวางสูงร่วมสามเมตร ทุกชั้นล้วนมีตำราวางแน่นนับรวมได้คงมากกว่าสองถึงสามร้อยเล่มเห็นจะได้ ด้านบนสุดของชั้นวางมีอักษรประทับไว้ว่า “ยาพิษ”
มองไปด้านข้างซ้ายขวาก็มีชั้นวางตำราที่ออกแบบมาเฉกเช่นเดียวกันอยู่อีกนับสิบตู้ด้วยกันและทุกชั้นก็เต็มไปด้วยตำราแพทย์ทั้งหมด ด้านบนแต่ละตู้ถูกแบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน มีทั้งยาเสริมกำลัง ยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ยารักษาโรคภัยหรือกระทั่งสมุนไพรบำรุงกำลัง แต่ในหมวดหมู่เหล่านี้กว่าครึ่งเป็นตำราที่มีไว้เพื่อสังหารคน!
ตำราสองเล่มที่อยู่ในมือของเธอก็เป็นหนึ่งในสูตรยาสำหรับบั่นทอนกำลังศัตรู ซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่ยาพิษ
เด็กสาวเปิดตำราในมือขวา สุบโลหิตกลืนวิญญาณ” อ่านผ่านไปทีละหน้าอย่างรวดเร็วจนถึงหน้าสุดท้าย ตำราเล่มหนาที่จดบันทึกวีธีการปรุง วิธีใช้ แม้กระทั่งวิธีแก้ก็ระบุ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตำราเก่าเก็บโบราณบางเล่มขาดรุ่ย บางเล่มตัวอักษรเลือนรางที่มีเพียงสูตรการปรุงเท่านั้นดังเช่นยาสูบโลหิตกลืนวิญญาณภายในมือเด็กสาว
“เห้อะ ตั้งชื่อซะสวยหรู สูบโลหิตกลืนวิญญาณอะไรกัน สรรพคุณไม่เห็นจะต่างกับผงสลายกระดูกแถมวิธีการปรุงยังยุ่งยากกว่าตั้งหลายเท่า แล้วตัวยานี่อีกใช้ตัวอ่อนหนอนพิษ? เดี๋ยวนี้มันคงใกล้สูญพันธ์กันหมดแล้วใครจะไปหามาได้ แบบนี้แค่ใช้หญ้าเจ็ดดาราที่หาได้ทั่วไปแก้พิษก็ได้แล้วมิใช่หรือไง เสียเวลาอ่านจริงๆ” เด็กสาวบ่นอุบอิบโยนตำราเล่มดังกล่าวไว้ข้างกายพลางควานหาทักษะวิชาแพทย์ในหมวดยาพิษเล่มใหม่
มองไปข้างกายนางบัดนี้มีตำราแพทย์กว่ายี่สิบเล่มกองรวมกันเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ทุกเล่มล้วนหนามากกว่าหนึ่งนิ้ว บางเล่มหนาถึงสามนิ้ว
ตั้งแต่เธอย่างกรายเข้ามาภายในหอโอสถถูกกักบริเวณตามคำสั่งบิดา มันพึ่งผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น สามสิบนาทีแรกหลังเข้ามาภายในหอโอสถเธอเสียมันไปกับการเล่นสนุกและรอคอยปู่ของตน ส่วนสามสิบนาทีให้หลังจึงเป็นเวลาการเรียนรู้ที่แท้จริงที่เธอใช้เพื่อศึกษาตำราแพทย์ แค่เพียงสามสิบนาทีนั้นเธออ่านตำราแพทย์ไปมากกว่ายี่สิบเล่ม โดยทุกเล่มไม่มีจุดในที่เธอข้ามผ่าน ทุกตัวอักษรล้วนผ่านตา ทั้งวิธีปรุง สรรพคุณ เธอล้วนเข้าใจอย่างถ่องแท้ไม่ด้อยไปกว่าผู้คิดค้นสูตรตัวยาใดเลย ทั้งจุดเด่น ข้อด้อย ถูกเธอมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง!!
ผ่านไปหลายนาที ภูเขาตำราลูกย่อมๆเพิ่มปริมาณขึ้นมาสองในสาม
เวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วมิทราบ ตอนที่เธอเข้ามายังหอโอสถในยามนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ส่วนตอนนี้บนท้องฟ้ามีแต่แสงเดือนและแสงจันทร์อากาศเริ่มหนาวเย็น ภายในหอโอสถเงียบสงัดวังเวงมืดมิด เด็กสาวจมจ่อมอยู่กับตำราแพทย์กองโตจนหลงลืมเวลาไปแล้ว ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของนางเริ่มเมื่อยล้าจากการยืนมาเป็นระยะเวลานาน เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
ปึก
เด็กสาวปิดตำราเล่มหนาโยนลงข้างกาย มองไปเบื้องหน้าตอนนี้ภายในชั้นวางตำราหมวดหมู่ยาพิษไม่หลงเหลือตำราเล่มใดถูกจัดวางอยู่เลยแม้แต่เล่มเดียว ตำราแพทย์เหล่านั้นถูกย้ายมากองรวมกันข้างกายเด็กสาวจนหมดกว่าสามร้อยเล่ม บ่งบอกว่าเด็กสาวได้เรียนรู้พวกมันจนหมดเปลือกแล้วนั่นเอง
สีหน้าสาวน้อยแสดงถึงความพึงพอใจกับตำราแพทย์ที่พึ่งผ่านตาไปไม่น้อย อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอไม่เบื่อหน่ายในเวลาว่าง มองไปซ้ายขวายังมีตำราอีกหลายพันเล่มที่ถูกจัดเรียงในชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ
โครกก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนร่างกายของเธอจะไม่ต้องการรับความรู้เพิ่มอีกแล้ว สิ่งที่มันต้องการก็คืออาหาร ท้องของเธอส่งเสียงร้องคร่ำครวญ เป็นเวลากว่าครึ่งวันแล้วที่ยังไม่มีข้าวปลาอาหาร ของว่างหรือแม้กระทั่งน้ำสักหยดตกถึงท้อง
วูบ
เด็กสาวผายมือไปยังฝาผนังด้านหนึ่งซึ่งจุดดังกล่าวมีเขาสัตว์ขนาดใหญ่โดยหงายส่วนกลวงขึ้นด้านบน หันปลายแหลมแนบกำผนัง
พรึ่บ
มีประกายไฟเกิดขึ้นพร้อมกับเปลวไฟลุกโชนส่องสว่างเป็นแสงไฟปัดเป่าความมืดมิดไปจนสิ้น
เด็กสาวเดินไปชะเง้อมองยังห้องรับรองผู้ป่วย ก่อนจะเดินคอตกกลับออกมาด้วยความผิดหวังปู่ที่เคารพรักยังทำการรักษาผู้บาดเจ็บโดยไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จในเร็วไว
เธอใช้มือน้อยๆลูบหน้าท้องของตนด้วยความหิวโหย เสาะหาของกินภายในหอโอสถแต่น่าเสียดาย นอกจากสมุนไพรที่ใช้สำหรับปรุงยาแล้ว ก็ไม่พบอาหารใดที่สามารถรับประทานได้เลย เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ประตูใหญ่ทางเข้าออกของหอโอสถได้ยินเสียงบ่าวรับใช้พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนานอยู่ด้านนอก
มือข้างหนึ่งยกขึ้นหมายเคาะเรียก แต่ทว่ามันชะงักค้างเอาไว้เสียก่อนที่จะได้กระทบกับบานประตู
คล้ายกับเธอฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ รีบวิ่งตรงดิ่งกลับเข้าไปภายในหอโอสถมาหยุดอยู่หน้า ห้องที่ชายชรากำลังรักษาผู้บาดเจ็บ
“ท่านปู่” เด็กสาวส่งเสียงบางเบา
ชายชรายังคงทำหน้าที่ของตนเฉกเช่นเดิมมือไม้ขยับไปมา บางจังหวะก็หยุดมือปล่อยคลื่นพลังใส่ร่างผู้ปวย
“ท่านปู่ ข้าออกไปหาอะไรกินก่อนนะ” เด็กสาวกล่าวกระซิบกระซาบ
“ถ้าไม่ตอบแสดงว่าท่านอนุญาตแล้วนะ” มุมปากเด็กสาวมีรอยยิ้มเล็กน้อย
ฮิฮิ
“ถ้างั้นข้าไปแล้วนะ” หลังจากรอคอยคำตอบไม่ถึงสามวินาที เด็กสาวหัวเราะคิกคักกระโดดโลดเต้นวิ่งออกจากหอโอสถเลาะข้างกำแพงก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ส่วนหลังของหอโอสถ เธอแนบศรีษะกับกำแพงเงี่ยงหูฟังเสียงด้านนอก เมื่อไม่ได้ยินเสียงการสนทนาใดๆมุมปากเด็กสาวยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์