เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 688
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 688 สายเลือดราชวงศ์
“อี้เหมย ภูเฉิน พวกเจ้านำทัพมาด้วยตนเองเลยรี ข้าต้องขอบคุณพวกเจ้าจากใจจริง” จ่อหมิงรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์กล่าววาจาแก่แม่ทัพรุ่นหลังทั้งสอง
” ท่านจื่อหมิงอย่าได้เกรงใจ เมืองหลวงปีศาจมีภัยข้าย่อมมิอาจทนอยู่เฉยได้ ทหารหนึ่งแสนนายเป็นเพียงแค่ทัพหน้าส่วนน้อยเท่านั้น บิดาของข้าจะนำทัพหลักมาด้วยตนเอง” บุรุษเกราะเหลืองค่อมคำนับกล่าวแก่แม่ทัพจ่อหมิงอย่างเคารพ มันผู้นี้มีนามว่าถูเฉินเป็นแม่ทัพน้อยแห่งเมืองฮวางฉือ
บุคคลิกท่าทางของมันอ้อนแอ้นบอบบางผิวกายขาวผ่องเรียบเนียน ผมเผ้ายาวสลวยถึงกลางหลัง ใบหน้าทะเล้น ภาพลักษณ์โดยรวมของมันแตกต่างจากบุรุษเกราะแดงที่แข็งกร้าวจริงจังอย่างสิ้นเชิง หนุ่มสำอางคำนี้ดูจะเหมาะกับมันมากที่สุด
“โฮ เป็นเช่นนั้น” ซื่อหมิงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าทันทีหลังจากได้ยินว่าทัพหนึ่งแสนนายนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของกำลังเสริม
พรึ่บ
สตรีชุดเขียวนำสองมือวางทับซ้อนสูงระดับอกย่อตัวก้มหัวแสดงความเคารพแก่แม่ทัพจื่อหมิงกิริยาท่าทางช่างอ่อนช้อยน่าทะนุถนอม ก่อนจะหันไปทักทายจือฮวงบุรุษแดง
สตรีผู้นี้มีนามว่าอี้เหมย รูปร่างของนางมิอ้วนมผอมสิ่งที่ควรมีก็มิขาดแถมยังมีเยอะเสียด้วยเป็นที่น่าอิจฉาของหญิงสาวเพศเดียวกันอย่างยิ่ง เคร้าโครงหน้าดูอ่อนหวานน่ารักควรค่าแก่การหมายปองของเหล่าบุรุษ
ดูจากรูปลักษณ์ของถูเฉินและอี้เหมยสองแม่ทัพผู้มาเยือน พวกมันแทบไม่แตกต่างจากมนุษย์เลย มองไปยังเหล่านักสู้พลทหารของทัพสีเหลืองและเขียวเองก็มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนมนุษย์ทุกประการไม่มีอวัยวะส่วนใดเกินเลยหรือขาดหาย หากจะกล่าวว่าพวกมันทั้งคู่เป็นมนุษย์ก็คงไม่ผิดนักนอกเสียจากสิ่งที่พวกมันทั้งสองพึ่งกระทำไปอย่างการเดินเหินบนอากาศของบุรุษเกราะเหลืองและเถาวัลย์ต้นไม้ยักษ์ที่งอกออกมาจากฝ่ามือของสตรีชุดเขียวที่ดูอย่างไงมนุษย์ธรรมดาคงไม่สามารถทำได้ หรือสิ่งที่พวกมันพึ่งใช้ไปคือทักษะจากหนังสือทักษะที่ได้มาจากการเข่นฆ่าสัตว์ประหลาด? คงไม่มีใครให้คำตอบได้นอกจากเจ้าตัว
” พี่เฉิน…แม่นางอี้เหมย” จ่อฮวงกล่าวทักทายถูเฉินตามมารยาทด้วยน้ำเสียงปกติก่อนจะตามด้วยอี้เหมยด้วยเสียงที่ไพเราะที่สุดที่มันสามารถเปร่งออกมาได้ สายตาของใช้ขณะมองสตรีชุดเขียวเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเขินอาย ผู้ที่สังเกตุเห็นกิริยาของมันสามารถมองได้ว่าชายร่างยักษ์ผู้นี้กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก แต่น่าเสียดายที่มันดูเหมือนว่าจะเป็นรักข้างเดียว…
แม่ทัพน้อยทั้งสี่รวมถึงแม่ทัพจื่อหมิงที่มิได้พบปะกันมานานพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันพอเป็นพิธี
จากบทสนทนาของพวกมันมีเรื่องเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเป็นหลักและเรื่องในกิจวัตรประจำวันเป็นรอง ซึ่งสามารถจับใจความได้ว่าทั้งสี่คนนี้มีฐานะเป็นถึงสายเลือดราชวงศ์
หากเชื้อสายของจักรพรรดิปีศาจและซื่อหมิงคือสายเลือดแท้เป็นตระกูลหลัก แม่ทัพน้อยทั้งสี่ก็คือตระกูลรองที่สืบเชื้อสายต่อกันมานั่นเอง หากจะกล่าวว่าพวกมันเป็นพระญาติของจักรพรรดิปีศาจและมีศักดิ์เป็นหลานของจื่อหมิงก็คงไม่ผิดนัก และเป็นที่แน่นอนว่าพวกมันคือเผ่าปีศาจ
ตระกูลรองทั้งสี่ก็มีเมืองหลักของตนที่ได้รับมอบหมายให้ปกครองซึ่งฐานที่มั่นของพวกมันก็อยู่ในอาณาเขตของแดนปีศาจนี้เช่นกัน พวกมันมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาดินแดนต่อกรกับเผ่าอสูรรักษาความสงบในขอบเขตของตน ที่สืบทอดหน้าที่กันมารุ่นสู่รุ่นนับพันนับหมื่นปีมาแล้ว
จากตระกูลรองก็มีการแตกกิ่งแยกก้านแบ่งสาขากระจายไปตั้งรกรากทั่วพื้นที่ของแดนปีศาจเพื่อรวบรวมเหล่านักสู้เผ่าปีศาจให้เป็นปึกแผ่น กระจายอำนาจการปกครองของราชวงศ์
ตู้ม
ขณะที่กำลังพูดคุยรำลึกความหลังกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องกังวาลมาจากปาอสูรที่พวกมันหลงลืมความสำคัญไปเสียแล้ว ทุกสายตาถูกดึงดูดจุดความสนใจถูกเพ่งเล็งมองไปยังใจกลางปาอสูรมีฝุ่นควันโขมงลอยขึ้นสู่บนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ครืนน
ปราการเมืองอันแข็งแรงทนทานสั่นไหวบางเบาจากแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมาจากจุดเกิดเหตุณที่ไกลร่วมหลายกิโลเมตร
บรึ้มม
ยังมิทันสิ้นเสียงแรก อีกจุดที่อยู่ไม่ไกลห่างกันเท่าไหร่นักก็เกิดการระเบิดขึ้นพร้อมกับฝุ่นตลบลอยขึ้นสูงกว่าร้อยเมตร
ซู่มม
มองไปยังจุดดังกล่าวมองเห็นต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุนับร้อยนับพันปีโค่นล้มระเนระนาดเป็นบริเวณกว้าง
ตอนนี้จุดดำบนท้องฟ้าที่คาดว่าจะเป็นหนอนยักษ์ได้ถึงตำแหน่งตกกระทบของพวกมันแล้วหลังจากเดินทางข้ามฟ้าข้ามอากาศมาอย่างยาวนาน
” นั่นคือการโจมตีของเผ่าอสูรรึ?” จ่อฮวงกล่าว ก่อนที่มันจะนำทัพมาเสริมกำลังให้แก่เมืองหลวงปีศาจแห่งนี้มันก็รับได้ข่าวคราวและทราบถึงสถานการณ์โดยรวมจากการรายงานมาโดยตลอดทาง แต่เมื่อมาเห็นด้วยตาตนเองมันรุนแรงยิ่งกว่าที่จิตนาการไว้เสียอีก
“ถเฉิน อี้เหมยรับคำสั่ง!” แม่ทัพบื่อหมิงเปร่งวาจาเสียงดัง
ผู้เป็นเจ้าของสองนามปรับเปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลันคุกเข่าไขว่มือรอรับคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจ่อหมิงอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเจ้านำทัพเข้าไปช่วยเหลือหน่วยสอดแนมและหน่วยลาดตระเวณภายในปาอสูรออกมาให้ได้มากที่สุด” แม่ทัพขื่อหมิงมอบหมายหน้าที่โดยไม่จำเป็นต้องถามหาความสมัครใจ
“ครับ/ค่ะ!” สตรีชุดเขียวและบุรุษเกราะเหลืองตอบรับ บุคลิกของทั้งสองเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
“อื้อฮวง ซุยหนิง พวกเจ้าทั้งสองนำทัพอัคคีและวารีเข้าร่วมกับทัพหลักในแนวหน้าและรอรับคำสั่งต่อไปจากข้า” แม่ทัพจื่อหมิงสั่งการต่อไปทันทีซึ่งตอนนี้ก็มาถึงคิวของบุรุษเกราะแดงและสตรีเกราะฟ้า
พวกมันทั้งคู่น้อมรับคำบัญชาด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่แสดงถึงความอิดออดใดๆในน้ำเสียงแม้คู่หูที่ถูกจัดให้จะมิใช่บุคคลที่มันใกล้ชิดสนิทสนมไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็ตาม
ถูเฉินเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันที่มันลอยขึ้นจากกำแพงเมืองก่อนจะเร่งความเร็วพุ่งขึ้นไปสมทบกับเหล่าทัพแสนนายของตนบนท้องฟ้า
จ่อฮวงกางปีกยักษ์ของมันฟาดพื้นส่งเสียงดังกระหมขึ้นสู่ท้องฟ้าตามไปติดๆ ซุยหนิงและอี้เหมยกระโดดลงจากกำแพงเมืองที่สูงหลายสิบเมตรลงสู่ ทั้งสี่แยกย้ายกันไปเข้ารวมทัพแสนนายของตนจัดวางกำลังทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็ว
วู่มม
บริเวณทัพเหลืองบังเกิดอากาศแปรปรวนสายลมพัดจนเสื้อผ้าหน้าผมของเหล่าทหารทัพเหลืองเหล่านี้ปลิวไสว มองไปยังถูเฉินเห็นมันกำลังชี้ไม้ชี้มือพูดคุยกับคนใกล้ชิดภายในมือถือแผ่นหนังขนาดใหญ่ที่คล้ายกับแผนที่ที่แม่ทัพจ่อหมิงใช้งานอยู่กำลังชี้จุดบัญชาการออกคำสั่งแก่พลทหาร
ไม่นานนักทัพเหลืองทั้งแสนนายถูกแบ่งออกหลายร้อยกลุ่มที่มีสมาชิกตั้งแต่หนึ่งร้อยและมากสุดถึงห้าร้อยต่อกลุ่มจัดระเบียบเรียงแถวตอน ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะกระจายตัววางกำลังไว้เป็นจุดหน้าทางเข้าตามแนวยาวของปาอสูรจนไกลสุดสายตา
ตู้ม
ซูมม
ภายในปาอสูรตอนนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหลและฝุ่นควันไปบดบังทัศนวิสัยยามค่ำคืนพร้อมทั้งเสียงระเบิดกระแทกผืนดินอื้ออึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงแก่การสนทนา
ใช้เวลาร่วมสิบนาทีเมื่อประจำตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายเป็นที่เรียบร้อย ถูเฉินปาวตะโกนบางอย่างที่ยากจะจับใจความได้ในระยะไกลเป็นสัญญาณเริ่มปฏิบัติหน้าที่ โดยที่มันเป็นผู้นำขบวนพุ่งด้วยความเร็วที่น่าหวาดหวั่นเหนือปาอสูรฝาอากาศ ไม่ว่าพวกมันจะพุ่งผ่านจุดใด กลุ่มควันดิน ณ บริเวณดังกล่าวล้วนถูกแรงลมที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของทัพแห่งนี้พัดผ่านกระจัดกระจายเปิดโล่ง
ก๊าาา
กรู้ววว
ทันทีที่พวกมันย่างกรายเข้าไปบนน่านฟ้าปาอสูรทันใดนั้นเองมีเสียงแหลมคล้ายกับเสียงร้องของนกดังขึ้นมาจากทั่วทุกสารทิศ ทัพเหลืองที่กระจายกำลังออกเป็นกลุ่มย่อยหลายร้อยกลุ่มนี้ มองเห็นบางกลุ่มได้หยุดชะงักการเคลื่อนที่ลอยคว้างอยู่บนอากาศพร้อมกับตั้งค่ายสร้างแนวป้องกันเพียงพริบตาเดียวต่อมามีสัตว์ปีกตัวยักษ์สีดำทมิฬที่แทบจะกลมกลืนกับความมืดยามค่ำคืนได้บินฝ่ากลุ่มควันปรากฏตัวอาบร่างกับแสงจันทร์เข้าจู่โจมปะทะกับกองทัพปีศาจ
สิ่งที่เข้าจู่โจมทัพแห่งลมนี้ก็คือหนึ่งในอสูรสัตว์ปีกที่มีรูปร่างแตกต่างกันไปตามสายพันธ์ บางตัวมองคล้ายกับอีกา บางตัวอ้วนพองเหมือนนกฮูก บางชนิดปราดเปรียวคล้ายเหยี่ยว ขนาดตัวของพวกมันล้วนใหญ่โตเกินกว่าปกติไปมากโข เรียกได้ว่าไม่มีตัวใดที่มีน้ำหนักน้อยกว่าครึ่งตัน!!