เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 690
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 690 ศาสตร์แห่งวายุ
สาเหตุถู่เฉินทําลายสัญญาณขอความช่วยเหลือมีอยู่สองประการหลักหนึ่งก็เพื่อทําลายสัญญาณไฟที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจของสัตว์อสูรโดยรอบ รวมไปถึงทําลายการชี้เป้าระบุตําแหน่งจากการโจมตีทางอากาศของฝั่งศัตรูที่ใช้หนอนยักษ์บินข้ามอากาศมาถล่มพื้นที่บริเวณดังกล่าวนั่นเอง ส่วนประการที่สองนั้นก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าหน่วยย่อยที่ยิงพลุสัญญาณกลุ่มนี้ได้มีกลุ่มเกราะเหลืองได้รับหน้าที่ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยเพื่อมิให้เกิดความสับสนอลหม่านในการจัดการหน้าที่ของแต่ละกลุ่มนั่นเอง
เวลาต่อมาหลังทําลายสัญญาณขอความช่วยเหลือ มันดึงศรีษะมุ่งลงสู่ป่าอสูรด้วยความเร็วเพิ่มนับทวีโดยมีเป้าหมายคือตําแหน่งที่ยิงพลุสัญญาณ พร้อมกับสมาชิกกลุ่มราวยี่สิบนายติดตามมันไปเป็นขบวนแถวพุ่งฝ่าต้นไม้ใบหญ้ารกทึบที่ขวางหน้าลงสู่พื้นดิน
ในครรลองสายตาของอู่เฉินมันมองเห็นเป้าหมายที่เสาะหาทันที พวกมันคือหน่วยสอดแนมหน่วยนึงพร้อมกันนั้นเองมันก็ตรวจพบศัตรูที่กําลังล้อมกรอบประกบหน้าหลังหน่วยสอดแนมหน่วยนี้อยู่โดยมีจํานวนทั้งสิ้นสามตัวที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และอีกราวสี่ถึงห้าตัวในระยะไกลออกไปที่ยังไม่ปรากฏตัว
สถานการณ์ที่หน่วยสอดแนมกําลังเผชิญนับว่ายังมีเลวร้ายเท่าไหร่นัก สมาชิกทั้งสิบยังอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไม่มีผู้ใดสูญหาย ร่างกายยังครบถ้วนสมบูรณ์ รอบบริเวณไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ระยะห่างระหว่างสัตว์อสูรและหน่วยสอดแนมก็ยังนับว่าอยู่ในระยะปลอดภัยนอกเหนือระยะโจมตีของทั้งสองฝั่ง เมื่อดูจากจุดนี้สามารถคาดเดาได้ว่าหน่วยสอดแนมกลุ่มนี้พึ่งจะถูกพบตัวโดยสัตว์อสูรได้ไม่นานนักนั่นเอง
มุมปากถู่เฉินยกยิ้ม นี่นับเป็นเรื่องดียิ่งกับทั้งสองฝ่าย หากมันมาเจอกลุ่มผู้ขอความช่วยเหลือในสถานการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง อย่างเช่นหน่วยสอดแนมกําลังปะทะกับสัตว์อสูรอย่างชุลมุนวุ่นวายการจะเข้าไปช่วยเหลือก็จะยากขึ้นไปอีก หรือถ้าฝ่ายหน่วยสอดแนมทั้งสิบกําลังตกที่นั่งลําบากกรุมทิ้งอยู่ฝ่ายเดียวก็ย่อมต้องมีผู้บาดเจ็บ และผู้บาดเจ็บเหล่านั้นก็จะเพิ่มภาระส่งผลให้พวกมัน ต้องทํางานหนักและเสี่ยงอันตรายมากขึ้นยิ่งขึ้น
สัตว์อสูรที่กําลังประจัญหน้าอยู่กับหน่วยสอดแนมบัดนี้ล้วนตกอยู่ในความสับสน พวกมันมองหน้ากันด้วยความงุนงงเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนเกินกว่ามันสมองอันน้อยนิดของพวกมันจะคิดหาทางออกได้
สัตว์อสูรที่แอบหลบซ่อนในเงามืดจากระยะไกลในตอนนี้พวกมันบางตัวได้คืบคลานมาปรากฏตัวให้เห็นพร้อมกับเข้ามารวมกลุ่มกับพรรคพวกของมันในตอนนี้จํานวนของสัตว์อสูรรวมแล้วมีทั้งสิ้นหกตัวซึ่งมากกว่าเดิมถึงสองเท่า!
“นักรบเมืองฮวางฉือ?” หนึ่งในสมาชิกหน่วยสอดแนมซึ่งมันผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของหน่วย กล่าวออกมาด้วยความฉงนเมื่อมองเห็นทหารเกราะเหลืองมาปรากฏกายต่อหน้า ด้วยสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ทําให้มันแทบไม่มีเวลาหันเหความสนใจขึ้นมองบนฟ้าจึงทําให้มันมิรับรู้ว่าในตอนนี้บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยทหารเกราะเหลืองบินว่อนไปทั่ว
“องชายค์ถู่เฉิน!!” สิ่งที่ทําให้ผู้นําหน่วยสอดแนมรายนี้แปลกใจยิ่งกว่าก็คือผู้ที่มาปรากฏตัวต่อหน้ามันคือแม่ทัพน้อยซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชายแห่งเมืองฮวางฉือ!
” ข้าได้รับคําสั่งจากแม่ทัพจื่อหมิงเพื่อมาช่วยเหลือพวกเจ้าออกจากป่าอสูร” ถู่เฉินกล่าวอธิบายภารกิจของตน
ได้ยินเช่นนั้นเหล่าสมาชิกหน่วยสอดแนมที่พึ่งจะตกระกําลําบากได้เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีล้วนมีสีหน้าแสดงถึงความปิติยินดีที่เก็บเอาไว้มิอยู่
ถู่เฉินมองกวาดตรวจสภาพแวดล้อมโดยรวมชั่วครู่ก่อนจะส่งสัญญาณมือเพื่อเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันที กลุ่มผู้ติดตามของมันแบ่งออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาฝั่งละสิบนายก่อตั้งแนวรบหน้ากระดานโดยแบ่งเป็นสองแถว แถวหน้าและหลังโดยมีสมาชิกแถวละห้านาย
วู่มมม~
ทหารเกราะเหลืองแถวหน้ายื่นแขนเกร็งกําลังชั่วครู่ พริบตาต่อมาคล้ายกับมีมวลอากาศอัดแน่นเบื้องหน้าของพวกมันเศษดิน เศษฝุ่นและใบไม้บนพื้นถูกดูดเข้าไปรวมอยู่ในกระแสลมนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ มันหมุนวนเป็นวงกลมอย่างสม่ําเสมอก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นจากการรวมพลังของคนทั้งห้าจนสามารถครอบคลุมพวกมันตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าและมีความกว้างตั้งแต่ผู้ที่อยู่ริมซ้ายสุดจนถึงริมขวา กลายเป็นกําแพงอากาศขนาดใหญ่!
ทว่า…กําแพงอากาศนี้สั่งสมสิ่งปฏิกูลอย่างเศษหินดินทรายและใบไม้เอาไว้ภายในจนบดบังทัศนวิสัยมิสามารถมองผ่านไปอีกฟากฝั่งได้ แต่ก็มิใช่ปัญหานักสําหรับผู้ควบคุมลมฟ้าอากาศอย่างทหารเกราะเหลืองผู้มากประสบการณ์ หลังกําแพงวายุเบื้องของพวกมันเข้ารูปทรงสร้างความเสถียรได้เป็นที่เรียบร้อย พวกมันทั้งห้าควบคุมการหมุนของอากาศให้ไปในทิศทางเดียวกันส่งสิ่งปฏิกูลที่บดบังสายตาออกไปยังฝั่งใดฝั่งหนึ่งคงเหลือไว้เพียงแต่กําแพงโปร่งใส
มันเป็นการป้องกันที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าการนําโล่เหล็กทรงกลมหรือทรงสี่เหลี่ยมมา วางต่อๆกันเสียอีก เพราะกําแพงวายุนี้ไม่มีจุดบกพร่องไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่จุดเดียว มันเชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเดียวด้วยพลังของทหารเกราะเหลืองทั้งห้านาย
“บินขึ้นไป!” ถู่เฉินตะโกนออกคําสั่งไปยังหน่วยสอดแนมทั้งสิบ
“???” ทั้งสิบตกอยู่ในความสับสนชั่วครู่จากคําสั่งที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้วางแผนมาก่อน แต่ก็เพียงไม่นานนักหน่วยสอดแนมทั้งสิบก็ทําตามคําบัญชากางปีกด้านหลังตีอากาศพยุงร่างขึ้นเหนือพื้นดินราวหนึ่งฟุต
ข่าห์~
สัตว์อสูรทั้งหกมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที พวกมันแสดงความดุร้ายออกมาอย่างชัดเจนเมื่อเห็นหน่วยสอดแนมทั้งสิบที่ตกอยู่ในวงล้อมมีทีท่าเปลี่ยนไป
อสูรรูปร่างคล้ายกิ้งก่าตัวหนึ่งยืนสองขากระทืบเท้าลงบนพื้นกระโจนตัวพุ่งเข้าหาหน่วยสอดแนมทั้งสิบลดระยะห่างอย่างฉับพลัน ซึ่งในตอนนี้หน่วยสอดแนมทั้งสิบยังลอยสูงจากพื้นเพียงฟุตเดียวเท่านั้น พวกมันที่ต้องการจะบินขึ้นสูงกว่านี้ยังต้องการเวลาอีกมากในการกระพือปีกอีกครั้งเพื่อเพิ่มระดับความสูง
เมื่อดูจากความเร็วของอสูรกิ้งก่า เกรงว่าก่อนที่เผ่าปีศาจทั้งสิบตนจะหนีได้นั้นคงจะถูกเจ้าอสูรร้ายโจมตีเข้าก่อนเป็นแน่แท้
วู้มมม~
ในตอนนั้นเองมีคลื่นลมผุดขึ้นมาจากพื้นดินใต้ตําแหน่งของหน่วยสอดแนมทั้งสิบยกร่างของพวกมันลอยสูงขึ้นกว่าหนึ่งเมตรอย่างรวดเร็ว ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงจังหวะเดียวกันที่สมาชิกทั้งสิบโบกสะบัดปีกของพวกมันพอดิบพอดีทําให้พวกมันเพิ่มระดับความสูงมากขึ้นกว่าสามเมตรจากพื้นดินอยู่นอกเหนือจากระยะโจมตีของอสูรกิ้งก่าไปโดยปริยาย
มองไปยังต้นตอที่ช่วยเหลือเหยื่อทั้งสิบก็คือแถวหลังของทหารเกราะเหลืองทั้งด้านซ้ายและขวานั่นเอง พวกมันคํานวนและใช้วิชาแปลกประหลาดควบคุมวายุการกระทําช่วยส่งให้หน่วยสอดแนมทั้งสิบสามารถเพิ่มระดับความสูงได้อย่างรวดเร็วและสามารถทรงตัวบนอากาศรักษาได้อย่างง่ายดาย
หน่วยสอดแนมทั้งสิบตกใจเล็กน้อยกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้รับก่อนที่พวกมันจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มระดับความสูงเร่งกระพือปีกอย่างต่อเนื่อง
!?
ทว่าเมื่อพวกมันกระพือปีกอีกไม่กี่คราจู่ๆศรีษะของพวกมันคล้ายกับชนเข้าบางอย่างที่ขวางกั้นทั้งสิบคนมิให้ลอยสูงขึ้นไปมากกว่านี้ แต่เมื่อพวกมันมองขึ้นไปด้านบนเหนือศรีษะกลับไม่พบสิ่งกีดขวางที่กําบังพวกมันเอาไว้
“นั่นคือเพดานความสูงที่ปลอดภัยสําหรับพวกเจ้า” ทหารเกราะเหลืองรายหนึ่งไขข้อข้องใจ ให้แก่พวกมันทันที แท้จริงแล้วมันคือกําแพงวายุที่เกิดจากเหล่าทหารเกราะเหลืองแถวหลังที่ทําเพื่อมิให้หน่วยสอดแนมทั้งสิบไต่เพดานขึ้นไปสูงมากกว่านี้นั่นเอง
หน่วยสอดแนมงุนงงสับสน จากคําสั่งของถเฉินที่มาให้การช่วยเหลือเห็นได้ว่าชัดว่าต้องการให้พวกมันใช้ปีกเพื่อในการหลบหนีออกจากป่าอสูรโดยที่บินขึ้นไปรวมกลุ่มกับทหารเกราะเหลืองที่บินว่อนเต็มผืนฟ้าเสียอีก? แต่ตอนนี้พวกมันยังสูงจากพื้นเพียงห้าถึงหกเมตรศรีษะยังไม่พ้นแนวต้นไม้ใหญ่เสียด้วยซ้ํา นี่มันก็ยังอยู่ในระยะอันตรายอยู่เลยมิใช่รึไง?
“มุ่งหน้ากลับเมืองปีศาจโดยรักษาระดับความสูงนี้ไว้ให้คงที่” ถู่เฉินกล่าว
“ค-ครับ” ผู้นําหน่วยตอบรับทันควันไม่สืบสาวหาเหตุผล มันกวักมือให้สัญญาณก่อนจะนําขบวนเร่งกระพือปีกมุ่งหน้าไปในแนวราบตรงสู่เมืองปีศาจ เนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาวิกฤตจึงเป็นเหตุให้ถู่เฉินและทหารเกราะเหลืองไม่มีเวลามากพอจะอธิบายกระบวนการหลบหนี หน่วยสอดแนมทั้งสิบเองก็ทําได้เพียงแต่ทําตามโดยไม่มีทางเลือกเท่านั้น