เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก - ตอนที่ 120
เปลี่ยนชีวิต พลิกชะตารัก – ตอนที่ 120: ทำลายความสามัคคี ขอโทษ (1)
ตอนที่ 120: ทำลายความสามัคคี ขอโทษ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
เฉินจงกำหมัด ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้หญิง เขาลงมือไปแล้ว
เฉินเยี่ยนมองจุดประสงค์ของเอ้อเฟิ่งออก รวมถึงตอนนั้นที่เอ้อเฟิ่งบ่นพึมพำ เธอมั่นใจว่าตัวเองเดาไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้ต้องเล็กเวยหลายชุนไว้ในใครแน่นอน เลยตั้งใจเป็นศัตรูกับพ่อและเธอแบบนี้ ตอนนี้คิดจะทำเรื่องให้ใหญ่ขึ้น โวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่จะได้ทำลายการดูตัวนี้
เฉินเยี่ยนไม่กลัวเธอโวยวาย จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ทำไป ดีเธอจะได้ดูว่าเวยหลายชุนจะจัดการยังไง มีท่าทียังไง
คิดถึงตรงนี้ เฉินเยี่ยนเดินเข้าไป จะด่ากลับ? เธอไม่ทำ แต่เธอมีวิธีที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้หุบปาก
เพียงแต่ยังไม่ทันที่เฉินเยี่ยนจะไปถึง ด้านหน้าเอ้อเฟิ่งที่โดนลุงป่าวเอินดึงอยู่ มีเสียงพูดขึ้นมา “นี่โวยวายอะไรกัน!”
หลังจากเสียงดุดังขึ้นมา เอ้อเฟิ่งเงียบลง เฉินเยี่ยนมองเห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ชายวัยกลางคนสวมแว่นตากรอบสีดำ สีหน้าดูเคร่งเครียด เขาสวมชุดใกล้เคียงกับพนักงานในสหกรณ์ แต่เฉินเยี่ยนเห็นป้ายที่หน้าอกเขา ด้านบนเขียนว่าหัวหน้าฝ่ายสหกรณ์ ชายวัยกลางคนนี้เป็นหัวหน้าที่นี่
“หัวหน้าหยวน พวกเขา พวกเขาไม่ซื้อของแล้วมาสร้างปัญหาที่นี่ พวกเขายังด่าคน แกล้งคน หัวหน้าต้องให้ความเป็นธรรมกับฉันนะคะ”
เอ้อเฟิ่งเห็นหัวหน้าหยวนมา ก็รีบเปลี่ยนสีหน้า ทำท่าดูน่าสงสาร
เฉินเยี่ยนยกมุมปาก เอ้อเฟิ่งคนนี้เล่นละครเก่งนะ ร้องไห้ฟ้องก่อน เธอคิดว่าแบบนี้จะมีเหตุผลหรือ?
หัวหน้าหยวนขมวดคิ้ว แววตาโดนเลนส์แว่นตาหนาบังอยู่ มองไม่ชัดเจน แต่เฉินเยี่ยนรู้สึกได้ว่าหัวหน้าหยวนคนนี้เป็นคนเคร่งขรึม
เฉินเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรเลย เรื่องวันนี้ไม่ได้อยู่ที่เสียงดัง ความผิดก็ไม่ได้อยู่ที่เธอ ดังนั้นเธอไม่กลัว
“สหายคนนี้ ไม่ใช่แบบที่เธอบอก เธอเป็นคนด่า เมื่อกี้ทุกคนก็ได้ยิน อย่ามาโทษพวกเรา”
เฉินเยี่ยนไม่พูด ไม่ได้หมายความว่าเฉินจงจะไม่พูด ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีหัวหน้า แต่เฉินจงไม่ได้ประหม่าเลย
“พวกคุณพูดมา เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หัวหน้าหยวนไม่ได้ฟังแค่คำพูดของเอ้อเฟิ่ง แต่อยากจะฟังความจริง
เอ้อเฟิ่งชิงพูดก่อน เฉินจงก็พูด ลุงป่าวเอินก็พูดแทรกขึ้นบ้าง แล้วยังมีพนักงานคนอื่นก็เล่าเรื่องตามที่รู้ เสียงพูดดังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน เฉินเยี่ยนคิดว่าหัวหน้าคนนั้นน่าจะปวดหัว พูดพร้อมกันขนาดนี้ ฟังเข้าใจสิแปลก
จู่ๆ เธอนึกถึงละครเรื่องหนึ่งที่เคยฟังมา ผู้จัดการฟังลูกน้องผู้หญิงเถียงกันจนปวดหัว เลยพูดมาประโยคหนึ่ง “คนน่าเกลียดพูดก่อน” จากนั้นก็ไม่มีคนพูดเลย
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ใครน่าเกลียดคนนั้นพูดก่อน”
เฉินเยี่ยนพูดประโยคนี้ขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าคนยุคนี้จะเข้าใจมุขนี้หรือไม่ แต่คำว่าน่าเกลียดทุกคนน่าจะเข้าใจกันหมด
พอเฉินเยี่ยนพูดประโยคนี้ออกมา ในสหกรณ์เงียบลงจริงด้วย ไม่ว่าจะเอ้อเฟิ่ง เฉินจง รวมไปถึงลุงป่าวเอินที่นานๆ จะพูดเสริมที เวยหลายชุน แล้วยังพนักงานคนอื่น แต่ละคนต่างเงียบเสียง คนที่มามุงดูอยู่ข้างๆ ต่างมองฝั่งนี้ ฝั่งนั้น คิดในใจ คนไหนน่าเกลียด? คนไหนจะพูดก่อนนะ?
หัวหน้าหยวนก็มอง ถ้าเรียงตามคนที่ทะเลาะกัน ควรจะเป็นเอ้อเฟิ่งพูดก่อน เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะให้เอ้อเฟิ่งพูด เฉินเยี่ยนก็พูดขึ้นมา “ไม่พูดกันแล้วใช่ไหม? งั้นฉันพูดนะ”
เฉินเยี่ยนพูดคำนี้ขึ้นมา ทุกคนต่างตกใจ ถ้าพูดถึงความน่าเกลียดยังไงก็ไปไม่ถึงเฉินเยี่ยน นัยน์ตาเวยหลายชุนก็ฉายแววประหลาดใจ สายตาที่มองเฉินเยี่ยนดูลึกซึ้งขึ้นมาเป็นสองเท่า
“วันนี้ฉันกับพ่อมาสหกรณ์ ฉันกับพ่อเตรียมจะซื้อผ้า ซื้อเนื้อ แล้วยังมีอาหารกระป๋อง ฉันดูอยู่ตรงนี้ พ่อฉันดูอยู่ที่ฝั่งสหายคนนั้น สหายหญิงคนนี้”
เฉินเยี่ยนพูดมาถึงตรงนี้ก็ชี้ไปที่เอ้อเฟิ่ง แล้วพูด “เธอบอกว่าพ่อฉันเป็นลุงบ้านนอก บอกว่าสหายเวยคนนั้นว่าไม่ต้องสนใจพ่อฉัน แล้วยังบอกว่าไม่มีปัญญาซื้อไม่ต้องไปมอง จากนั้นเธอเห็นสหายเวยไม่ได้สนใจเธอ ก็เลยมาระบายอารมณ์ลงที่ฉัน ไล่ให้ฉันไป ฉันแค่อยากจะถาม ไม่ได้พูดเรื่องอื่น สหกรณ์นี้เป็นของรัฐ เป็นของประชาชน พวกเราเป็นประชาชนมาซื้อของที่นี่ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้กับพวกเรา เธอทำแบบนี้ถูกไหม?”
เสียงเฉินเยี่ยนไม่เบา พูดจริงจัง โยนความผิดให้คนอื่น ใครทำไม่เป็น
คำพูดเธอสร้างเสียงฮือฮาให้คนที่มามุงดู มีหลายคนเข้าข้างเธอ บอกว่าเอ้อเฟิ่งไม่ถูก เพราะพวกเขามาซื้อของที่นี่ เอ้อเฟิ่งก็ชอบทำหน้าบึ้ง ท่าทีไม่ดี ในใจทุกคนย่อมไม่พอใจ แต่ก็ชินแล้ว เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้เฉินเยี่ยนพูดแบบนี้ พวกเขาก็คิดว่าเฉินเยี่ยนพูดถูก พวกเขาเสียเงิน เสียตั๋ว ทำไมถึงต้องทำกับพวกเขาแบบนี้!
หัวหน้าหยวนฟังคำพูดเฉินเยี่ยนก็ขมวดคิ้ว เฉินเยี่ยนพูดถูก แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเอ้อเฟิ่งทำอะไรไม่ถูก ในสหกรณ์มีของมากมาย มีหลายอย่างที่เป็นของที่มีความต้องการสูง มีเงินมีตั๋วก็ไม่ใช่ว่าจะขายให้ได้ ต้องดูฐานะหน้าตา ดังนั้นทุกคนต่างเคารพต่างประจบ เพื่อเวลามีของอะไรจะได้ขายให้เขา ท่าทีของเอ้อเฟิ่งมีปัญหาอยู่จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“เธออย่าพูดมั่วๆ พวกเธอมาซื้อของงั้นหรือ? พวกเธอมีปัญญาซื้อหรือ? พวกเธอมีเงินมีตั๋วไหม? พวกเธอไม่มีเลย พวกเธออยากจะขอเครดิต ฉันจะบอกให้”
เอ้อเฟิ่งไม่ยอมเป็นฝ่ายผิดอยู่แล้ว พูดตอบโต้เสียงดัง
“สหายคนนี้ พวกเราที่นี่เป็นสหกรณ์ในอำเภอ ไม่มีกฎให้เครดิต คุณไม่มีเงินไม่มีตั๋วก็มาสร้างความวุ่นวายที่นี่ไม่ได้”
หัวหน้าหยวนคิดว่าเฉินเยี่ยนไม่ถูกเสียทีเดียว
เฉินเยี่ยนเหลือบมองเธอ แววตาประหลาดใจพูดขึ้นมา “ใครบอกว่าพวกเราไม่มีเงินไม่มีตั๋ว? พวกเราบอกว่าไม่ซื้อ ต้องการเครดิต? พ่อเอาเงินกับตั๋วออกมาให้พวกเขาดู มาซื้อของดีๆ ยังกลายมาโดนชื่อเสียงแบบนี้ น่าโมโหจริงๆ”
สิ้นคำพูดเฉินเยี่ยน เฉินจงไม่พูดอะไรล้วงกระเป๋าหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ ในผ้าเช็ดหน้ามีตั๋วหลายชนิดและเงินอยู่ในนั้น
เฉินเยี่ยนไม่เคยขาดแคลนตั๋วเลย เพราะพวกเขาส่งบุหรี่ให้แต่ละที่ แต่ละที่ไม่ได้ให้ตั๋วบุหรี่พวกเขามา จะให้ตั๋วต่างชนิดกับพวกเขา ดังนั้นเลยมีตั๋วทุกอย่าง
ได้ยินเสียงวิจารณ์รอบด้าน มองตั๋วและเงินบนเคาน์เตอร์ หัวหน้าหยวนรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า พวกเขาไม่ใช่ไม่มีปัญญาซื้อ ตั๋วเยอะขนาดนี้ อยากจะซื้ออะไรก็ได้ เขามองเอ้อเฟิ่ง เป็นเพราะเอ้อเฟิ่งสร้างเรื่อง
เอ้อเฟิ่งก็คิดไม่ถึงเลยว่าในตัวเฉินจงจะมีเงินแล้วมีตั๋วอีก เธอก็อึ้งไป พูดอย่างตื่นเต้น “เป็นเพราะเขา! เขาเป็นคนบอกก่อนว่าไม่ได้เอาตั๋วกับเงินมาจะขอเครดิต เขาพูดแบบนั้นจริงๆ ไม่เชื่อถามต้าชุนดู”
เอ้อเฟิ่งรู้สึกว่าโดนรังแก เธอไม่ได้ฟังผิดแน่นอน
หัวหน้าหยวนมองไปทางต้าชุน เวยหลายชุนมองทางนี้ที แล้วก็มองทางนั้น เขาจะพูดยังไงดี?
“คุณลุงท่านนี้อยากจะซื้อหลอดไฟ แต่เขาบอกว่าไม่มีตั๋ว ถามว่าสามารถเก็บไว้ให้เขาได้หรือไม่ ครั้งหน้าเขาจะมาซื้อ ผมบอกว่าพวกเราที่นี่ไม่มีกฎนี้ จากนั้นพี่เอ้อเฟิ่งก็ตะโกนเรียกผม บอกให้ผมไม่ต้องไปสนใจลุงคนนี้ บอกว่าเป็นลุงบ้านนอกไม่มีปัญญาซื้อ”
เวยหลายชุนพูดความจริง แต่ถ้าฟังดีๆ เขาแอบลำเอียงไปทางบ้านเฉินหน่อย
หัวหน้าหยวนมองเฉินจง
ฝั่งเฉินจงกลับพูดว่า “สหายเวยคนนี้พูดไม่ผิด พวกเราไม่มีตั๋วหลอดไฟนี่จริงๆ พ่อฉันได้ยินว่ามันทำให้สว่างได้ อยากจะซื้อกลับไป แต่พ่อฉันไม่รู้ว่าหลอดไฟนี่ไม่มีไฟ ซื้อกลับไปก็ไม่สว่างอยู่ดี เพราะพวกเราคนในหมู่บ้านไม่มีไฟฟ้าเลย พ่อฉันเห็นหลอดไฟนี่แปลกใหม่ เลยถามว่าช่วยเก็บไว้ให้ได้ไหม นี่ก็ผิดแล้วหรือ? อีกอย่างพวกเราวันนี้มาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อหลอดไฟ พวกเราต้องการมาซื้อผ้าและอาหารกระป๋อง ถามเรื่องหลอดไฟก็ไม่ได้หรือ?”
—————-