เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 176 สุดยอด! ลูกค้าวีไอพีของธนาคาร!
ฉินอวี่กับเจ้าพนักงานสองคนที่กำลังจดบันทึกหารือเรื่องขอภาพกล้องวงจรปิดกับพนักงานของโรงแรมอยู่ตลอด เพราะภาพกล้องวงจรปิดของโรงแรมอวิ๋นติ่งนั้นขอไม่ง่าย
หลังเจอเพชรในมือฉินหลิงแล้ว คนส่วนใหญ่ในที่เกิดเหตุต่างก็คิดว่าจะมีกล้องวงจรปิดหรือไม่ไม่สำคัญแล้ว
ใครจะรู้ว่า เมื่อหลี่ชิวมาถึง เพชรในมือฉินหลิงไม่ใช่ของหลี่ซวงหนิงไม่พอ
ผู้จัดการหวังยังเอาภาพกล้องวงจรปิดมาให้ฉินหร่านโดยเฉพาะ
ตอนนี้อย่าว่าแต่ฉินอวี่กับหลี่ชิวเลย แม้แต่ผู้เฒ่าหลินก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นมองฉินหร่านทันใด
ฉินหร่านรับแท็บเล็ตมานิ่งๆ
ผู้จัดการหวังยืนหายใจหอบอยู่ข้างฉินหร่าน
“คุณหนูฉิน ภาพกล้องวงจรปิดของล็อบบี้ที่คุณขออยู่ตรงนี้ นี่เป็นกล้องวงจรปิดของทางเดิน…” เขาใช้มือหนากดหน้าจอแท็บเล็ต
กล้องวงจรปิดของโรงแรมอวิ๋นติ่งชัดเจนมาก
เมื่อฉินหร่านเจอภาพกล้องวงจรปิดที่ตัวเองต้องการก็ขยายจอ
เธอไม่ได้ปกปิด หลินฉีกับฉินฮั่นชิวต่างก็เห็นเช่นกัน
ฉินฮั่นชิวถอนหายใจอย่างแรง
ฉินหร่านโยนแท็บเล็ตให้หลี่ชิว “ตั้งใจดูเอาเอง!”
ใบหน้าฉลาดหลักแหลมของหลี่ชิวมีความตกใจปรากฏให้เห็นครั้งแรก เธอก้มหน้ามองหน้าจอแท็บเล็ต
ลดความเร็วของภาพกล้องวงจรปิดลงแปดเท่า ฉินหลิงเดินก้มหน้าชนหลี่ซวงหนิงเข้าโดยไม่ทันระวัง ตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย แม้จะลดความเร็วลงแปดเท่า มือที่ปล่อยไว้ข้างลำตัวของฉินหลิงไม่เคยแตะต้องหลี่ซวงหนิงเลย
ภาพกล้องวงจรปิดภายหลัง ฉินหลิงไม่ได้เฉียดเข้าใกล้หลี่ซวงหนิงในระยะสามเมตรเลยด้วยซ้ำ
หลี่ซวงหนิงกับหลี่ชิวถูกการ์ดคุ้มกันอย่างแน่นหนา
หากฉินหลิงจะขโมยหัวใจแห่งความฝันบนตัวหลี่ซวงหนิงในเวลาแบบนี้ มันฝันกลางวันชัดๆ
สีหน้าของหลี่ชิวเปลี่ยนไป ตอนที่สร้อยคอของหลี่ซวงหนิงหาย พวกป้าสะใภ้กับคุณย่าก็พูดทันทีว่าเป็นฉินหลิง เธอก็หาสร้อยคอไม่เจอในละแวกนี้ จึงปักใจเชื่อว่าฉินหลิงเป็นคนขโมย
ตอนนี้เรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ เด็กคนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสร้อยคอเลย
เรื่องนี้เป็นประเด็นรอง ผู้จัดการหวังของโรงแรมอวิ๋นติ่งออกหน้านำภาพกล้องวงจรปิดมาให้เองกับมือ นี่เป็นเรื่องที่หลี่ชิวหวาดกลัวที่สุด
เธอมองการแต่งตัวของฉินหลิงกับฉินฮั่นชิว แน่ใจว่าสองคนนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร จึงขี้เกียจแม้แต่จะเอ่ยชื่อของตัวเอง ตอนนี้…
“คุณผู้หญิงท่านนี้ ทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิด” หลี่ชิวหักได้งอได้ เธอคืนแท็บเล็ตกับเพชรในมือให้ฉินหร่าน
เธอพูดขอโทษฉินหร่านกับพวกฉินฮั่นชิว
เพราะเป็นผู้จัดการ เธอจึงแยกแยะได้ดี และมีความยืดหยุ่น แถมยังทิ้งนามบัตรไว้ให้ฉินฮั่นชิวอีกด้วย
แสดงให้เห็นว่าจะแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ จากนั้นก็กุลีกุจอกลับไปหาสร้อยคอต่อ
ฉินอวี่เอาภาพกล้องวงจรปิดมาดูแล้วดูอีกอย่างไม่ยอมตายใจ รวมถึงฉินหร่านมาถึงโรงแรมภายหลัง ไม่มีข้อพิพาทอะไรกับหลี่ซวงหนิง
หลี่ชิวเดินมาอย่างสง่าผ่าเผย ยามกลับไป ความผ่าเผยลดลงเกือบครึ่ง
ญาติๆ ฝั่งสกุลหนิง ทั้งป้าสะใภ้กับคุณย่าต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ตอนนี้ ไม่กล้าเอ่ยปากเลย
“ยังไงก็ครอบครัวเดียวกัน” ผู้เฒ่าหลินที่ปิดปากเงียบมาตลอดก้าวออกมา กระแอมแล้วพูดว่า “ความเข้าใจผิดคลี่คลายก็ดีแล้ว เสี่ยวหลิงใช่ไหม เหมือนพี่สาวนายจริงๆ ทุกคนเตรียมตัวกันเถอะ ฉันจะจัดห้องให้…”
พวกป้าสะใภ้คล้อยตามคำพูดของผู้เฒ่าหลิน สีหน้าที่กระวนกระวายในตอนแรกก็คลายลง
“ไม่มีใครขอโทษหน่อยเหรอ” ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อยๆ ผ่อนคลาย จู่ๆ เสียงเฉยชาก็ดังขึ้นเบาๆ
เสียงพูดคุยระหว่างเครือญาติเงียบลง
เมื่อไม่มีใครพูดอะไรแล้ว ฉินหร่านถึงได้เอี้ยวตัว กวาดสายตามองทั่วห้องรับรอง สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่หลินฉีกับญาติๆ ฝั่งสกุลหนิง “ต่อให้พวกคุณไม่เชื่อเขา แต่ก็น่าจะรอภาพกล้องวงจรปิดได้ อดรนทนไม่ไหวต้องบีบคั้นเด็กคนนี้แบบนี้เลยเหรอ คุณอาหลิน ฉันคิดว่า ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ อย่างน้อยคุณน่าจะพูดอะไรบ้าง”
หลินฉีเงียบลงครู่หนึ่ง “หรานหร่าน…”
ผู้เฒ่าหลินรีบมองฉินฮั่นชิวทันที “ต้องขอโทษจริงๆ เพื่อแสดงความเสียใจ สกุลหลินของเราจะจัดหางานในอวิ๋นเฉิงให้คุณ…”
หากไม่มีฉินหร่าน ผู้เฒ่าไม่มีทางจัดการแบบนี้แน่นอน
เขามองออกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฉินหร่านกับฉินฮั่นชิวดีกว่าเธอกับหนิงฉิงมาก
การลงทุนครั้งนี้มันคุ้มค่า
นักธุรกิจให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเมื่อไรก็แสดงออกให้เห็นอยู่เสมอ
สายตาของญาติฝั่งสกุลหนิงที่มองฉินฮั่นชิวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอิจฉา
“ไม่ดีกว่าครับ” ฉินฮั่วชิวที่เงียบมาตลอดเงยหน้าขึ้น เขามองฉินอวี่แวบหนึ่งแล้วหันมาหาผู้เฒ่าหลิน “สกุลหลินผมไม่อาจเอื้อมหรอก!”
“ผมขอแสดงความยินดีกับคุณหนูฉินมา ณ ที่นี้ ขอให้อนาคตสดใส!” ฉินฮั่นชิวจดจ้องไปที่ฉินอวี่
สุดท้ายก็หันไปหาฉินหร่านกับฉินหลิง “หรานหร่าน เสี่ยวหลิง พวกเราไปกันเถอะ”
ตอนแรกฉินหร่านมีเรื่องอยากพูด แต่เมื่อเห็นฉินฮั่นชิวทำเช่นนี้ เธอก็นิ่งไป จากนั้นก็ตามหลังเขาออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ
“คุณน้าเขย รอฉันด้วย!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งรีบวิ่งออกมา
ในเวลาแบบนี้ ไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจกับคนตัวเล็กๆ อย่างชายวัยกลางคนแล้ว
“พ่อ!”
“ฉินฮั่นชิว!”
“ฮั่นชิว!”
คำพูดของฉินฮั่นชิว ทำให้ฉินอวี่ หนิงฉิงและครอบครัวฝั่งสกุลฉินต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยความตะลึง
ฉินอวี่เม้มปาก วันนี้เธอไม่คิดเลยว่าฉินฮั่นชิวที่ประคบประหงมเธอมาตั้งแต่เด็กจะเลือกยืนตรงข้ามกับเธอ
เธอไม่สนใจความรักที่ฉินฮั่นชิวมีให้ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจไยดีเธอขึ้นมาจริงๆ เธอกลับรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะความวุ่นวายในวันนี้ ทำให้งานเลี้ยงของเธอกลายเป็นเหมือนเรื่องตลกไปแล้ว
ผู้เฒ่าหลินรู้ว่าเบื้องหลังของผู้จัดการหวังคืออะไร เมื่อเห็นท่าทีของฉินหร่านกับฉินฮั่นชิว ก็กระวนกระวายใจขึ้นมา
“คุณฉิน หรานหร่าน เรื่องนี้…”
ปัง
ฉินหลิงเหลียวมองคนสกุลหลินด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปิดประตูห้องรับรอง
…
“ป้าจาง จัดการเรื่องแขกให้เรียบร้อยก่อน” ผู้เฒ่าหลินเงียบไปครู่หนึ่ง
ป้าจางจึงพาญาติๆ สกุลหนิงไปที่ห้องพัก
สกุลหลินจองห้องสแตนดาร์ด ทุกห้องมีสองเตียง ไม่ใหญ่ แต่สภาพแวดล้อมและบริการดีเยี่ยม
“ไม่รู้จริงๆ ว่าฉินฮั่นชิวคิดอะไรอยู่ สกุลหลินไว้หน้าเขาขนาดนั้นแล้วแท้ๆ” ป้าสะใภ้มองห้องพักที่สวยงามและสะอาดสะอ้าน อดบ่นไม่ได้ว่า “แต่เขายังจะกลับไปอีก”
“ก็เพราะฉินหร่านแท้ๆ” คุณย่ากดเสียงต่ำลง “มองไม่ออกเหรอว่าฉินหร่านกับฉินอวี่ไม่ถูกกันน่ะ ก่อนหน้านี้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉินฮั่นชิวโง่ไม่เอาไหน ฉันว่าน่าจะจริง ถึงว่าหนิงฉิงหย่ากับเขา โอกาสดีๆ แบบนี้ ถ้าให้ฉันคงดีนัก”
“คนที่โง่ที่สุดคือโจวต้าเจี้ยนไม่ใช่หรือไง อยู่ดีไม่ว่าดี ไม่เกี่ยวกับเขาสักหน่อย สุดท้ายกลับตามฉินฮั่นชิวไปซะแล้ว” คุณย่าเหยียดปากแล้วมองห้องสวยอีกครั้ง “สมน้ำหน้าไม่ได้พักห้องที่สวยขนาดนี้!”
ณ ห้องรับรองชั้นล่าง
หนิงฉิงมองไปทางที่ฉินฮั่นชิวกับฉินหร่านออกไป จากนั้นก็มองฉินอวี่พลางส่ายหน้า “ฉินฮั่นชิวนิสัยแบบนี้แหละ ให้ตายก็ไม่ไต่ขึ้นที่สูง ตอนนั้นแม่บอกเขาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เขากลับพอใจกับงานโรงงาน หลายปีมาแล้ว ก็ยังไม่ก้าวหน้า”
เฉินซูหลานชอบฉินฮั่นชิวมากทีเดียว แต่สิ่งที่หนิงฉิงไม่ชอบในตัวสองคนนี้มากที่สุดก็คือ ไม่มีความทะเยอทะยานเลยแม้แต่นิด
พอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สถานการณ์อะไรก็มีชีวิตอยู่ได้
สุดท้ายก็หย่าร้างเพราะหนิงฉิงทนไม่ไหวแล้ว
ฉินหร่านในตอนนี้เหมือนฉินฮั่นชิวราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
นึกถึงตอนที่เจออาจารย์เว่ยในโรงพยาบาลครั้งก่อน หนิงฉิงก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาอีกแล้ว
เธอมองฉินอวี่แวบหนึ่ง สุดท้ายความสงสัยก็ไม่ถูกเอ่ยออกมาอยู่ดี
เมื่อได้ฟังคำพูดของหนิงฉิง ฉินอวี่ก็พยักหน้า ความกลัดกลุ้มในใจก็จางหายไปเล็กน้อย
ฉินอวี่ปรับอารมณ์ จากนั้นก็มองผู้เฒ่าหลิน “คุณปู่ หนูไปดูแลนักเรียนของอาจารย์นะคะ”
ผู้เฒ่าหลินพยักหน้า ไม่ได้ตามเธอไป
หลังทั้งคู่ออกไปแล้ว
ผู้เฒ่าหลินถึงได้ถอนหายใจยาวเหยียด เขามองหลินฉี “ฉินหร่านรู้จักผู้จัดการหวังได้ยังไง”
ฉินอวี่กับหนิงฉิงอยู่ในครอบครัวสกุลหลินมานานหลายปี อันที่จริงไม่ได้เข้าสู่แวดวงสกุลหลินอย่างแท้จริง เห็นได้จากครั้งก่อนที่หนิงฉิงไม่รู้จักอวิ๋นกวงกรุ๊ปเลยด้วยซ้ำ
หนิงฉิงคิดว่าตัวเองปิดซ่อนได้ดีมาก เธอไม่รู้ ไม่เคยแสดงออกให้เห็นเพื่อปิดบังความตื้นเขินของตัวเอง
แต่สายตาเฉียบแหลมของผู้เฒ่าหลินจะมองไม่ออกงั้นเหรอ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลินฉีส่ายหน้า “ผมเคยตรวจสอบ ฉินฮั่นชิวเป็นเด็กกำพร้า ต้นตระกูลของสกุลหนิงเป็นชาวนา ไม่มีร่องรอยอื่นๆ เลยแม้แต่นิด”
หลินฉีแต่งงานใหม่ใช่ว่าจะคว้าใครก็ได้มาแต่งด้วย สกุลหลินเป็นตระกูลใหญ่กิจการก็ใหญ่เช่นกัน เขาตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของหนิงฉิงแล้ว ยืนยันได้ว่าภูมิหลังสะอาด ไม่เป็นภัยต่อหลินจิ่นเซวียน ถึงได้แต่งงานด้วย
มีเรื่องหนึ่งที่แปลกคือ ภูมิหลังสะอาดเกินไป
หลินฉีไปตรวจที่ที่อยู่ของเฉินซูหลานในเขตหนิงไห่ด้วยตัวเองถึงได้วางใจ
“งั้นก็น่าแปลก…” ครั้งก่อนผู้เฒ่าหลินยังพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ครั้งนี้กลับนึกเสียใจเสียแล้ว
“อวิ๋นกวงกรุ๊ป แม้แต่สกุลเสิ่นเองก็เทียบไม่ได้…”
พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปากได้ถูกเวลา “นายท่าน ฉินฮั่นชิวเป็นกรรมกรในโรงงานมาตลอด หากว่าเป็นคนของอวิ๋นกวงกรุ๊ปจริง เขาจะไปทำงานในโรงงานอีกทำไม อีกอย่าง…เมื่อครู่ป้าจางพูดถูก วันนี้เป็นวันพุธ เวลานี้โรงเรียนอีจงยังเรียนอยู่ใช่ไหม แต่คุณหนูฉินกล้าโดดเรียน ตอนนั้นคุณชายสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน แต่ไม่เคยขาดเรียนแม้แต่คาบเดียว นี่เป็นปัญหาด้านทัศนคติ ไปได้ไม่ไกลหรอก”
พ่อบ้านส่ายหน้า
แต่เรื่องกล้องวงจรปิดจะอธิบายอย่างไรล่ะ
ผู้เฒ่าหลินคิดไม่ตก แต่ตอนนี้ทำได้แค่คล้อยตามความคิดของพ่อบ้าน เขาเงียบไป
ฉินอวี่เป็นคนที่ขอแค่มีโอกาสก็จะคว้าไว้ให้แน่นแล้วไต่เต้า ขอเพียงให้โอกาสเธอ เธอก็จะไต่เต้าไม่หยุด
ผู้เฒ่าหลินก็รู้ดีว่า ไต้หรานเป็นสะพานของฉินอวี่
ฉินหร่านแปลกคนเกินไปแล้ว เธอดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรเลย
ผู้เฒ่าหลินพยักหน้า นับว่าเห็นด้วยกับคำพูดของพ่อบ้านแล้ว
ตอนนี้ฉินฮั่นชิวกับฉินหร่านนับว่าตัดสัมพันธ์กับสกุลหลินแล้ว ผู้เฒ่าหลินก็ทำได้แค่เชื่อมั่นในคำพูดของพ่อบ้าน ทำได้เพียงพยายามนึกถึงประวัติด่างพร้อยของฉินหร่าน จึงจะทำให้จิตใจของตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
แต่ในใจยังคงเป็นกังวล ยังคงมีความไม่แน่ใจที่ไม่ค่อยชัดเจนปนอยู่บ้าง
…
ด้านนอก
โจวต้าเจี้ยนมองฉินหร่านอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “หรานหร่านสินะ เธอเรียกฉันว่า…ลุงก็แล้วกัน”
วกไปวนมา ความสัมพันธ์ซับซ้อนเช่นนี้ โจวต้าเจี้ยนจึงหาคำเรียกแทนตัวเองส่งๆ ไป
ญาติฝั่งสกุลหนิงฉินหร่านไม่รู้จักเลย
เธอกำลังโทรศัพท์อย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองโจวต้าเจี้ยน พยักหน้า พูดอย่างสุภาพมากว่า “คุณลุง”
ใบหน้ากร้านแดดของโจวต้าเจี้ยนมีรอยยิ้ม “อ้อ จริงสิ ในมือเสี่ยวหลิงเป็นเพชรจริงเหรอ”
เขาชี้ก้อนหินในมือฉินหลิง
ฉินหร่านยังไม่ทันพูดอะไร ฉินฮั่นชิวก็พูดขึ้นมาว่า “ลูกแก้วละมั้ง เพชรที่ไหนจะน่าเกลียดขนาดนี้”
เพราะไม่เคยผ่านการเจียระไน ผิวก้อนหินจึงไม่เรียบเอาเสียเลย
“อ้อ ถึงว่า” โจวต้าเจี้ยนพยักหน้า ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฉันก็ว่าอยู่จะมีเพชรที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ไง”
เขาเคยเห็นแหวนเพชรของญาติ แค่เม็ดเล็กๆ ได้ยินว่าหนึ่งหมื่นกว่าแล้ว เพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ต้องกี่หมื่นกันนะ
“ต้าเจี้ยน นายไม่เห็นต้องตามฉันมาเลย คนอย่างฉันมันไม่มีความทะเยอทะยาน” ฉินฮั่นชิวถอนหายใจ “นาย…”
“ไม่เป็นไร แม่บ้านคนนั้นทำท่าเย่อหยิ่งจองหอง ฉันไม่ชอบ” โจวต้าเจี้ยนรีบโบกมือเป็นพัลวัน “อีกอย่างบอกตามตรงนะลูกสาวคนรองของนายก็แค่อยากอวดละมั้ง แค่ข้าวมื้อเดียว ไม่ได้อะไรสักหน่อย แต่โอกาสของนายต่างหากที่น่าเสียดาย…”
คำว่า ‘ญาติยากจนไร้การศึกษามาเอาเปรียบอย่างพวกคุณ’ ของป้าจางจดจำไว้ในสมองแล้ว
โจวต้าเจี้ยนเป็นเพื่อนร่วมงานของฉินฮั่นชิว และมีความสัมพันธ์เป็นญาติกันด้วย
ณ ตอนนั้นความเลือดร้อนปะทุ
“โอกาสอะไรกัน เมื่อก่อนมีคนชวนฉันไปถ่ายหนังฉันยังไม่ไปเลย! หรานหร่าน พ่อจะพาลูกไปกินข้าว” ฉินฮั่นชิวทิ้งความหดหู่ในใจ จากนั้นก็มองฉินหร่าน “ลูกอยากกินอะไร กินเสร็จพ่อค่อยกลับหนิงไห่พรุ่งนี้เช้า”
ฉินหร่านมองทั้งสามคน “ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวหนูจะหาโรงแรมให้ ละแวกโรงเรียนหนูนั่นแหละ”
เธอโบกเรียกแท็กซี่ทันที
แท็กซี่พาพวกเขามาส่งที่หน้าโรงเรียนเหิงชวนอีจง
ทั้งสี่คนลงจากรถ ฉินหร่านไม่มีเงินสดติดตัว ธนาคารก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน
ฉินหร่านครุ่นคิด จึงไปธนาคารก่อน
ระหว่างทาง เธอส่งข้อความหาลู่จ้าวอิ่ง เพื่อถามเลขที่บัญชีของเฉิงเจวี้ยน
ผ่านไปพักหนึ่ง ลู่จ้าวอิ่งถึงได้ส่งตัวเลขแถวหนึ่งกลับมา และลงท้ายว่า
‘ค่าผ่าตัดสามพันหยวน’
ฉินหร่านมาถึงธนาคารอย่างคุ้นเคย
ผู้จัดการธนาคารจำเธอได้ในแวบเดียว รีบเข้ามาต้อนรับอย่างอ่อนน้อม “คุณหนูฉิน ต้องการทำธุรกรรมอะไรเหรอครับ ธนาคารของเรา…”
พาพวกเขาเข้าไปในห้องรับรองวีไอพี
แถมยังชงชาให้ด้วย
ผู้จัดการธนาคารให้บริการอย่างระมัดระวัง สุภาพเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนูฉิน นี่เป็นชาที่เพิ่งได้มาใหม่…”
ฉินหร่านนวดขมับ วุ่นวายจริงๆ
“โอนเงิน ถอนเงิน” เธอหยิบบัตรกับบัตรประชาชนออกมา
ยกมือขึ้นแล้วโยนใส่โต๊ะ
ผู้จัดการปิดปากฉับทันที จากนั้นรีบไปจัดการธุรกรรมให้เธอด้วยตัวเอง
ฉินฮั่นชิวกับโจวต้าเจี้ยนต่างก็มองฉินหร่านอึ้งๆ ด้วยความหวาดระแวง แถมยังกลัวว่าถ้วยชาที่ถือจะเป็นของโบราณ ไม่กล้าดื่มแม้แต่คำเดียว
ณ ห้องพยาบาลโรงเรียน
ลู่จ้าวอิ่งเหยียดปาก เขามองเฉิงเจวี้ยน “ท่านเจวี้ยน สามพันหยวน นายใจร้ายกับฉินเสี่ยวหร่านเกินไปหรือเปล่า สามร้อยหยวนก็พอแล้ว!”
เฉิงมู่ที่อยู่ข้างๆ มองทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาคิดว่าท่านเจวี้ยนก็ใจร้ายกับเขาแบบนี้เหมือนกัน
ติ้ง
มีข้อความถูกส่งเข้ามือถือของเฉิงเจวี้ยน
ลู่จ้าวอิ่งชะโงกหน้ามาดู “ฉินเสี่ยวหร่านจนขนาดนี้ สามพันหยวนจะโอน…โอน…”