เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 67 บอสฉินคือบอสใหญ่ที่แท้จริง
ตอนที่ 67 บอสฉินคือบอสใหญ่ที่แท้จริง
ลู่จ้าวอิ่งมองไปทางชีเฉิงจวินราวกับเจอผี
เมื่อวานตอนที่เขาโทรศัพท์หาชีเฉิงจวิน อีกฝ่ายก็อยู่ที่สนามบิน
ลู่จ้าวอิ่งคิดมาตลอดว่าชีเฉิงจวินรู้ข่าวล่วงหน้า
“ไม่ได้มีอะไรผิดพลาดใช่ไหม เกิดอะไรขึ้นกับ129กันแน่” ลู่จ้าวอิ่งนานๆ ทีจะเอาจริงเอาจัง เขาหุบรอยยิ้มแล้วพูดว่า “งานเล็กๆ แบบนี้พวกเขาก็รับเหรอ”
ลู่จ้าวอิ่งรับไม่ได้ ถึงเขาเคยพบสมาชิกหลักๆ ของ129มาไม่มาก รู้เพียงว่าภายในมีคนเทพๆ อยู่สองสามคน หนึ่งในนั้นยังมีคนที่ค่าตัวแพงและจัดการยากสุดๆ ด้วย…
แต่เกี่ยวอะไรกับเด็กน้อยน่าสงสารบ้านพวกเขากัน?
ส่วนฉินหร่านเป็นสมาชิกของ129เหรอ
อย่าล้อเล่นเลยน่า
ลู่จ้าวอิ่งไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้สักนิดเดียว
เฉิงเจวี้ยนหรี่ตาลงเช่นกัน ไม่ได้สนใจหุ่นมนุษย์ของเขาอีกต่อไป แต่ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วหันไปพยักพเยิดใส่ชีเฉิงจวิน “ว่ามา”
“ก็…” ชีเฉิงจวินครุ่นคิด “ไม่ได้ถามอะไรมาก เหมือนจะเป็นคนแซ่เฟิงคนหนึ่ง”
“ฉันรู้แล้ว!” ลู่จ้าวอิ่งตบโต๊ะดังป้าบ ดูเหมือนจะจับใจความบางอย่างได้ “น้าเจียงเคยบอกฉัน เฟินโหลวเฉิงกับหัวหน้าสำนักงานสันติบาลเคยติดต่อกันมาก่อน เขาเป็นผู้กุมอำนาจอันดับหนึ่งในอวิ๋นเฉิง จะว่าไปแล้วการที่ทำให้ขึ้นศาลเร็วขนาดนี้ก็เพราะเฟิงโหลวเฉิงเข้ามาแทรกแซง”
เฉิงเจวี้ยนมีความทรงจำกับเฟิงโหลวเฉิงอยู่บ้าง มีคนที่มีฝีมือคนหนึ่งกำลังจะเลื่อนตำแหน่ง
“ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะทำทีเป็นมิตรกับท่านเจวี้ยนเสียอีก แต่ดูท่าแล้วก็เหมือนจะไม่ใช่” ลู่จ้าวอิ่งดึงสติกลับมาแล้วครุ่นคิด “เพราะฉะนั้นเขาแค่ทำเพื่อฉินเสี่ยวหร่านเหรอ”
แต่ต้องทำการใหญ่โตขนาดนี้เพื่อไปหาชีเฉิงจวินแต่ไกลเลยเหรอ
เขานึกว่านอกจากคุณชายเฉิงแล้วจะไม่มีคนทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้แล้วเสียอีก
“ฉินหร่านยังรู้จักคนบ้านเฟิงด้วยเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
อีกทั้งยังอยากรู้อยากเห็นมากๆ แค่ฉินหร่าน เธอจะไปรู้จักเฟิงโหลวเฉิงได้อย่างไร
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าฉินหร่านมีความลึกลับเล็กน้อย
เดิมทีไม่มีอะไรแท้ๆ แต่บุคคลและเบื้องหลังที่เกี่ยวพันด้วยมีความใหญ่โตมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เฟิงโหลวเฉิงสามารถปล่อยผ่าน แต่129ไม่สามารถเมินเฉยไปง่ายๆ
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร เขาไม่เคยตรวจสอบเบื้องหลังของเธอ แค่ไปเอาเอกสารของเธอที่เมืองหนิงไห่มาหลังจากเกิดคดีนี้ขึ้น
ความรู้จักต่อฉินหร่านจำกัดอยู่แค่ความสัมพันธ์ของเธอกับหนิงฉิงและบ้านหลินเท่านั้น
ครอบครัวธรรมดา พ่อแม่หย่าร้าง
ผู้ที่ลงเล่นการเมือง ใครบ้างที่ไม่มีกลอุบาย เฟิงโหลวเฉิงไม่เหมือนคนดีหรอกนะ
“กลับไปเถอะ” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือหยิบเสื้อโค้ต “ฉันจะอ่านเอกสาร 712 เมื่อสามปีก่อนของเมืองหนิงไห่อีกรอบ”
……
ฉินหร่านออกจากโรงพยาบาลมาถึงโรงเรียน ฟ้าก็มืดพอควรแล้ว หน้าประตูใหญ่ของโรงเรียนยังมีแสงไฟริมทางส่องสว่างอยู่
หลินจิ่นเซวียนยืนอยู่ใต้แสงไฟริมทาง เงาร่างสูงโปร่งถูกแสงไฟส่องกระทบ
ตอนนี้กำลังเริ่มคาบทบทวนบทเรียนตอนกลางคืนคาบแรก นักเรียนจำนวนมากจึงถือโอกาสออกมาทานอาหารยามดึก
ใบหน้าของหลินจิ่นเซวียนสะดุดตา จึงดึงดูดสายตาไม่น้อย
เมื่อเห็นฉินหร่านลงจากรถแท็กซี่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเหลือบมองมือของเธอ “แผลที่มือไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหรอก” ฉินหร่านเลิกคิ้ว
“งั้น…” หลินจิ่นเซวียนทำตัวไม่ค่อยถูกเมื่ออยู่กับผู้หญิง หากตอนนี้เปลี่ยนเป็นฉินอวี่ละก็ จะต้องร้องไห้งอแงใส่เขาแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะถือโอกาสเอาบัตรเครดิตให้เธอ
แต่พอเป็นฉินหร่าน ฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับไม่สะทกสะท้านอะไร นิสัยที่แตกต่างกันเกินไป ทำให้หลินจิ่นเซวียนทำอะไรไม่ถูก
“โทรศัพท์เธอมีเบอร์ฉัน เจอเรื่องลำบากก็อย่าลืมโทรมาหาฉันนะ” หลินจิ่นเซวียนถอนหายใจ นึกถึงท่าทีของหนิงฉิง เธอปฏิบัติต่อฉินหร่านแบบนี้ก็พอจะเข้าใจได้ “เก็บบัตรเครดิตเอาไว้ให้ดีนะ”
คิดไปคิดมาก็ลูบหัวของเธอเบาๆ แล้วพยายามผ่อนคลายน้ำเสียงลง “ตอนเย็นกินอะไรหรือยัง”
“อืม” ฉินหร่านหลบ ยังคงรักษาท่าทางเท่ๆ ไว้เหมือนเดิม พูดน้อยและมีความดื้อรั้นบนใบหน้า
ไม่ไกลออกไป ฉินอวี่ยืนอยู่กับเพื่อนๆ เธอเม้มปาก
เธอรู้มาจากบ้านว่าหลินจิ่นเซวียนจะมาหาฉินหร่านที่โรงเรียน ก็เลยให้คนขับรถขับรถมา บอกว่าตัวเองลืมสมุดไว้ที่ห้องเรียน
“คนข้างๆ ฉินหร่านคือใครน่ะ หล่อเสียจริง เหมือนจะคุ้นตาหน่อยๆ” ผู้หญิงหน้าตาน่ารักข้างกายฉินอวี่เอ่ยขึ้น
ฉินอวี่ไม่ได้พูดอะไร ปลายนิ้วใช้แรงบีบหนังสือในมือ
หลินจิ่นเซวียนเข้าหายาก เธอใช้เวลาตั้งหลายปีถึงสามารถเข้าใกล้หลินจิ่นเซวียน ในวันธรรมดาเธอติดหนึบอยู่กับเขา ไม่เคยเห็นเขาทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นมาก่อน
ภาพนี้ช่างบาดตาเสียจริง
เธอไม่เข้าใจจริงๆ ฉินหร่านนอกจากหน้าตาแล้วก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
เธอตั้งใจเรียนขนาดนี้ พยายามเรียนเล่นไวโอลิน แต่ฉินหร่านไม่ต้องลงมือทำอะไร คนรอบข้างทำไมต่างลำเอียงไปข้างเธอ
ฉินหร่านคล้ายจะพูดกับหลินจิ่นเซวียนไม่กี่คำ ไม่นานก็เดินเข้าประตูโรงเรียนไป
หลินจิ่นเซวียนมองดูแผ่นหลังเธออยู่ไม่กี่นาทีแล้วจึงจะขับรถจากไป
“พวกเราไปกันเถอะ” ฉินอวี่ไม่ได้กลับบ้านหลิน แต่ไปที่ห้องเรียน
เธอก้มหน้ามองจอโทรศัพท์ด้วยแววตานิ่งๆ
……
ฉินหร่านไม่ได้ตรงไปยังห้องเรียน ลุงยามที่หน้าประตูเรียกเธอไว้ “ฉินหร่าน เธอมานี่ก่อนสิ มีพัสดุถึงเธอน่ะ”
ฉินหร่านเป็นคนหน้าตาดี ลุงยามหน้าประตูเลยจำเธอได้
ช่วงนี้เข้าๆ ออกๆ พวกลุงยามต่างเป็นห่วงมือของเธอ ถามเยอะทุกครั้ง
“ของหนักหน่อยนะ” ลุงยามหน้าประตูกะน้ำหนักกล่องดู “ฉันจะเอาไปไว้หน้าประตูหอแล้วให้แม่บ้านขึ้นไปส่งให้เธอ”
พูดแล้วเขาก็ยกกล่องขึ้นมาได้อย่างสบาย
เดิมทีฉินหร่านอยากบอกว่าเธอยกไปเองได้ แต่คุณลุงมีน้ำใจสุดๆ
เธอจับคางแล้วยิ้ม ก่อนจะเอียงศีรษะเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นคุณลุงช่วยหนูยกไปที่ห้องเรียนแล้วกันค่ะ”
“ได้เลย!”
คืนนี้ในห้องเรียนมีคนอยู่ครึ่งห้อง เนื่องจากเลิกเรียนแล้วจึงนั่งกันกระจัดกระจาย
หลินซือหรานกำลังปรึกษาคำถามในแบบฝึกหัดกับเซี่ยเฟย พอเห็นเธอก็รีบวางหนังสือลงทันที รับกล่องพัสดุมา ก่อนจะบอกขอบคุณกับลุงยาม แล้วถามอีกว่า “หรานหร่าน นี่อะไรของเธออะ”
“ให้เธอไง” ฉินหร่านนั่งลงบนเก้าอี้ พิงกับพนังแล้วไขว้ขาอย่างสบายใจเฉิบ
เธอล้วงเอาหนังสือภาษาต่างประเทศ ‘ประวัติศาสตร์ฉบับย่อ’ ออกมาจากใต้โต๊ะ
เดิมทีอยากจะหยิบขนมด้วย แต่นึกถึงมือของตัวเองแล้วก็เลยช่างมันไป
หลินซือหรานดวงตาเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้นฉันแกะเลยได้ไหม”
“ของที่ให้เธอ เธออยากจะแกะตอนไหนก็ได้” ฉินหร่านพลิกหน้าหนังสือ
หลินซือหรานรีบหันไปขอมีดคัตเตอร์ของคนโต๊ะข้างหน้าแล้วแกะกล่องออก คนอื่นๆ ได้ยินก็เข้ามามุงดูด้วย แม้แต่เฉียวเซิง ก็มานั่งเก้าอี้ใกล้ๆ หลินซือหราน
“เร็วสิ เดี๋ยวจะเข้าเรียนแล้ว”
“ดูท่าจะค่อนข้างใหญ่เลย เป็นตุ๊กตาเหรอ”
“ไหนดูสิว่าบอสฉินของพวกเราให้ของขวัญอะไรเธอ…” คนที่พูดประโยคนี้ก็คือเฉียวเซิง เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ชะงักไปทันที เงียบลงกะทันหัน ก่อนจะเงยหน้ามองฉินหร่านอย่างอึ้งๆ
เดิมทีคนที่เข้ามามุงดูก็ตกอยู่ในความเงียบด้วยเหมือนกัน