เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่286วังจือเฟิงบ้าไปแล้ว!
นายท่านเฉิงนั่งลง พยุงถ้วยชาในมือและได้ยินคำพูดของเฉิงเหราฮั่น
เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจ สีหน้าเรียบเฉย “พักเรื่องนี้ไว้ก่อน”
เฉิงเหราฮั่นคิดว่าจะได้รับคำชมจากนายท่านเฉิงเสียอีก ไม่คิดว่านายท่านเฉิงจะมีปฏิกิริยาตอบรับนิ่งเฉย เขาผงะไปครู่หนึ่ง “พ่อ”
เขากระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ
“ดึกดื่นป่านนี้ นายมาหาฉันเพื่อเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ” นายท่านเฉิงจิบชา ดวงตาสีซีดจารึกไว้ซึ่งความทรงพลังยิ่งใหญ่
เฉิงเหราฮั่นไม่รู้ว่าสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง แต่นายท่านเฉิงมีอำนาจยิ่งใหญ่ เขาจึงทำเพียงพยักหน้า
โทรศัพท์ที่นายท่านเฉิงวางไว้บนโต๊ะดังขึ้น เป็นสายจากเฉิงเวินหรู เขาโบกมือไปมาให้เฉิงเหราฮั่น ไม่ได้พูดอะไรอีก “พ่อบ้านเฉิง ส่งตัวนายน้อยกลับไป”
เฉิงเหราฮั่นกลับมาด้วยความยินดีที่ได้บอกเล่ารายงานข่าวนี้ให้นายท่านเฉิงฟัง แต่ไม่กล้าถามเพิ่ม เมื่อออกมาแล้วจึงกล้าพูด “พ่อบ้านเฉิง พ่อของฉันเป็นอะไรไป ฉันใช้จ่ายเงินไปเป็นจำนวนมากกว่าจะซื้อข่าวจาก 129 นั่นผ่านโอวหยางเวย พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว ไม่รู้ว่าตอนไหนถึงจะมีโอกาสเข้ามาอีก…”พ่อบ้านเฉิงมองเฉิงเหราฮั่น ถอนหายใจและส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงหยิบขวดแก้วเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า “นายน้อย คุณดูนี่สิ”
เดิมทีเฉิงเหราฮั่นต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในชั่วพริบตาที่เห็นของที่อยู่ในมือพ่อบ้านเฉิงคือดอกไม้จีนขวดหนึ่ง ท่าทางเขาก็ราวกับเห็นผี
“พวกคุณทำไมมีมาเพิ่มได้ล่ะ ที่งานประมูลไม่ใช่หมดไปแล้วเหรอ”
ใครกันที่ยังมีของเหล่านี้อยู่ในมือ!
**
วันถัดไป
วันจันทร์
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ทุกเช้าวันจันทร์ตั้งแต่ 8.00 ถึง 10.00 ที่ห้องเรียนชั้นหนึ่งและชั้นสองของสมาคมไวโอลินจะมีการเปิดสอนการเรียนแบบสาธิต
ทั้งฉินหร่านและวังจือเฟิงไปที่ห้องฝึกซ้อมเพื่อฝึกตอนเจ็ดโมง
เมื่อวานมีเพียงผู้นำสมาคมไวโอลินระดับอาวุโสไปงานเลี้ยงเพียงไม่กี่คน แต่ข่าวลือเรื่องการรับศิษย์ของอาจารย์เว่ยก็ได้แพร่กระจายมาถึงสมาคมไวโอลินเป็นที่เรียบร้อย
“ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้มีงานเลี้ยงอันเลื่องชื่อของอุตสาหกรรมไวโอลิน และอาจารย์เว่ยก็ยังรับศิษย์อีกด้วย” วังจือเฟิงหยิบไวโอลิน ข่าวลือของเขาน่าสนใจ เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียว เขาก็รู้แล้วว่าอาจารย์เว่ยมีการรับศิษย์มา และกำลังนำมาคิดวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน “ทุกคนล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญในเมืองหลวง สมาคมของเรามีเพียงห้าหกคนเท่านั้นที่ได้ไปร่วม…”
พูดถึงตรงนี้ เขากดเสียงลงต่ำ “ดูเหมือนจะมีคนจากรัฐ M ด้วย”
แน่นอนว่า เขาทำได้เพียงรู้คร่าวๆ ว่ามีคนแบบไหนบ้างที่มา ส่วนในเรื่องว่าเป็นใคร เขาก็ไม่แน่ใจ แค่พูดได้โดยรวมเท่านั้น
งานเลี้ยงระดับสูงในเมืองเมืองหลวงแบบนั้นเต็มไปด้วยความลับมากมาย คนที่ไปล้วนแต่เป็นผู้มีเอกลักษณ์ ไม่สามารถพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้
ส่วนพนักงานเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ใครเล่าที่จะกล้าสลัดเรื่องใหญ่โตแบบนี้ออกไปได้กัน
อย่างไรก็ตาม มีการรายงานข้อมูลบางส่วนจากสื่อบางราย
แต่ตอนนี้ปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตมีการพุ่งขึ้นสูง ทุกๆ วันบนเวยป๋อล้วนแต่เป็นเรื่องจำพวกการเลิกกันของดารา เซลฟี่…ละคร ส่วนด้านความถนัด รายงานทางวิชาการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นน่าจับตามองสักเท่าไหร่
“รัฐ M งั้นเหรอ” เถียนเซียวเซียววางหนังสือในมือลง มองไปที่เขาด้วยท่าทางสงสัย
“พวกอัจฉริยะมารวมตัวกัน” วังจือเฟิงพูดอย่างครุมเครือ ไม่ได้อธิบายอะไรมาก นอกจากมองที่ฉินหร่าน “ฉินหร่าน ยังไม่มีความคืบหน้าจากอาจารย์ไต้เหรอ ทำไมเขายังไม่มาหาเธอ”
ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ ระดับคนอย่างฉินหร่านแล้ว ถ้าไม่พูดถึงคนอย่างไต้หราน อาจารย์คนอื่นก็อย่าได้พูดถึงเลย
แม้แต่ตัววังจือเฟิงเอง ก็ยังพอมีอาจารย์เข้ามาสอบถามอยู่บ้าง
ฉินหร่านเก่งขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่มีอาจารย์มาหาเธอได้หรอก
ฉินหร่านใส่หูฟังที่หูแล้วก้มหน้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
วังจือเฟิงไม่ใส่ใจ เขาเหลือบมองดูเวลาใกล้แปดโมงแล้วจึงลุกขึ้นยืน “ทั้งสองคน ไปกันเถอะ วันนี้มีคลาสเรียนสาธิต โอกาสหายาก ไม่รู้ว่ามีอาจารย์คนไหนเป็นผู้สอน!”
ในสมาคมไวโอลิน เหล่านักเรียนดีเด่นที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศิษย์จากอาจารย์ไวโอลินระดับเจ็ดหรือแปด จะได้รับสิทธิพิเศษ ส่วนนักเรียนคนอื่นที่ไม่มีอาจารย์จะสามารถเข้าฟังในคลาสเรียนสาธิตได้เพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น
บางครั้งถ้าโชคดีก็อาจได้เจอกับอาจารย์เว่ย!
ในเวลานั้นแม้แต่ฉินอวี่ ก็ยังต้องวางธุระในมือเพื่อไปเข้าฟังชั้นเรียนสาธิต
ดูเหมือนว่าอาจารย์ผู้ที่มาวันนี้จะมีฝีมืออยู่ในระดับหนึ่ง ตอนที่วังจือเฟิงไปยังตำแหน่งที่นั่งที่เล็งไว้ มันก็ถูกครอบครองไว้หมดแล้ว
“มีคนเข้าฟังคลาสเยอะมาก” วังจือเฟิงยืนอยู่ตำแหน่งแถวตรงกลาง
แปดนาฬิกา
อาจารย์ผู้สอนเข้ามาพร้อมกับแฟลชไดรฟ์
ทันทีที่เห็นหน้าอาจารย์ นักเรียนแต่ละคนในห้อง 201 ก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
เพราะคนที่มาคือไต้หราน
เขาเปิดโปรเจ็กเตอร์ แนะนำตัวเองกับผู้คนในห้องเรียน 201 “ฉันชื่อไต้หราน พวกคุณสามารถเรียกฉันว่าอาจารย์ไต้ วันนี้ฉันจะสอนเกี่ยวกับการเลียนแบบการกระทำ และการรับรู้ภายใน ทั้งหมดสองเนื้อหา…”
ฉินหร่านฟังอยู่ครู่หนึ่ง ในฐานะที่ไต้หรานเป็นรองมาจากอาจารย์เว่ย ซึ่งมีทักษะทางด้านไวโอลินที่เก่งกาจอยู่โดยธรรมชาติแล้ว ถึงอย่างไรฉินหร่านในตอนนี้ก็เทียบไม่ติด
เธอหยิบเอาหนังสือออกมาพลิกอ่าน พร้อมกับฟังบทเรียนการสอนของไต้หราน
ฟังไปครึ่งทาง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นขึ้น
เป็นข้อความจากเหวินอิน…
[อยู่ไหน]
ฉินหร่านตอบตามจริง
[เข้าฟังคลาส 201]
เหวินอินที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์คิดว่าตัวเองอ่านผิด ใช้เวลาสักพักก่อนตอบกลับ…
[เข้าใจแล้ว]
เขาวางโทรศัพท์ลง มองอาจารย์เว่ยที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแล้วหัวเราะ “คุณหนูฉินหร่านไปเข้าฟังคลาสสาธิตห้อง 201 ดูเหมือนจะไปกับคนในกลุ่มของเธอ”
นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่อาจารย์เว่ยคาดไม่ถึงว่าลูกศิษย์ของเขามุ่งหน้าไปเข้าฟังคลาสสาธิต นี่หมายความว่าไม่มั่นใจในตัวเขาคนนี้ที่เป็นถึงประธานสมาคมไวโอลินอย่างนั้นเหรอ?
“ก่อนหน้านี้เธอเคยฝึกอยู่ที่ห้องไหนมาก่อน” อาจารย์เว่ยวางแฟ้มในมือลง
“ห้องฝึกซ้อม 211” เหวินอินกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านการเรียนของฉินหร่าน และแสดงออกอย่างชัดเจน
“โอเค” อาจารย์เว่ยยันตัวขึ้นจากโต๊ะ ก้มลงเปิดลิ้นชัก ยึดแบบฟอร์มการฝึกอบรมที่เขาเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืนนี้ออกมา “ฉันจะไปหาเขาเอง ฝากคุณดูที่ห้องสมาคมนี้ด้วย”
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา เขาต้องตรวจสอบความก้าวหน้าด้านการเรียนของฉินหร่าน และมอบแบบฟอร์มการฝึกอบรมใหม่ให้เธอ
เหวินอินส่งอาจารย์เว่ยที่หน้าประตู
รออาจารย์เว่ยออกไป คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมยังคงพูดต่ออย่างกังวลเล็กน้อย “ดูเหมือนอาจารย์ไต้จะรับศิษย์เพิ่มอีกคนเมื่อวานนี้…”
อาจารย์ไต้ยืนหยัดแน่วแน่ที่จะต่อสู้กับอาจารย์เว่ย และยอมรับศิษย์ที่มีคุณภาพเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เพื่ออีกสองเดือนให้หลัง นักเรียนของเขาจะได้แสดงออกทางผลงานให้แก่การรับสมัครด้านการแสดงของสมาคมรัฐ M อย่างนั้นเหรอ แต่อาจารย์เว่ยมีลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียว
**
สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลาสิบโมง คลาสเรียนสาธิตในห้องเรียน 201 สิ้นสุดลง ไต้หรานเก็บของของเขา
เถียนอี้อวิ๋นลุกขึ้น ถือสมุดบันทึกเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเคารพ เรียกน้ำเสียงชัดเจน “อาจารย์ เมื่อวานฉันมีอะไรบางอย่างไม่เข้าใจ”
ในตอนแรกไต้หรานเผลอคิดว่านักเรียนคนนี้เป็นฉินหร่าน
แต่เมื่อคืนนี้ที่อาจารย์เว่ยเปิดตัวต่อสาธารณะแล้วว่าเลือกฉินหร่านเป็นศิษย์ ไต้หรานจึงทำได้เพียงถอยกลับเป็นอันดับสอง แล้วใส่ใจกับเถียนอี้อวิ๋น
“อี้อวิ๋นนี่เอง” ไต้หรานมีความเห็นอกเห็นใจต่อลูกศิษย์ของตน เขาเหลือบมองสมุดจดบันทึกของเถียนอีอวิ๋น พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คำถามเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน ไปกัน ไปที่สำนักงานของฉัน รุ่นพี่ของเธอก็อยู่ที่นั่น”
เถียนอี้อวิ๋นปิดสมุดบันทึกและเดินตามหลังไต้หราน
เธอยิ้มหวานเหมือนที่ผ่านมา ใบหน้าเด็กของเธอดูดีมาก แต่คิ้วของเธอในตอนนี้ปิดบังซึ่งความทะนงไว้ไม่มิด
หลังจากข่าวที่ฉินหร่านเป็นนักเรียนระดับห้าถูกปล่อยออกมา เถียนอี้อวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจไปพักหนึ่ง เธอคิดไว้ว่าไต้หรานยังไงก็ต้องเลือกฉินหร่านแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนนี้จะกลับกลายเป็นอีกอย่าง
เมื่อคิดแบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางฝ่ายฉินหร่าน แล้วก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสู้หน้า
รอไต้หรานออกไป คนอื่นในห้องเรียน 201 แสดงปฏิกิริยาท่าทางประหลาดใจ
“เถียนอี้อวิ๋นได้รับการยอมรับแนะนำจากอาจารย์ไต้แล้วงั้นเหรอ”
“ว่าไงนะ”
บางคนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางฉินหร่าน
“เรื่องของเมื่อคืนนี้” ในฐานะคนใกล้ตัวของเถียนอี้อวิ๋นอย่างหลี่เสวี่ย ถูกคนอื่นๆ รายล้อม และเธอก็ไม่ได้ปิดบัง “อาจารย์ไต้ดีมาก เถียนอี้อวิ๋นได้รับสมุดบันทึกส่วนตัวของเขามาแล้ว รอเธออ่านจบแล้วค่อยเอามาให้ฉันอ่าน”
กว่าหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว หลี่เสวี่ยรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเป็นอย่างมาก
ท้ายที่สุดผู้คนต่างพากันไปอยู่บนที่สูง โดยที่ตัวเองรู้ว่าเสียโอกาสที่จะเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มนักเรียนระดับห้าไปแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เธอเสียใจได้อย่างไร
แต่ตอนนี้อาจารย์ไต้รับเถียนอี้อวิ๋นเป็นศิษย์ ไม่ได้รับฉินหร่าน แบบนี้ก็ทำให้หลี่เสวี่ยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
**
“นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว!” วังจือเฟิงขมวดคิ้วหล่อๆ พูดด้วยน้ำเสียงอันล้ำลึก “ทำไมอาจารย์ไต้ไม่เลือกเธอ”
ฉินหร่านหยิบหนังสือแล้วเดินตามพวกเขาอย่างเชื่องช้า วางมือไว้หลังศีรษะ
เถียนเซียวเซียวหยิบเอาบัตรนักศึกษาของฉินหร่าน ไปที่ห้องฝึกซ้อม พูดขึ้นอย่างใจเย็น ใบหน้าสง่ายิ้มไม่หุบ “ใจเย็น ไต้หรานอาจจะตาบอดก็เป็นได้”
วังจือเฟิง “…” เธอตื่นเต้นถึงขนาดนี้ยังมีหน้ามาบอกเขาให้ใจเย็นงั้นเหรอ
ปี๊บ
ประตูเปิดออก
เถียนเซียวเซียวก้าวไปข้างหน้า วังจือเฟิงตามเข้าไป ฉินหร่านอยู่หน้าประตู
วังจือเฟิงดูไม่ค่อยมีความสุข รู้สึกกระสับกระส่ายเมื่อต้องเดินเข้าไปหาไวโอลิน “ฉันต้องฝึก…”
เขายังไม่ทันพูดจบประโยค มองเห็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ข้างชั้นวางหนังสือ
ที่ในมือของชายชรามีหนังสืออยู่
ราวกับได้ยินเสียง เขาหันขวับมาด้านข้าง เผยให้เห็นใบหน้าชราที่น่านับถือ
เถียนเซียวเซียวไม่รู้จักคนคนนี้ พูดอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ”