เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่403นัดพบสิบปีก็ไม่มีโอกาสแบบนี้
พี่เวินเห็นชื่อที่แสดงบนหน้าจออย่างชัดเจน คำพูดเหลือเพียงครึ่งๆ กลางๆ
“แค่กๆ ๆ …” เมื่อเถียนเซียวเซียวที่กำลังดื่มน้ำอยู่ข้างๆ ได้ยินพี่เวินพูดก็เผลอสำลัก
เธอไอจนหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็รีบโบกมือให้พี่เวินรีบไปรับสาย
พี่เวินบันทึกเบอร์โทรศัพท์ซุปตาร์ฉินกับผู้จัดการของเขาไว้ก่อนแล้ว แต่เธอกลับไม่คิดว่าซุปตาร์ฉินจะโทรหาเธอ
เธอถึงกับอึ้งไปสักพักกว่าจะรู้สึกตัว รีบเข้าไปรับสาย มือปิดปาก พูดเบาๆ “ซุปตาร์ฉิน”
ผู้จัดการต้องสุภาพเรียบร้อยอยู่เสมอ
ทางด้านซุปตาร์ฉินก็ถึงบ้านแล้ว เขาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำออกมาหนึ่งขวด เขาพิจารณาอยู่นานมากกว่าจะตัดสินใจโทรหาผู้จัดการเถียนเซียวเซียว “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้คุณเถียนเซียวเซียวพอจะมีเวลาว่างไหมครับ?”
คืนนี้เถียนเซียวเซียวจะต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาจนถึงพรุ่งนี้สิบโมงเช้า
กองถ่ายนี้ก็เป็นกองถ่ายที่ซุปตาร์ฉินแนะนำให้มา ผู้กำกับจึงปฏิบัติต่อเถียนเซียวเซียวด้วยความสุภาพและจัดเวลาถ่ายทำให้เธออย่างเต็มที่
“พรุ่งนี้ว่างตอนเที่ยงค่ะ” ยังมีทีมงานคนอื่นๆ อยู่ข้างๆ พี่เวินจึงไม่กล้าเรียกชื่อซุปตาร์ฉินอีก “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ซุปตาร์ฉินบิดขวดน้ำแล้วดื่ม “ผมมีเรื่องอยากจะถามเธอน่ะครับ สะดวกไหมที่จะนัดเจอกันหน่อย?”
พี่เวินยังไม่ทันได้พูดอะไร เถียนเซียวเซียวที่มองเธออยู่อีกด้านกลับพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“สะดวกค่ะ สะดวกแน่นอน” พี่เวินมองเธออย่างไม่สบอารมณ์ แต่ยังคงพูดคุยกับซุปตาร์ฉินด้วยความเคารพและเคร่งขรึม
ซุปตาร์ฉินพิงโซฟาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดีเลยครับ พรุ่งนี้ผมจะให้ผู้จัดการส่งที่อยู่ยืนยันพวกคุณอีกทีนะครับ”
ทั้งสองวางสาย เถียนเซียวเซียวจับมือพี่เวิน “พี่เวิน ถามฉันเร็วเข้า! เร็วเข้า!”
พี่เวินมึนงง “ถามอะไร?”
เถียนเซียวเซียวเอามือกอดอก “สามคำถามก่อนตาย”
พี่เวิน “…”
พี่เวินเงียบไปสักพัก “วันนี้หัวหน้าผู้กำกับเลือกเธอเป็นนางเอกแล้วเหรอ?”
เถียนเซียวเซียงเชิดคางขึ้น “แน่นอน”
พี่เวินเหนื่อยใจเล็กน้อย “วันนี้เธอถ่ายละครกับซุปตาร์ฉินแล้ว?”
เถียนเซียวเซียวหรี่ตา “อัดรายการวาไรตี้ด้วยกัน”
พี่เวินทำหน้าไร้อารมณ์ “วันนี้เธอมีผู้ติดตามถึงสิบล้านคนหรือยัง?”
เถียนเซียวเซียวยิ้ม “เก้าล้านเก้าแสน”
**
วันรุ่งขึ้น
วันจันทร์
ฉินหร่านตื่นเช้ามาก
เฉิงมู่ถือพลั่วกำลังขึ้นบันไดข้างกระถางต้นไม้
เนื่องจากฉินหร่านตื่นเช้ากว่าปกติ เฉิงเจวี้ยนก็ยังไม่กลับมา ฉินหร่านจึงไปหยิบนมที่ข้างโต๊ะ เสียบหลอดดูด ดื่มไปพร้อมกับพิงโต๊ะมองมาทางเฉิงมู่
ผ่านไปนานสักพัก เธอจึงละสายตากลับมา “เฉิงมู่ นายท่านเฉิงของพวกนายมีอะไรที่ชอบบ้างไหม?”
“นายท่าน?” เฉิงมู่วางพลั่วไว้ในกระถางดอกไม้ ตั้งใจนึก
ฉินหร่านปวดหัว เธอลากเก้าอี้มานั่งและถามให้ชัดๆ “ก็…วันเกิดเขา พี่เฉิงจะมอบของขวัญอวยพรประเภทไหนให้เขา?”
“นั่นน่ะเหรอ ก็มีภาพวาดโบราณหรือของลายคราม” เฉิงมู่คิดได้สักพักก็พูดว่า “นายท่านเฉิงชอบของพวกนี้ วันเกิดปีที่แล้วคุณชายเจวี้ยนยังตั้งใจเชิญอาจารย์เจียงมาเขียนคำอวยพรให้เขาถึงงานเลยนะครับ”
ฉินหร่านเอามือเท้าคาง พยักหน้า
หลังจากทานข้าวเสร็จฉินหร่านก็ไปมหาวิทยาลัย เธอถือคอมพิวเตอร์ตัวเองและโครงการที่อาจารย์ใหญ่สวีมอบให้เธอไปที่ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์
เธอมาถึงที่ห้องปฏิบัติการตอนเจ็ดโมงเช้า นักวิจัยเลี่ยวและพวกจั่วชิวหรงก็มาถึงกันแล้ว
โซนนอกสุดยังมีที่ว่างอยู่ ฉินหร่านวางคอมพิวเตอร์ตัวเองลงแล้วไปหยิบข้อมูลที่เกี่ยวกับเครื่องปฏิกรณ์จากชั้นวางทางด้านหลังมาหนึ่งเล่ม เธอลากเก้าอี้มานั่ง อ่านข้อมูลได้สักพักก็พิมพ์บทความหน้าถัดไป
รุ่นพี่เยี่ยถือขนมขบเคี้ยวมาจากข้างนอก เมื่อเห็นฉินหร่านก็ยิ้มทักทายเธอ “รุ่นน้อง”
“รุ่นพี่เยี่ย” ฉินหร่านเงยหน้าทักทายเขาอย่างมีมารยาท
“กำลังเขียนบทความเหมือนกันเหรอ?” เขาเหลือบไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน เห็นแผนผังโครงสร้างและข้อความโดยละเอียด แต่ไม่ได้อ่านเนื่องจากเคารพความเป็นส่วนตัว
ฉินหร่านละสายตา เธอเปิดแผนผังอีกครั้งและวาดแผนผังโครงสร้างใหม่ “ใช่ค่ะ”
รุ่นพี่เยี่ยกล่าวเตือนอีกหนึ่งประโยค “เธอสามารถใช้อุปกรณ์ทดลองนอกห้องปฏิบัติการได้ และจะให้ดีที่สุดควรเขียนทิศทางการวิจัยของ SCIด้วย”
“ขอบคุณค่ะ” คนคนนี้หวังดี ฉินหร่านจึงขอบคุณจากใจจริง
รุ่นพี่เยี่ยโบกมือให้เธอและบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในเพื่อนำวัสดุอุปกรณ์ไปมอบให้นักวิจัยเลี่ยว
“เก้าโมงไปดูเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ชั้นใต้ดิน ฉันยื่นคำขอตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว” นักวิจัยเลี่ยวกำลังสังเกตปฏิกิริยานั้น พูดด้วยเสียงแผ่วเบา
รุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรงอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจ จั่วชิวหรงรีบเดินออกไปข้างนอก “ฉันจะไปเตรียมตัว”
ชั้นใต้ดินของห้องปฏิบัติการมหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีเครื่องปฏิกรณ์ที่น่าอัศจรรย์ที่อยู่มาตั้งแต่ยุคแรกๆ ได้ยินว่านักวิจัยรุ่นเก่าคนหนึ่งทิ้งไว้ คนของสถาบันวิจัยต่างก็รู้ดี
แต่เครื่องปฏิกรณ์เครื่องนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปดูได้ หากอยากจะเข้าไป อย่างน้อยจะต้องใช้สิทธิ์ของสถาบันวิจัยระดับสองหรือทำคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ให้กับห้องปฏิบัติการและสถาบันวิจัยถึงจะสามารถเข้าไปดูได้สักครั้ง
เช่นเดียวกับจั่วชิวหรงและรุ่นพี่เยี่ยที่ใช้เวลากว่าสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสแบบนี้
นี่คือความสำคัญของการได้ติดตามอาจารย์ที่ดี
แม้ว่านักวิจัยเลี่ยวจะไม่ได้รับพวกเขาเป็นศิษย์ แต่โดยทั่วไปนักวิจัยที่ประจำห้องปฏิบัติการก็จะพานักศึกษาที่อยู่ในการดูแลไป จะไม่ดุด่าอย่างรุนแรง
การไปที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ชั้นใต้ดินจะต้องสวมชุดป้องกันพิเศษ จั่วชิวหรงจึงไปยื่นคำขอที่ชั้นหนึ่ง
เนื่องจากนักวิจัยเลี่ยวเป็นที่รู้จักกันดี เมื่อเจ้าหน้าที่ชั้นหนึ่งได้ยินว่าเป็นเขาก็รีบจัดเตรียมชุดป้องกันให้จั่วชิวหรงสามชุด
จั่วชิวหรงถือชุดป้องกันพิเศษเดินกลับไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม
พริบตาเดียวก็ใกล้จะได้เวลาแล้ว นักวิจัยเลี่ยวและรุ่นพี่เยี่ยเปลี่ยนชุดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นักวิจัยเลี่ยวเปลี่ยนเสร็จก็เดินออกมาก่อน
รุ่นพี่เยี่ยสวมหมวกเสร็จก็เงยหน้ามองไปที่ห้องแต่งตัว จากนั้นก็เปิดประตูถามจั่วชิวหรง “รุ่นน้องไม่ไปด้วยเหรอ?”
จั่วชิวหรงผงะ แล้วบอกว่า “พวกเขาให้ฉันมาแค่สามชุด”
“ฉันจะลองไปถามนักวิจัยเลี่ยว” รุ่นพี่เยี่ยเดินออกไป
“ช่างเถอะ” จั่วชิวหรงลดเสียงพูดพลางมองรุ่นพี่เยี่ย “จะได้เวลาไปดูเครื่องปฏิกรณ์แล้ว อย่ามาสนใจเรื่องนี้เลย เสียเวลา อีกอย่างถึงเธอไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”
นักวิจัยเลี่ยวยื่นขอเวลาเปิดเพียงสองชั่วโมง หากขึ้นไปทำเรื่องขอชุดป้องกันพิเศษมาอีกชุด อีกเดี๋ยวก็เสียเวลาไปอีกหนึ่งชั่วโมง
จั่วชิวหรงไม่อยากเสียเวลาช่วงนี้ไป
รุ่นพี่เยี่ยไม่ได้พูดอะไร แต่เดินออกไปข้างนอก จั่วชิวหรงขมวดคิ้วและเดินตามไป
เมื่อนักวิจัยเลี่ยวได้ยินจากรุ่นพี่เยี่ยนักวิจัยเลี่ยวก็ตะลึงงัน “ฉันลืมไปเลย”
เขาใช้มือเกี่ยวแว่นตากรอบทองของตัวเอง
ฉินหร่านไม่ได้มาห้องปฏิบัติการหลายวัน พอมาวันนี้ก็นั่งหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์อยู่ตรงมุมห้อง ห้องปฏิบัติการทั้งหมดกว้าง 7 เมตร ยาว 25 เมตร แม้จะเป็นชั้นนอกก็ยังห่างกันหลายสิบตารางเมตรและเป็นโต๊ะทดลองทั้งนั้น ดังนั้นการที่ฉินหร่านนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตรงมุมห้องก็ย่อมไม่ได้รู้สึกถึงการมีตัวตน
จั่วชิวหรงที่อยู่ในชุดป้องกันพิเศษเห็นชัดถึงร่างสูงเพรียว เธอเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “นักวิจัยเลี่ยว รุ่นน้องเพิ่งมาใหม่ ถึงจะได้ไปดูเครื่องปฏิกรณ์ก็คงดูไม่รู้เรื่อง”
เธอดูนาฬิกา ใกล้จะถึงเก้าโมงแล้ว
นักวิจัยเลี่ยวไม่ได้เดินไป เขามองมาทางรุ่นพี่เยี่ยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง ใบหน้าแฝงไปด้วยความเคร่งขรึม “นายให้เธอไปทำเรื่องขอชุดป้องกันพิเศษที่ชั้นหนึ่ง”
รุ่นพี่เยี่ยจึงไปแจ้งฉินหร่าน
ตอนนี้ฉินหร่านวางมือจากงานบทความเรียบร้อยแล้ว เธอกำลังยืนอยู่ที่โต๊ะทดลองเพื่อทำการทดลองเครื่องปฏิกรณ์ครั้งล่าสุดของตัวเองใหม่อีกครั้ง
เมื่อได้ยินรุ่นพี่เยี่ยพูดจบ เธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น พูดสั้นๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกคุณไปกันเถอะ”
เธอเอาแต่ตั้งใจทำการทดลอง นิ้วเรียวขาวกำลังปรับกระแสไฟฟ้าเพื่อควบคุมสนามแม่เหล็ก
การกระทำเป็นไปอย่างมีแบบแผน
ทุกการกระทำดูเหมือนจะ…มั่นใจเอามาก ไม่อืดอาดยืดยาดเลยสักนิด
เห็นๆ อยู่ว่ากำลังทำการทดลอง แต่รุ่นพี่เยี่ยกลับรู้สึกว่าเธอกำลังทำงานศิลปะด้วยความประณีตและใจเย็น
รุ่นพี่เยี่ยมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “โอกาสแบบนี้หายากนะ ถ้าไม่ไป อีกสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะหาโอกาสแบบนี้ได้อีก…”
เขาพูดเกลี้ยกล่อมเธอ เมื่อเห็นฉินหร่านไม่ไปจริงๆ ก็กลับไปบอกนักวิจัยเลี่ยว
“เธอไม่ไปหรอ?” จั่วชิวหรงมองไปทางห้องปฏิบัติการด้วยความประหลาดใจ
รุ่นพี่เยี่ยละสายตากลับด้วยแววตาซับซ้อน “เธอกำลังทำการทดลองน่ะ”
“ไปเถอะ” นักวิจัยเลี่ยวหันกลับมาอย่างเงียบๆ
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมากที่เคยเพิกเฉยนักศึกษาคนนี้ เขาจึงให้รุ่นพี่เยี่ยไปตามเธอ
ครั้งนี้หลักๆ แล้วเขาอยากพารุ่นพี่เยี่ยและจั่วชิวหรงไป
เนื่องจากพวกเขาทั้งสองมีความสามารถในการลงมือปฏิบัติอย่างแข็งขัน จึงไม่ได้ถูกเขาโยกย้ายหลังจากช่วยเหลือเขามานานมากแล้วและสองคนนี้ยังอยู่ที่สถาบันวิจัยมาแล้วสองปี คอยติดตามเขาวิจัยเครื่องปฏิกรณ์มาโดยตลอด ที่เขาพาสองคนนี้มาก็แค่อยากจะลองฟังการวิจัยของทั้งสองที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปฏิกรณ์
อยากจะดูว่าจะสามารถทำให้พวกเขาเสนอแนวคิดใหม่ๆ สำหรับการวิจัยได้หรือไม่
ดังนั้นการที่ฉินหร่านปฏิเสธ เขาจึงไม่ได้คิดอะไร นักศึกษาใหม่คนนี้จะมาหรือไม่มาเขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว