เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่428กลัวการสืบตัวเองคนรู้จักในรัฐM
ตอนนั้นฉินอวี่คิดแค่ว่ามันเป็นเนื้อเพลงที่ฉินหร่านทำลอกเลียนแบบขึ้นมา ซึ่งของพวกนี้มีมากมายบนอินเทอร์เน็ต เธอจึงไม่ได้สนใจมาก แต่พอตอนนี้มานึกๆ ดูแล้วก็พบว่ามีแต่ข้อสงสัยเต็มไปหมด…
ที่แท้แล้ว…
ที่แท้แล้วฉินหร่านก็คือเจียงซานอี้?
งั้นที่บอกว่าฉินหร่านก๊อปเจียงซานอี้…ก็เท่ากับว่าเป็นเรื่องหลุดโลกอย่างแท้จริง
เจียงซานอี้เป็นหอเกียรติยศแห่งวงการบันเทิงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและเป็นบุคคลแห่งยุคในแวดวงดนตรี ไม่ว่าฉินอวี่จะคิดอย่างไรก็ไม่เคยเชื่อมโยงระหว่างเจียงซานอี้กับฉินหร่านเลย เพราะช่องว่างระหว่างอายุต่างกันเกินไป
ฉินอวี่เห็นความคิดเห็นบนเวยป๋อค่อยๆ เพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งล้านสามแสนความคิดเห็น เธอยังไม่ทันได้อ่านอะไร โทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้นมาทันที นั่นคือสายจากลูกน้องของคุณชายสี่แห่งตระกูลฉิน
มือที่กำลังสั่นกดรับสายอย่างรวดเร็ว
ลูกน้องของคุณชายสี่ตระกูลฉินที่อยู่ปลายสายพูดอย่างเรียบง่าย ถามแค่ว่าเธอสามารถติดต่อฉินหร่านได้หรือไม่ คุณชายสี่ตระกูลฉินอยากพบฉินหร่านพร้อมกับเสนอผลประโยชน์ให้อีกมากมาย…
ฉินอวี่วางสายด้วยความนิ่งอึ้ง
ขณะนี้ ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่ายกหินทับเท้าตัวเอง[1]เป็นความรู้สึกอย่างไร
เธอแค่อยากทำลายฉินหร่านดูสักครั้ง แต่ใครล่ะจะรู้ว่าสุดท้ายไม่ได้ทำลายเธอยังไม่พอ ในทางกลับกันยังทำให้เธอก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น เธอกดกลับไปที่หน้าบัญชีเวยป๋อ qr อีกครั้งก็พบว่าผู้ติดตามได้เพิ่มขึ้นกว่าสิบเก้าล้านคน…
**
ก่อนหน้านี้ฉินหร่านโด่งดังในรายการไอดอล24ชั่วโมง คราวนี้เรื่องเจียงซานอี้แทบจะสั่นสะเทือนไปทั่ววงการบันเทิง
แม้กระทั่งรุ่นพี่เยี่ยที่ไม่สนใจโลกภายนอกยังรู้เรื่องนี้
“รุ่นน้อง เธอก็เจ๋งเหมือนกันนะ” ภายในห้องปฏิบัติการ ตอนที่รุ่นพี่เยี่ยรับข้อมูลตรวจวัดและคำนวณที่ฉินหร่านให้มาก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
ฉินหร่านเงยหน้าเหลือบมองเขา
นักวิจัยเลี่ยววางมีดแกะสลักลงแล้วมองมาที่รุ่นพี่เยี่ย
“นักวิจัยเลี่ยว คุณอาจจะยังไม่รู้ว่ารุ่นน้องไม่เพียงแต่เก่งฟิสิกส์เท่านั้น เธอยังเป็นนักเรียบเรียงเพลงชั้นเซียนอีกด้วย มีผู้ติดตามบนเวยป๋อมากกว่ายี่สิบสามล้านคน ตำแหน่งในวงการดนตรีพอๆ กับตำแหน่งของคุณในสถาบันวิจัยเลยนะ” รุ่นพี่เยี่ยคิดๆ ดูแล้วก็พูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินดังนั้น จั่วชิวหรงก็เม้มริมฝีปาก เธอถือเครื่องมือทดลองไปอีกด้านอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร
นักวิจัยเลี่ยวไม่ได้มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่พอได้ยินที่รุ่นพี่เยี่ยพูดก็อดมองฉินหร่านด้วยความประหลาดใจไม่ได้
คนของสถาบันวิจัยมักจะทุ่มเทให้กับการวิจัยเหมือนนักวิจัยเลี่ยว เมื่อเข้าร่วมวิจัยลับ พวกเขาจะเก็บตัวกันอยู่ในฐานวิจัยอันแสนเวิ้งว้างกว่าสองถึงสามเดือน รวมไปถึงหมกมุ่นกับการวิจัยทุกรูปแบบ แทบจะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘เวลาว่าง’ กันเลยทีเดียว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเล่นเวยป๋อ เพราะแม้แต่เวลาในการติดต่อสื่อสารกับคนในครอบครัวก็ยังมีอยู่อย่างจำกัด เคยชินอยู่กับการใช้ชีวิตแบบนี้ คนส่วนใหญ่ในสถาบันวิจัยที่ทำวิจัยจริงๆ จะไม่ให้ความสนใจกับข่าวในวงการบันเทิง จะดูทีวีแค่บางครั้งบางคราว แต่นักวิจัยเลี่ยวเป็นคนประเภทที่รู้สึกว่าการนอนล้วนเป็นการสิ้นเปลืองเวลา เขาจึงอุทิศทั้งชีวิตให้กับห้องปฏิบัติการและการวิจัยต่างๆ
แม้รุ่นพี่เยี่ยจะเป็นพวกบ้าวิจัย แม้เขาจะยังไม่ได้มีตำแหน่งเท่านักวิจัยเลี่ยว แต่เขากับจั่วชิวหรงก็ยังยุ่งอยู่กับโครงการเครื่องยนต์อวกาศอยู่ด้านหนึ่ง และอีกด้านก็ยุ่งอยู่กับโครงการของนักวิจัยเลี่ยว ทุกวันที่กลับบ้านในหัวก็ยังนึกถึงเรื่องห้องปฏิบัติการอยู่ตลอด
การจะรู้ข่าวสารนี้ก็ต้องกดเข้าไปในกลุ่มหอพักของมหาวิทยาลัยและเห็นเพื่อนร่วมห้องคุยกันเรื่องรุ่นน้อง
เดิมทีรุ่นพี่เยี่ยแค่อ่านผ่านๆ แต่กลับไม่คิดว่าจะได้เห็นชื่อที่คุ้นเคยซึ่งนั่นก็คือฉินหร่าน หลังจากตามสืบเสาะมาหมดแล้ว รุ่นพี่เยี่ยก็ถึงได้รู้ว่ารุ่นน้องตัวเองคนนี้เก่งกาจขนาดไหน
“รุ่นน้อง ที่เธออยากเข้าสถาบันวิจัยก็เพราะมีอุดมการณ์จริงๆ สินะ?” รุ่นพี่เยี่ยยืนอยู่ข้างๆ ฉินหร่าน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เงินเดือนนักวิจัยระดับเบื้องต้นนั้นต่ำเกินไป มีดอกเตอร์และนักวิจัยระดับเบื้องต้นไม่น้อยที่รุ่นพี่เยี่ยรู้จักถูกสภาพความเป็นจริงบังคับให้พวกเขาต่างต้องย้ายไปทำอย่างอื่นกัน
และมีหลายคนที่ทิ้งความฝัน
เส้นทางเจ้าหน้าที่เทคนิควิจัย เว้นแต่จะต้องเดินไปถึงตำแหน่งอย่างนักวิจัยเลี่ยว มิฉะนั้นก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คนภายนอกคิด
การวิจัยผลงานออกมาชิ้นหนึ่ง โบนัสที่แจกจ่ายก็ราวกับได้น้ำหนึ่งแก้วไปใช้ดับไฟไหม้ขนาดเท่าคันรถ
ฉินหร่านได้ยินดังนั้น มือที่กำลังเคลื่อนไหวก็ชะงัก เธอเอียงหน้ามองรุ่นพี่เยี่ยราวกับครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “ฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนพวกเขาหรอก”
เธอละสายตากลับ
รุ่นพี่เยี่ยยืนนิ่งอยู่กับที่พลางมองแผ่นหลังฉินหร่านด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ฉินหร่านหมายถึงอะไร?
‘พวกเขา’ คือใคร?
**
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉินหร่านอยู่ที่ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ตลอด ส่วนอาหาร เฉิงมู่จะเอามาส่งให้ในตอนกลางวันและไม่ไปโรงอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงกองทัพคน
คนในห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ที่จำเธอได้ก็มี แต่ส่วนใหญ่ล้วนยุ่งอยู่กับงานวิจัย ไม่ได้น่ากลัวเหมือนพวกแฟนคลับกลุ่มนั้นที่อยู่ข้างนอก
พริบตาเดียวก็ถึงวันเสาร์
ฉินหร่านยุ่งมาตลอดทั้งสัปดาห์จนในที่สุดก็ได้พักผ่อนหนึ่งวัน เธอจึงไปพบอาจารย์ของฉินหลิงที่เขตที่พักอวิ๋นจิ่น
เฉิงเจวี้ยนขับรถมาถึงที่ใต้ตึกของฉินฮั่นชิว แต่ฉินหร่านกลับไม่ให้เขาตามไปด้วย
ฉินหร่านถอดเข็มขัดนิรภัย
ทันทีที่เงยหน้าก็เห็นเฉิงเจวี้ยนทำหน้าตาเฉยเมย มองเธอโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ทำให้รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก
“พ่อบ้านฉินก็อยู่ด้วย” ฉินหร่านเหลือบมองเฉิงเจวี้ยน “ใบหน้าของคุณคือใบผ่านทางสำหรับตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหลวงไม่ใช่เหรอ?”
“หลังจากอายุสิบหก ฉันก็อยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน พ่อบ้านฉินจำฉันไม่ได้หรอก” เฉิงเจวี้ยนกระแอมเสียงและตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย
ฉินหร่านไม่เชื่อ เธอเปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วปิดประตูดัง “ปัง”
สุดท้ายเอื้อมมือเคาะกระจกรถเพื่อให้เฉิงเจวี้ยนลดกระจกลง
“เป็นถึงทายาทตระกูลเฉิง พ่อบ้านฉินจะไม่รู้จักคุณเชียวเหรอ?” ฉินหร่านใช้มือค้ำกระจกรถ ยิ้มอย่างเนือยๆ จากนั้นก็ยื่นมือชี้ไปที่หน้าผากอย่างใจเย็น “ถึงฉันจะยุ่งกับโครงการวิจัยแต่ก็ยังมีสมองนะ”
“โอเค” มือเฉิงเจวี้ยนพาดบนพวงมาลัย หน้าตาเรียบหรูคล้ายกับดาวเปล่งแสง เขาหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินดังนั้น “ถ้าเธอพูดแบบนั้นก็ว่าตามนั้น ตอนบ่ายส่งข้อความมาบอกล่วงหน้าด้วย”
ฉินหร่านหดมือกลับ เดินถอยออกไปหนึ่งก้าว ขณะที่กำลังเดินไปที่ตึกใหญ่ก็โบกมือไปข้างหลังส่งๆ
จนกระทั่งแผ่นหลังเธอหายไปในตึก เฉิงเจวี้ยนถึงละสายตากลับมา
สวมชุดหูฟังบลูทูธไว้ที่หูแล้วเอื้อมมือไปกดต่อสายหาหมายเลขลึกลับ
**
ในขณะเดียวกัน ฉินหร่านก็เดินเข้าประตูใหญ่แล้ว
เธอหยุดที่หน้าประตูแล้วหันกลับไป จากนั้นไม่กี่วินาทีก็เห็นรถของเฉิงเจวี้ยนขับออกไป
เธอเพิ่งจะมาถึงที่ลิฟต์ กดปุ่มขึ้นลิฟต์ด้วยท่าทีไม่แยแส
วันนี้เป็นวันเสาร์ คนไม่ค่อยเยอะ เธอจึงไม่ต้องรอนานประตูลิฟต์ก็เปิดออก
เพิ่งจะเข้าลิฟต์ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
ฉินหร่านหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าเป็นฉังหนิง
เธอกดชั้นลิฟต์แล้วรับสายทันที “มีอะไร?”
ปลายสายอีกฝั่ง ฉังหนิงยังอยู่ที่บ้านตัวเอง เขาเดินลงมาที่ชั้นล่าง “เมื่อกี้เหอเฉินเพิ่งส่งข้อความมา มีภารกิจอยู่ภารกิจนึง ค่าคอมมิชชั่นห้าสิบเท่า เธอจะรับไหม?”
“ติ๊ง——” ลิฟต์ถึงแล้ว
ฉินหร่านลงจากลิฟต์แต่ยังไม่รีบเข้าไปในบ้าน เธอเดินมาที่หน้าบันไดและตอบกลับไปเรียบๆ “ไม่รับ”
ฉังหนิงเดินไปรอบๆ ห้องโถง จากนั้นก็เปิดประตูตู้เย็นอย่างสุขุม เขาหาของกินที่อยู่ข้างในพลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ “ผู้มอบหมาย เฉิงเจวี้ยน”
ฉังหนิงจำอย่างอื่นไม่ค่อยได้ แต่จำได้ว่าเหอเฉินเคยบอกเขาตอนที่อยู่อวิ๋นเฉิงว่าภารกิจแรกที่ฉินหร่านแหกกฎก็คือภารกิจที่เฉิงเจวี้ยนเป็นผู้มอบหมาย
ฉินหร่านผงะ
เธอพิงกำแพงแล้วตอบอย่างเงียบๆ “ส่งมา”
“รับไม่รับ?” ฉังหนิงถาม
ฉินหร่านกดขมับ พูดอย่างจำใจ “ฉันขอดูก่อน”
เธอกลัวว่าจะตรวจสอบเรื่องของตัวเอง
“อ้อ” ฉังหนิงหาอยู่นานก็หาถุงหนึ่งออกมาได้ “ถ้าไม่มีปัญหาก็ถือว่าเธอรับไปแล้วกัน ฉันจะให้เหอเฉินเรียบเรียงข้อมูลให้ก่อนแล้วจะส่งให้เธอในอีกหนึ่งชั่วโมง”
ทั้งสองวางสาย
ฉินหร่านยืนอยู่ที่ข้างบันไดนานได้สักพักกว่าจะกลับไป
**
ทางด้านนี้
ห้องโถงในบ้านของฉินฮั่นชิว
พ่อบ้านฉินกับอาจารย์คุคมาถึงนานแล้ว วันนี้เป็นวันเสาร์ หาได้ยากที่ฉินหลิงจะหยุดพักหนึ่งวัน
อาจารย์คุคกำลังคุยกับพ่อบ้านฉินที่โซฟา พ่อบ้านฉินปฏิบัติตัวกับอาจารย์คุคด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
มีเสียงกริ่งจากนอกประตู
ประตูห้องฉินหลิงไม่ได้ปิด เมื่อได้ยินเสียงนี้เขาก็รีบวิ่งออกไปเปิดประตูอว้ยความเร็วราวกับลมพัดกรรโชก
“พี่สาวของเขามาแล้ว” พ่อบ้านฉินลุกขึ้นพลางมองไปทางประตูด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
อาจารย์คุคเก่งภาษาจีนมาก แทบจะไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารกับคนในครอบครัวตระกูลฉินเลย พอได้ยินที่พ่อบ้านฉินบอก เขาก็เงยหน้ามองไปทางประตูโดยไม่รู้ตัว เขาอยู่กับตระกูลฉินมานานแล้วและยังได้ยินคนตระกูลฉินพูดถึงพี่สาวฉินหลิงอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจกับพี่สาวผู้ลึกลับคนนี้มานาน
ฉินหลิงเป็นนักเรียนที่ดีโดยไม่ต้องสงสัย ซึ่งอาจารย์คุคเองก็รับรู้ถึงความสามารถของเขาอย่างลึกซึ้ง ขณะนี้เขาเพิ่งเคยเห็นฉินหลิงทำตัวเหมือนเด็กน้อยเป็นครั้งแรก
อาจารย์คุคมองโดยไม่ละสายตาเพราะอยากเห็นพี่สาวคนนั้นของฉินหลิง
หลังจากฉินหลิงเปิดประตู ก็มีผู้หญิงสวมเสื้อโค้ตสีเบจเข้ามาจากด้านนอกพร้อมกับผ้าพันคอที่แขวนอยู่ในมือ รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาสะสวย แววตาเย็นชา ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พุ่งมาปะทะหน้าตามจังหวะท่วงท่าของเธอ
“อาจารย์ครับ นี่พี่สาวของผม” ฉินหลิงหันไป เขาเชิดคางขึ้นและแนะนำฉินหร่านให้คุครู้จักด้วยแววตาที่เป็นแสงอันเรืองรอง
พ่อบ้านฉินก็แนะนำคุคให้ฉินหร่านรู้จักด้วยน้ำเสียงเคารพ “คุณหนู นี่คืออาจารย์คุค เป็นคุณครูที่เก่งมากที่คุณชายหกหามาจากรัฐ M ”
พอพูดถึงตรงนี้ พ่อบ้านฉินก็ชะงัก เขาไม่รู้ว่าฉินหร่านรู้เรื่องที่รัฐ M หรือไม่…
หลังจากที่เขาพูดจบก็พบว่าอาจารย์คุคกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง แค่มองไปที่ฉินหร่าน
พ่อบ้านฉินเอียงตัวด้วยความสงสัย “คุณคุค?”
[1]ยกหินทับเท้าตัวเอง เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่ายกหินขึ้นมาเพื่อที่จะเอาไปทำร้ายผู้อื่น แต่หินก้อนนั้นดันกลับหล่นทับตัวเอง (คิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง)