เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่430บอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังฉินหลิงโอวหยางเวย
หลังจากฉินซิวเฉินถ่ายทำรายการไอดอล24ชั่วโมงเสร็จแล้วกลับมาถึงเมืองหลวง ก็ได้คุยกับพ่อบ้านฉินตั้งแต่คืนนั้นแล้ว พ่อบ้านฉินจำไว้ในใจเสมอมา
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาพ่อบ้านฉินก็เคยได้ยินฉินหลิงบอกว่าฉินหร่านกำลังยุ่งอยู่กับการวิจัย
อาเหวินฟังจบก็ได้แต่มองพ่อบ้านฉินพลางถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
พ่อบ้านฉินทำหน้าเข้ม แววตาเคร่งขรึม “ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือคุณชายน้อยและยังมีการต่อสู้ที่ดุเดือด คุณคุคก็เคยบอกแล้วว่าคุณชายน้อยมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา การที่จะผ่านปัญหาที่แก้ยากของคุณชายสี่ไปได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือคุ้มครองความปลอดภัยของเขา เพราะคุณชายสี่อาจจะลงมือได้”
“คุณชายสี่จะปล่อยให้คุณชายน้อยผ่านการประเมินเหรอครับ?” อาเหวินส่ายหน้า ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้คุยง่ายขนาดนั้น
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ฉินหร่าน แต่เป็นคุณชายสี่ตระกูลฉินจะกลั่นแกล้งฉินหลิงอย่างไร
การฝึกฝนของฉินหลิงในช่วงครึ่งเดือนนี้ถึงจะเรียกได้ว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด พ่อบ้านฉินคิดถึงตรงนี้ก็ก้มหน้าดูโทรศัพท์ ในโทรศัพท์เป็นเกณฑ์การประเมินใหม่ที่ส่งมาจากอีกฝ่าย
โดยหลักแล้วตระกูลฉินเป็นผู้ครอบครองโซนITภายในประเทศ แต่ไหนแต่ไรมาทายาทสายตรงที่ผ่านมาตรฐานทักษะทางด้านเทคโนโลยีจะสามารถเลื่อนขั้นได้สำเร็จ ซึ่งทางฝั่งคุณชายสี่ตระกูลฉินจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างจากตรงนี้อย่างแน่นอน
พ่อบ้านฉินอ่านเกณฑ์การประเมินที่อีกฝ่ายส่งมา จากนั้นก็เปิดประตูห้องโถงแล้วเดินไปอีกด้านหนึ่ง
อีกด้าน ประตูห้องคุคไม่ได้ปิดไว้ เขากำลังสอนฉินหลิงหาฐานข้อมูลอยู่ในห้องโถง
“พ่อบ้านฉิน” เมื่อเห็นพ่อบ้านฉิน คุคก็เงยหน้าขึ้นถามด้วยความแปลกใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
พ่อบ้านฉินเหลือบมองฉินหลิง ไม่ได้พูดออกไปในทันที ความหมายชัดเจน คุคตระหนักได้ว่าพ่อบ้านฉินมีเรื่องที่ไม่สามารถคุยต่อหน้าฉินหลิงได้ เขาจึงวางหนังสือลงแล้วตามพ่อบ้านฉินออกนอกประตู
“คุณคุค คุณลองดูนี่หน่อยสิครับ” พ่อบ้านฉินนำเกณฑ์การประเมินใหม่ให้คุคดู “คุณชายน้อยจะสามารถผ่านเกณฑ์นี้ได้หรือเปล่าครับ?”
คุครับมาและไม่ได้รีบตอบไปในทันที แต่กำลังครุ่นคิด
เวลาครึ่งเดือนต่อจากนี้ ต้นเดือนมกราคม
พ่อบ้านฉินจ้องมองเขา แขนที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น
หลังจากผ่านไปได้สักพัก คุคก็ยื่นโทรศัพท์คืนพ่อบ้านฉิน นัยน์ตาสีน้ำตาลสะท้อนแสง “เขาสามารถผ่านมันไปได้”
“ผ่านได้?” รูม่านตาพ่อบ้านฉินขยายเล็กน้อย ประหลาดใจอย่างท่วมท้น ร่างแก่ของเขาสั่นเทา “นี่คุณพูดจริงใช่ไหม เกณฑ์ประเมินสูงขนาดนี้…”
“ไม่ คุณฟังผมก่อน” คุคส่ายหน้า เขามองพ่อบ้านฉิน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวหลิงไม่เพียงแค่เป็นอัจฉริยะ แต่พื้นฐานของเขายังยอดเยี่ยมมากอีกด้วย ผมเดาว่าต้องมีคนที่ตระหนักได้และเริ่มปลูกฝังเขาตั้งแต่เขายังเด็ก เกณฑ์มาตรฐานพวกนี้เป็นความท้าทายสำหรับเขา แต่ถ้าผมฝึกฝนเขาเป็นอย่างดีก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ผมขอถามหน่อยว่า…คนที่อยู่เบื้องหลังเขาเป็นคนที่เก่งมากใช่ไหม? มีคนเคยให้เขาอ่านพวกหนังสือตำราอะไรหรือเปล่า?”
มีคนอบรมบ่มเพาะเขาได้อย่างไร?
พ่อบ้านฉินผงะ เขาไม่รู้เรื่องราวการเติบโตของฉินหลิงเลย “คุณหมายความว่ามีคนปลูกฝังเขาตั้งแต่เขายังเด็กโดยไม่รู้ตัว? เป็นไปไม่ได้”
เขาเคยเห็นสภาพแวดล้อมที่ฉินหลิงเติบโตมาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงฉินฮั่นชิว เพราะแม้แต่คนในครอบครัวของแม่ฉินหลิงก็ล้วนเป็นพวกกำเริบเสิบสาน เป็นคนละโมบโลภมากทั่วๆ ไป จะมีใครตระหนักถึงการปลูกฝังฉินหลิงได้?
“ไม่มีเหรอ? น่าแปลก” คุคคลางแคลงใจอย่างเห็นได้ชัด “ความคิดความอ่านของเขา…”
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพ่อบ้านฉินเสร็จ คุคก็กลับมาสอนฐานข้อมูลให้ฉินหลิงที่ห้องโถงต่อ
ด้านนอกประตู หัวสมองที่ร้อนระอุของพ่อบ้านฉินสงบลงอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฉินซิวเฉิน รายงานข่าวดีของฉินหลิงให้ฉินซิวเฉินฟัง “คุณชายสี่คงคิดไม่ถึงแน่ๆ ”
ฉินซิวเฉินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หลังจากพูดจบ พ่อบ้านฉินก็เผยข้อข้องใจตัวเองออกมา “คุณคุคบอกว่ามีคนริเริ่มปลูกฝังคุณชายน้อยตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้ตัว แปลกจริงๆ มีคนปลูกฝังเขาจริงๆ เหรอ…”
ปลายสาย ฉินซิวเฉินที่กำลังเปิดดูสคริปต์ได้ยินประโยคนี้ นิ้วเรียวยาวก็หยุดอยู่ที่หน้าสคริปต์โดยไม่ขยับ
เขานึกถึงคำพูดที่ฉินฮั่นชิวเคยคุยกับเขา ตอนที่ฉินหลิงยังเด็กมักจะวิ่งไปหาฉินหร่านที่โรงเรียนเธอ
ที่เขตที่พักอวิ๋นจิ่น สองพี่น้องก็มักจะหมกตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ ตามที่ฉินฮั่นชิวบอก ฉินหร่านยังเคยส่งหนังสือให้ฉินหลิงไม่น้อย
เมื่อก่อนฉินซิวเฉินคิดเป็นตุเป็นตะว่าทั้งสองศึกษาเกมด้วยกัน ถึงอย่างไรฉินหร่านก็เป็นคนอัดวิดีโอเกมให้ฉินหลิง ฉินหลิงเองก็เคยเล่นให้ฉินซิวเฉินดูมาก่อน ทว่าตอนนี้…
พอนึกถึงคำพูดที่ผู้จัดการเคยบอกเขา ฉินซิวเฉินก็ตระหนักได้ว่าคนที่ปลูกฝังฉินหลิงโดยไม่รู้ตัวคนนั้นน่าจะเป็นฉินหร่าน
**
ทางด้านนี้
ฉินหร่านไม่ได้ติดต่อเฉิงเจวี้ยน เธอออกจากเขตที่พักอวิ๋นจิ่นก็เรียกรถแท็กซี่ไปที่ถนนมืด
ทางแยกถนน129
ฉินหร่านลงจากรถ ติดกระดุมหมวกเสื้อกันลมแล้วพันผ้าพันคอขึ้นสูง จากนั้นก็เดินเข้าประตู129
วันนี้เธอเพิ่งมีเวลาว่าง เธอจึงมาสืบเรื่องตระกูลฉินและดูรายละเอียดภารกิจของเฉิงเจวี้ยน
หลังจากเธอเข้ามาในลิฟต์ก็ส่งข้อความให้ฉังหนิงโดยบอกว่าเธอมาแล้ว แล้วจึงเปิดข้อมูลคร่าวๆ ที่เหอเฉินส่งให้เธอ
ฉินหร่านอ่านจบแวบเดียวสิบบรรทัด สายตาหยุดอยู่ที่บรรทัดสุดท้าย——
(712)
“ติ๊ง——”
ประตูลิฟต์เปิด
ฉินหร่านยืนอยู่ในลิฟต์ยังไม่ออกไป
ฉังหนิงที่รออยู่นอกประตูลิฟต์นานแล้วเอ่ยถามพลางติดกระดุม “เธอไม่เป็นไรนะ?”
“เปล่า” ฉินหร่านส่ายหน้าแล้วออกจากลิฟต์
“อ่านเนื้อหาที่เหอเฉินส่งให้หรือยัง?” ฉังหนิงพาฉินหร่านไปที่ห้องทำงาน เขาเปิดประตูให้ฉินหร่านเข้าไปก่อน “ตอนแรกเธอเป็นคนปิดเรื่อง712เอง ก็เลยต้องเรียกเธอมารับภารกิจนี้ ถึงไม่ได้เรียกเธอมา คนอื่นก็รับไม่ได้”
ฉังหนิงเดินไปที่ห้องรับรองภายในห้องทำงาน เทกาแฟสองแก้วแล้วชี้ไปที่โซฟา “นั่งสิ”
ฉินหร่านนั่งบนโซฟาพลางมองสำรวจไปรอบๆ ห้องทำงานโดยไม่ตอบอะไร ถามแค่ว่า “มีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นไหม?”
“ไม่มี เธอจะสืบเรื่องอะไรก็สืบไปเถอะ” ฉังหนิงนั่งไขว่ห้างดื่มกาแฟ เขายกคางชี้ไปที่คอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
ฉินหร่านจึงเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาข้อมูลตระกูลลู่กับตระกูลฉินอย่างไม่เกรงใจ
ฉังหนิงมองเธออยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว “รหัสผ่านคอมพิวเตอร์ของฉันมันเป็นของปลอมสำหรับเธอหรอ?”
ฉินหร่านไม่ได้เงยหน้า “ทำไมล่ะ?”
ฉังหนิงพอใจเล็กน้อย “ฉันเพิ่งเปลี่ยนรหัสผ่านน่ะ”
“…คราวหน้าฉันจะระวัง” ฉินหร่านตอบอย่างเฉยเมย เรียกดูข้อมูล129ต่อ
ฉินหร่านเรียกดูข้อมูลทั้งหมดภายในห้านาที จากนั้นก็สวมผ้าพันคอเดินออกไปพลางครุ่นคิด
เธอยืนอยู่ข้างลิฟต์ มือหนึ่งดึงผ้าพันคอขึ้น ส่วนอีกมือหนึ่งถือโทรศัพท์กดรูปโปรไฟล์ของลู่จ้าวอิ่ง ถามเขาไปหนึ่งประโยค——
(สัปดาห์หน้าพวกคุณว่างไหม?)
ประตูลิฟต์เปิดออก ฉินหร่านเดินเข้าไปแล้วกดลิฟต์
ในขณะเดียวกัน
ลิฟต์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็มาถึงในเวลาเดียวกัน ขณะที่ค่อยๆ เปิดออกก็เห็นร่างเพรียวบางยืนอยู่ข้างใน
“คุณโอวหยาง เชิญทางนี้ครับ” พนักงานที่อยู่นอกลิฟต์ก้มตัวเล็กน้อย
โอวหยางเวยละสายตาจากลิฟต์ฝั่งตรงข้าม เธอเอียงหน้าพลางมองไปทางพนักงานอย่างสุภาพ “เมื่อกี้บอสมีแขกเหรอ?”
“ผมไม่แน่ใจ” พนักงานส่ายหน้า
โอวหยางเวยผงกหัวไม่ได้ซักไซ้ต่อ
ประตูลิฟต์ปิดเร็วไปหน่อย โอวหยางเวยจึงเห็นแค่แผ่นหลังอยู่รางๆ ที่ดูคุ้นๆ
**
ฉินหร่านนั่งแท็กซี่กลับไปที่ถิงหลาน
เวลานี้กลุ่มของเฉิงเจวี้ยนกับเฉิงเวินหรูกำลังนั่งที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง
“ได้ยินเฉิงจินบอกว่านายกำลังปวดหัวกับ129อยู่เหรอ?” เฉิงเวินหรูยกข้อมือดูเวลา เกือบบ่ายสามบ่ายสี่โมงแล้วฉินหร่านก็ยังไม่ส่งข้อความมา เธอเงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยน คงไม่ใช่ว่าโดนทิ้งหรอกนะ
แต่เธอไม่กล้าถามเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนยื่นมือคีบบุหรี่ในปาก พูดอย่างใจเย็นว่า “อืม”
“มีปัญหาอะไร?” เฉิงเวินหรูมองเขาพลางเลิกคิ้ว
เฉิงเจวี้ยนไม่ตอบ พอเฉิงจินที่ขึ้นมาจากชั้นล่างได้ยินที่เฉิงเวินหรูถาม เขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “ไม่มีการตอบรับ ดูแล้วท่าจะยาก”
“จากคำพูดของคุณชายเจวี้ยน น่าจะไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้นนี่?” เลขาหลี่นั่งอยู่อีกด้าน เขาดันแว่นตาบนสันจมูกพลางส่ายหน้าเล็กน้อย เขารู้เรื่องไม่มากแต่ก็พอจะเข้าใจว่าเฉิงเจวี้ยนมีอำนาจอยู่เบื้องหลัง ลำพังแค่เงินที่ไม่มีวันเหือดแห้งก็เป็นจุดที่น่าสงสัย
“คุณรู้ไหมว่าคนที่เขาเรียกมารับภารกิจเป็นใคร?” เฉิงจินเหลือบมองเลขาหลี่อย่างเงียบๆ
เขาพูดมาถึงขนาดนี้ เลขาหลี่กับเฉิงเวินหรูก็พอจะเดาได้บ้างแล้ว เลขาหลี่เงียบไปสักพัก “คงไม่ใช่ผู้บุกเบิกคนนั้นหรอกนะ?”
เฉิงจินนั่งข้างๆ เลขาหลี่ รินน้ำให้ตัวเอง “ไม่ใช่เป็นแค่ผู้บุกเบิก”
พอเอ่ยขึ้นมาก็รู้แล้วว่าเป็นใครโดยไม่จำเป็นต้องเดา
เฉิงเวินหรูนั่งไขว่ห้าง มองเฉิงเจวี้ยนอย่างได้ใจ “งั้นก็ยากแล้วล่ะ ได้ยินว่าครั้งสุดท้ายที่หมาป่าเดียวดายรับภารกิจคือปีที่แล้ว? การนัดหมายยังยากกว่าตารางการผ่าตัดของนายที่มีแค่เดือนละครั้งเสียอีก นายจะไปพบโอวหยางเวยไหม?”
เฉิงเจวี้ยนเงยหน้ามองเฉิงเวินหรู ท่าทางไม่ยินดียินร้าย เขาเล่นไฟแช็กอย่างเฉยชาแต่ก็ไม่ได้จุดมัน
เมื่อเห็นท่าทีของเขา เฉิงเวินหรูก็ทำหน้าจริงจัง “เรื่องนี้หาเจ้าหน้าที่ภายในจะดีกว่า เรื่องที่นายจะสืบน่าจะสำคัญมากใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้โอวหยางเวยเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีศักยภาพใน129 เธอมีวิธีอยู่แล้ว…”
ก่อนเธอจะพูดจบก็เห็นเฉิงเจวี้ยนเงยหน้ามองไปทางด้านหลังของเธอ