เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่448วันนี้ก็ยังเป็นbugฉิน
“หัวหน้าเจียง?” จั่วชิวหรงหลุดปากเมื่อเห็นชายวัยกลางคน
หัวหน้าเจียงคือผู้ดูแลสถาบันวิจัย จั่วชิวหรงจะไม่รู้จักได้อย่างไร?
หัวหน้าเจียงมองจั่วชิวหรง เขาไม่รู้จักรุ่นพี่เยี่ยแต่รู้จักฉินหร่าน และไม่คุ้นหน้าจั่วชิวหรง เขาจึงรู้ว่าจั่วชิวหรงไม่ใช่หนึ่งในสองคนนี้อย่างแน่นอน หัวหน้าเจียงได้แต่ผงกหัวให้เธอ
“ทั้งสองท่านพร้อมไหมครับ?” หัวหน้าเจียงมองอีกสองคนที่อยู่ห้องปฏิบัติการ พูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพมาก
เวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าตอนที่นักวิจัยลู่กับนักวิจัยเลี่ยวออกไป
พวกเขาได้บอกกับรุ่นพี่เยี่ยไว้แล้วว่าอีกไม่นานคนของสถาบันวิจัยจะมาหาเขา แต่เมื่อผ่านช่วงเช้าไปแล้วก็ยังไม่มีคนมา ทั้งสามคนในห้องปฏิบัติการจึงคิดว่าคงไม่มีใครมาแล้ว
แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากผ่านเวลาอาหารกลางวันไปได้ไม่นาน คนของสถาบันวิจัยจะมาจริงๆ …
ฉินหร่านยังจิ้มโทรศัพท์ตัวเองอยู่ ทางด้านอาจารย์ใหญ่สวียังคงแสดงสถานะ“อยู่ในระหว่างการนำเข้าข้อมูล” ยังไม่มีการตอบกลับ
เธอเหลือบตามองแล้วโยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ “ตุ๊บ” จากนั้นดึงลิ้นชักแล้วหยิบแฟ้มสีฟ้าออกมาจากข้างใน
“รุ่นพี่เยี่ย นี่คือข้อมูลที่คุณให้ฉัน ฉันเรียบเรียงมาใหม่แล้ว” ฉินหร่านยื่นแฟ้มให้รุ่นพี่เยี่ย “รบกวนคุณไปกับเขาด้วย ฉันยังมีธุระ”
“รุ่นน้อง ไม่ได้นะ…” รุ่นพี่เยี่ยกลับมารู้สึกตัว เขาตอบปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ ใครต่างก็รู้ดีว่าถ้าไปสถาบันวิจัยแล้วก็จะได้รับการจดจำจากพวกนักวิจัย โดยเฉพาะที่ชายวัยกลางคนคนนั้นบอกไว้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก
เมื่อเห็นรุ่นพี่เยี่ยไม่รับ ฉินหร่านก็ลากเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น เธอใช้แฟ้มตบบนตัวเขา ปฏิเสธเสียงแข็ง “คุณไปเถอะ”
หัวหน้าเจียงยังรออยู่ที่หน้าประตู
ฉินหร่านยังยืนกรานไม่ยอมไป สุดท้ายรุ่นพี่เยี่ยก็เหลือบมองฉินหร่านอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ถือแฟ้มตามหัวหน้าเจียงออกไป
หัวหน้าเจียงทราบว่านี่คือคนที่นักวิจัยของสถาบันวิจัยเหล่านั้นเล็งเห็นความสามารถ เขาจึงมีท่าทีนุ่มนวลและสุภาพกับรุ่นพี่เยี่ย
หลีกทางให้อย่างนอบน้อม
ทั้งสองเดินผ่านจั่วชิวหรงที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ไม่ไกลจากหน้าประตู
หลังจากรุ่นพี่เยี่ยเดินจากไปนานมากแล้ว เธอก็ยังยืนนิ่งไม่ได้สติอยู่กับที่ นิ่งเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง
เธอได้ยินคำพูดที่หัวหน้าเจียงเพิ่งพูดเมื่อสักครู่อย่างชัดเจน รถของผู้อำนวยการฟังจอดอยู่ด้านนอกห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ การที่สามารถทำให้ผู้อำนวยการฟังออกตัวได้นั้น ฉินหร่านจะต้องค้นพบอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน และโดยพื้นฐานรุ่นพี่เยี่ยก็จะได้รับการประเมินขั้นเป็นนักวิจัยขั้นสี่ไปโดยปริยาย
หัวหน้าเจียงเป็นผู้ดูแลสถาบันวิจัย เป็นบุคคลที่เธอกับรุ่นพี่เยี่ยต้องแหงนหน้ามอง
พอกลับไปนึกถึงท่าทีที่หัวหน้าเจียงปฏิบัติต่อรุ่นพี่เยี่ยแล้ว…
จั่วชิวหรงไม่แปลกใจเลยที่รุ่นพี่เยี่ยจะได้รับการประเมินขั้นเป็นนักวิจัยขั้นสี่เมื่อถึงสิ้นปี เธอจินตนาการได้ว่าเมื่อมีหัวหน้าเจียงและนักวิจัยที่เล็งเห็นความสามารถของรุ่นพี่เยี่ย เส้นทางสู่อนาคตจะราบรื่นสักแค่ไหน
ที่แท้แล้ว…เธอก็มีโอกาสเหมือนกัน…
จั่วชิวหรงเลื่อนสายตามองมาทางฉินหร่านที่กำลังดูโทรศัพท์อยู่
ถ้าเธอไม่รู้เรื่องนี้ก็แล้วไป
ตอนแรกรุ่นพี่เยี่ยเคยคุยเรื่องฉินหร่านกับเธออยู่หลายครั้ง ทว่าตอนนั้นจั่วชิวหรงถูกความอิจฉาครอบงำจิตใจ จึงฟังอะไรก็ไม่เข้าหู
โอกาสอุตส่าห์มาวางอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับทิ้งมันไปเอง จั่วชิวหรงนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ซุกหัวไว้ที่เข่า
ฉินหร่านนั่งเปิดไฟล์อยู่บนเก้าอี้อย่างจดจ่อ
ในโทรศัพท์ อาจารย์ใหญ่สวีที่กำลังอยู่ในระหว่างการป้อนข้อมูลตอบกลับมาในที่สุด——
(…ใคร?)
ฉินหร่านวางมือบนแป้นพิมพ์ ใช้มือข้างหนึ่งจิ้มโทรศัพท์ตอบกลับข้อความ
(รุ่นพี่ที่ห้องปฏิบัติการ)
คราวนี้ทางด้านอาจารย์ใหญ่สวีที่อืดอาดยืดยาดมาตลอดตอบกลับข้อความมาอย่างสบายอกสบายใจ
อาจารย์ใหญ่สวี : (ส่งข้อมูลมาให้ฉัน ฉันจะไปยื่นสมัครตอนนี้เลย)
ฉินหร่านเลิกคิ้ว
เธอส่งข้อมูลพื้นฐานของรุ่นพี่เยี่ยไป
ใบสมัครของอาจารย์ใหญ่สวียังต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองวันในการตรวจสอบ ฉินหร่านคิดดูแล้วก็ไม่ได้บอกรุ่นพี่เยี่ย ตัดสินใจรอตรวจสอบเสร็จแล้วค่อยลองถามเขาดูอีกที
เดิมทีทีมพวกเขามีกันสี่คน เพิ่มรุ่นพี่เยี่ยเข้ามาอีกหนึ่งคน ประสิทธิภาพก็น่าจะเร็วขึ้น
แม้รุ่นพี่เยี่ยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ฉินหร่านก็รับรู้ได้ว่าสาเหตุความขัดแย้งส่วนใหญ่ระหว่างเขากับจั่วชิวหรงนั้นมาจากเธอ
**
ในขณะเดียวกัน
สถาบันวิจัย
ชายชราชุดดำเข้มกำลังยืนอยู่นอกห้องวิจัย เขามองไปยังกลุ่มนักวิจัย นัยน์ตาเข้มขึ้น
ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ หันมามองชายแก่ “ผู้อำนวยการฟัง ฉินหร่านนั่น…”
“คนจากเมืองหนิงไห่” ฟังเจิ้นปั๋วหันมา เสียงของเขาแหบเป็นพิเศษ ฟังแล้วแสบหู
“เป็นเธอจริงๆ ด้วย…” ชายวัยกลางคนหน้าถอดสี
ฟังเจิ้นปั๋วเม้มปาก ยืนอยู่หน้าต่างกระจกมองไปข้างในอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ติดต่อกับคนของพิพิธภัณฑ์หรือยัง?”
“ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์ทำเฉไฉกับพวกเราครับ พวกเขาบอกว่าหาไม่เจอ” ชายวัยกลางคนกลับมารู้สึกตัว ขมวดคิ้ว
“เป็นไปได้ยังไง” ฟังเจิ้นปั๋วเสียงอ่อนลง น้ำเสียงราบเรียบ “นายจับตาดูต่อไป”
**
ในแง่ของวัสดุอุปกรณ์ ไม่มีที่ไหนดีไปกว่าสถาบันวิจัย
กลุ่มของนักวิจัยเลี่ยวและรุ่นพี่เยี่ยอยู่สถาบันวิจัยตลอดทั้งวันยังไม่กลับมา
เฉิงมู่มารับฉินหร่านกลับไปในเวลาสี่ทุ่ม
สองวันมานี้เฉิงเจวี้ยนก็ยุ่งมาก นอกจากทางด้านพิพิธภัณฑ์แล้วก็ยังต้องฟังเฉิงเว่ยผิงรายงานอาการของฉินหลิงอยู่ตลอด
ฉินหร่านหยุดอยู่ที่ทางเข้า เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะและถอดเสื้อคลุมแขวนไว้อีกด้านอย่างลวกๆ
เฉิงมู่เดินตามฉินหร่านเข้ามา “คุณหนูฉิน พ่อครัวทิ้งอาหารมื้อดึกไว้ให้ครับ”
ฉินหร่านกอดหมอนนั่งบนโซฟา เอนศีรษะไปทางด้านหลังพลางยื่นมือกดข้อมือขวา เมื่อได้ยินที่เฉิงมู่พูดก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยเสียงเหนื่อยล้า “ไม่ต้องแล้ว”
เฉิงมู่แกล้งไม่ได้ยิน เขาเข้าไปเอามื้อดึกในครัวมาเสิร์ฟ วางไว้บนโต๊ะกาแฟตรงหน้าฉินหร่าน
ฉินหร่านเงยหน้ามองเขาอย่างเฉยชา
“คุณชายเจวี้ยนสั่งไว้ครับ” เฉิงมู่รีบบอก
เฉิงจินสอนทักษะใหม่ให้เขา ท่ามกลางสถานการณ์ไม่สู้ดี แค่โบ้ยให้พวกเขาสองคนก็พอแล้ว
น่าจะใช้ได้
ฉินหร่านหยิบช้อน ค่อยๆ กลืนลงไป
เฉิงมู่นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเดินไปหยิบแฟ้มหนาๆ สามชุดที่อยู่อีกด้านเดินเข้ามา วางไว้ข้างมือฉินหร่าน “วันนี้ตอนที่ผมไปโรงพยาบาล พ่อบ้านฉินฝากผมมา เหมือนจะเป็นเอกสารการคัดเลือกอะไรเนี่ยแหละ”
นี่คือของที่ให้ฉินหร่าน เฉิงมู่ไม่ได้เปิดดู มันถูกเก็บเป็นความลับมาจนถึงตอนนี้
“คัดเลือก?” ฉินหร่านถือช้อนด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเปิดดูเอกสาร
น่าจะเป็นโจทย์ยากที่คุณชายสี่ตระกูลฉินออกให้ฉินหลิง…