เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่450เจ๊หร่านมาแล้วเข้าร่วมการคัดเลือก
รุ่นพี่เยี่ยรับใบรายการ มือชะงักไปชั่วครู่แล้วเงยหน้า “ตกลง รุ่นน้องเธอมีธุระตอนเย็น?”
เนื่องจากอยู่ห้องปฏิบัติการเดียวกัน รุ่นพี่เยี่ยจึงรู้ดีว่าช่วงนี้ฉินหร่านยุ่งมาก
“มีเรื่องน่ะ อาจจะไม่กลับไป” ฉินหร่านก้มหน้าดูโทรศัพท์ เธอดึงผ้าพันคอขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูคลุมเครือ
การคัดเลือกขั้นต้นของตระกูลฉินคือเวลาหนึ่งทุ่มตรง ถึงอย่างไรก็เป็นการคัดเลือกของตระกูลใหญ่จึงเป็นทางการมาก
โดยทั่วไปทายาทตระกูลใหญ่จะมีการอบรมตามเกณฑ์การคัดเลือกโดยเฉพาะ คุณชายสี่ตระกูลฉินก็เคยได้รับการอบรมมาเป็นพิเศษ ระดับความยากในการคัดเลือกมีทั้งสูงทั้งต่ำ แต่เขากำหนดระดับความยากให้ฉินหลิงเป็นระดับสูงสุด
รุ่นพี่เยี่ยลุกไปส่งฉินหร่านออกไป
หลังจากกลับมานั่งที่ตัวเองก็กินข้าวกับรูมเมทต่อ
รูมเมทถือตะเกียบพลางมองไปยังทิศทางที่ฉินหร่านจากไป จากนั้นก็หันมามองรุ่นพี่เยี่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ฟาดตะเกียบลงบนโต๊ะ “ให้ตายเถอะเยี่ยหมิงเฉียว ฉินหร่านเป็นรุ่นน้องนายเหรอเนี่ย ทำไมไม่บอกพวกเราเลย? นายมีความสุขมากใช่ไหมที่เห็นพวกเราคุยเรื่องเธอกันในกลุ่มหอพัก ? !”
เมื่อกี้เพิ่งจะเห็นอกเห็นใจรุ่นพี่เยี่ย ทว่าขณะนี้รูมเมทต่างก็มองเขาโดยไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจผ่านทางสีหน้าเลย
ถามรุ่นพี่เยี่ยกันเจี๊ยวจ๊าวไปหลายคำถาม
ความเป็นจริงของวงการบันเทิงมีความเสมือนจริงมาก ถ้าใครไม่มีข่าวมาเป็นเวลานานก็จะถูกชาวเน็ตลืมเลือนไปอย่างช้าๆ และหมดความนิยมไปในที่สุด
ช่วงนี้ฉินหร่านก็ไม่ได้มีประเด็นฮอตอะไรแล้ว แต่ในระหว่างหนึ่งเดือนความนิยมของเธอกลับกู่ไม่กลับ
หลังจากถามจบ รูมเมทก็มองมาที่ใบรายการที่รุ่นพี่เยี่ยวางไว้บนโต๊ะ “เธอเอาโครงการอะไรให้นาย?”
รุ่นพี่เยี่ยหยิบตะเกียบขึ้นและเหลือบมองไปตรงนั้น “ไม่รู้สิ”
“ฉันดูหน่อย” รูมเมทตื่นเต้นเล็กน้อยและไม่กินข้าวแล้ว เขาหยิบใบรายการขึ้นมาพลิกเปิดปกกระดาษเปล่า
ด้านหลังเป็นข้อมูลพื้นฐานของรุ่นพี่เยี่ย ด้านหลังที่อยู่ถัดไปอีกเป็นแบบฟอร์มใบสมัคร รูมเมทอ่านหัวข้อ ”โครงการวิจัยเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ รอบชิงชนะเลิศICNE…
เดิมทีเขาก็อ่านด้วยความตื่นเต้นอยู่แล้ว พอพูดมาถึงตรงนี้ก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ได้แต่เงยหน้ามองรุ่นพี่เยี่ยที่กำลังกินข้าวด้วยความสับสน “ฉันอ่านผิดไปหรือเปล่า เยี่ยหมิงเฉียว นาย…นายอ่านเองอีกรอบซิ…”
รูมเมทคืนใบสมัครให้รุ่นพี่เยี่ยใหม่
มือรุ่นพี่เยี่ยที่กำลังถือตะเกียบกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมชะงักทันที
รับแบบฟอร์มสมัครมาโดยตรง
รุ่นพี่เยี่ยรู้ดีว่าฉินหร่านจะเข้าร่วมการแข่งขันICNEในเดือนหน้า ต่อมาตอนที่ฉินหร่านบอกว่าเธอมีอาจารย์แล้ว รุ่นพี่เยี่ยก็เดาว่าคงเป็นอาจารย์ของเธอที่ช่วยเก็บโควตาทีมต่างประเทศไว้ให้หนึ่งทีม
ทว่าขณะนี้…
รุ่นพี่เยี่ยก้มหน้าอ่านบรรทัดสุดท้าย
หัวหน้า : ฉินหร่าน
สมาชิก : หนานฮุ่ยเหยา ฉู่หาง…
ทั้งทีมนี้เป็นของฉินหร่าน?
รูมเมทนั่งทบทวนเรื่องราวในชีวิตเสร็จก็หันมามองแบบฟอร์มในมือรุ่นพี่เยี่ย เวลานี้เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไป “เยี่ยหมิงเฉียว ไม่ต้องดูแล้ว ฉันแน่ใจแทนนายแล้ว นี่ก็คือรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันICNE ไม่สามารถใช้สามัญสำนึกในการคาดเดาเธอได้เลยจริงๆ …”
รูมเมทไม่พูดคำว่าเสียดายกับรุ่นพี่เยี่ยอีกเลย
แต่ละปีทีมที่สามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศICNEได้นั้นล้วนเป็นพวกดอกเตอร์นักวิจัยห้องปฏิบัติการชั้นนำของประเทศ มีอาจารย์คอยอบรมทีมโดยเฉพาะ
เมื่อเทียบกับโครงการนี้แล้ว โครงการเครื่องยนต์อวกาศของรุ่นพี่เยี่ยก่อนหน้านี้ยังเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมเลยด้วยซ้ำ
ความแตกต่างดุจดังแตงโมกับเมล็ดงาที่เล็กจนไม่จำเป็นต้องแยแส
**
ทางด้านนี้
ฉินหร่านออกจากประตูมาแล้ว รถของเฉิงมู่จอดอยู่ไม่ไกล
เขาสังเกตมาทางประตูใหญ่ตลอดเวลา เมื่อเห็นฉินหร่านออกมาแล้วก็รีบลงรถไปเปิดประตูเบาะหลัง “ตอนนี้รถน่าจะติดหน่อยนะครับ”
เฉิงมู่มองผ่านกระจกมองหลัง
ระยะทางจากห้องปฏิบัติการกับสำนักงานใหญ่ตระกูลฉินไม่ได้ไกลกันมาก ถ้าเป็นเวลาปกติ ขับรถเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว
แต่ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น เป็นช่วงที่รถติดมากที่สุด แม้เฉิงมู่จะขับอ้อมแต่ก็ยังติด
ฉินหร่านควานหาหูฟังออกมาจากกระเป๋าเป้ เธอสวมให้ตัวเองพลางพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา แฝงไปด้วยความอ่อนเพลีย “ถึงแล้วเรียกฉันด้วย”
เธอเอนหลังพิงเบาะ มือหนึ่งพาดบนกระจกหน้าต่าง ดึงหมวกเสื้อโค้ตคลุมหัว มองเห็นหน้าไม่ชัด
สายหูฟังสีดำเลื่อนบนปกคอเสื้อสีขาวไหลไปตามการเคลื่อนไหวของเธอ
เฉิงมู่ยังไม่รู้ว่าวันนี้ฉินหร่านไปสำนักงานใหญ่ตระกูลฉินทำไม เมื่อเห็นฉินหร่านหลับจากกระจกมองหลังก็ยื่นมือไปปรับเพิ่มอุณหภูมิรถพร้อมกับปิดเพลงในรถ ขับรถเงียบๆ มาถึงถนนใหญ่
โทรศัพท์ที่วางข้างหน้าส่งเสียง
เฉิงมู่เหลือบมองก็พบว่าเป็นเฉิงเจวี้ยน
เขากดหูฟังบลูทูธที่หู พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “คุณชายเจวี้ยน”
เฉิงเจวี้ยนที่อยู่อีกด้านหนึ่งถอดถุงมือออกแล้วโยนไปบนโต๊ะอย่างส่งๆ เสียงค่อนข้างต่ำ “รับเธอแล้ว?”
เฉิงมู่เหลือบมองกระจกมองหลัง “เพิ่งขึ้นรถมาครับ อยู่บนถนนแล้ว”
เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่หน้าประตูพิพิธภัณฑ์โบราณ มองดูแสงไฟรอบตัวเขาที่ค่อยๆ สว่างขึ้น
หลังจากผ่านไปสักพักก็หลุบตาลง “อืม”
เฉิงจินที่อยู่ด้านหลังดันแว่นตาลงสันจมูก ยื่นศีรษะไปข้างหน้า “คุณชายเจวี้ยน ไปได้แล้วครับ ทางด้านหัวหน้าหน่วยพวกนั้น…”
เฉิงเจวี้ยนเล่นโทรศัพท์โดยไม่พูดอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กุมโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเงียบงัน “ไปตระกูลฉินก่อน”
รถของเฉิงเจวี้ยนมาจอดอยู่ที่ข้างตึกสำนักงานใหญ่ตระกูลฉินเกือบหนึ่งทุ่ม
“คุณชายเจวี้ยน?” เมื่อเฉิงมู่ที่นั่งฝั่งคนขับของรถอีกคันเห็นรถที่จอดอยู่ข้างๆ ก็เปิดประตูรถด้วยความประหลาดใจ
เฉิงเจวี้ยนลงจากเบาะหลังและมองไปที่ตึกบริษัทตระกูลฉิน ขนตายาวหลุบลง เขายืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว ร่างเหยียดตรง แต่กลับไม่เห็นความเอื่อยเฉื่อยเหมือนแต่ก่อน ดูเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด
เขายืนมองอยู่กับที่อยู่นาน จากนั้นก็เลื่อนสายตามองมาทางเฉิงจินด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เอากุญแจมาให้ฉัน ฉันจะไปสนามบินเอง”
เฉิงจินส่งกุญแจตัวเองให้เฉิงเจวี้ยนทันที
เฉิงเจวี้ยนขับรถไปทางสนามบิน
“เกิดอะไรขึ้น?” จนกระทั่งลมหายใจที่ครั่นคร้ามหายไป เฉิงมู่ถึงจะกล้าเอ่ยถาม
เฉิงจินลูบจมูก เอียงตัว “หลังจากที่ตระกูลสวีติดต่อเส้นสายสำคัญในรัฐMแล้ว ตระกูลใหญ่ๆ ต่างก็เคลื่อนไหวกันอย่างกระสับกระส่าย ตระกูลเฉิงเปิดการประชุมกันมาหลายครั้งเพราะเรื่องนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนหัวหน้าหน่วยที่สองกับหัวหน้าหน่วยหลักไปรัฐMและไม่ได้ข่าวคราวพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่ยังไปพบโอวหยางเวยเพื่อให้129สืบข้อมูลของสองคนนั้นด้วย…”
ถ้าหาก129ลงมือได้จริง โดยเฉพาะสมาชิกระดับสูงเหล่านั้น คงต้องได้ข่าวอย่างแน่นอน
สมาชิกระดับกลางอย่างโอวหยางเวยไม่ได้เป็นสมาชิกที่รับภารกิจโดยเฉพาะ คงยากแล้ว
เฉิงเจวี้ยนไปรัฐMครั้งนี้ อย่างน้อยก็ต้องไปถึงสิบวัน
“อย่าบอกเรื่องตระกูลเฉิงกับคุณหนูฉินนะ” เฉิงจินกำชับเฉิงมู่ “คุณชายเจวี้ยนบอกว่าช่วงนี้เธอยุ่งมาก ดูเหมือนว่าเดือนหน้ายังต้องเข้าร่วมการแข่งขันอะไรนั่นอีก…”
เฉิงมู่พยักหน้า “ไม่ต้องห่วง”
**
ทางด้านนี้
สำนักงานใหญ่ตระกูลฉิน
ฉินหร่านเข้าประตูไปแล้ว ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว แต่ไฟในสำนักงานใหญ่ยังคงสว่างไสว มีคนกำลังทำงานอยู่
เธอถือบัตรเข้าไปในลิฟต์ พ่อบ้านฉินฝากบัตรนี้ให้เฉิงมู่นำมาให้เธอ จากนั้นกดไปที่ชั้น12
ห้องประชุมใหญ่ชั้น12
โต๊ะตรงกลางมีคุณชายสี่ตระกูลฉิน ผู้ถือหุ้น พ่อบ้านฉิน และฉินซิวเฉินที่กำลังนั่งอยู่ในสภาพเรียบร้อย
คนส่วนใหญ่ล้วนมีเลขาตามอยู่ข้างกาย
“พ่อบ้านฉิน คุณหนูใหญ่ทำไมไม่มาสักที คุณบอกเวลาเธอชัดเจนหรือยัง?” อาเหวินที่นั่งระหว่างพ่อบ้านฉินกับฉินซิวเฉินกระซิบถามพ่อบ้านฉินเป็นการส่วนตัว
พ่อบ้านฉินเป็นคนรับผิดชอบเรื่องฉินหร่าน
ฉินซิวเฉินจึงไม่ได้เข้าไปยุ่งมาก หนึ่งคือเขาไม่ค่อยรู้เรื่องขั้นตอนการคัดเลือกพวกนี้ สองคือ…ละอายแก่ใจ
หลังจากฉินหลิงฟื้น เขาก็ควรจะไปถ่ายหนังที่รัฐMได้แล้ว แต่ยังไม่ไป รอจนกว่าฉินหร่านจะเข้าร่วมการคัดเลือกจนเสร็จ
พ่อบ้านฉินก้มหน้าดูเวลาในโทรศัพท์ ตอนนี้เป็นเวลา 18.58 น. เขารู้สึกร้อนใจเล็กน้อยในขณะนี้ “ฉันแจ้งเวลากับคุณหนูใหญ่ไว้ดีแล้วและยังบอกคุณเฉิงมู่ไปตั้งหลายรอบ คุณเฉิงมู่คงไม่ลืมหรอก…”
“คงไม่หรอก” ฉินซิวเฉินผู้ซึ่งใช้เวลาร่วมกับฉินหร่านมามากที่สุดส่ายหน้า “หร่านหร่านตรงต่อเวลามาตลอด รออีกสองนาทีเถอะ”
ทั้งสามต่างก็ร้อนอกร้อนใจ
กลุ่มผู้ถือหุ้นที่นั่งบนโต๊ะประชุมก็เริ่มทนไม่ไหวเช่นกัน “คุณชายหก คุณชายน้อยเขายังไม่มาเหรอครับ?”
คุณชายสี่ตระกูลฉินมองกลุ่มคนที่ทนไม่ไหว
จากนั้นประตูก็ถูกผลักมาจากข้างนอก ลูกน้องคุณชายสี่ตระกูลฉินเดินเข้ามา พูดอะไรบางอย่างข้างๆ หูคุณชายสี่ตระกูลฉิน
พอพูดจบ คุณชายสี่ตระกูลฉินก็หัวเราะ
เขาวางเอกสารลงแล้วลุกขึ้น มือทั้งสองค้ำโต๊ะและมองไปทางกลุ่มของฉินซิวเฉินคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “พ่อบ้านฉิน เท่าที่ฉันรู้มา ตอนนี้คุณชายน้อยยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ พวกคุณแน่ใจหรือว่าจะมีคนมา?”
คุณชายสี่ตระกูลฉินลากเก้าอี้มองไปที่กลุ่มผู้ถือหุ้น โน้มตัวลงแล้วยิ้มมุมปาก “เกรงว่าวันนี้คงทำให้ทุกท่านเสียเวลามาเปล่าๆ ในเมื่อไม่มีคนมา พรุ่งนี้ผมจะชดเชยให้พวกคุณเอง เชิญกลับกันได้ครับ”
ทันทีที่พูดออกมา บรรดาผู้ถือหุ้นก็มองหน้ากัน พวกเขาขมวดคิ้วมองฉินซิวเฉินด้วยความขุ่นเคือง “คุณชายหก ให้พวกเรามารอตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ…”
เวลา 18.59 น.
บรรดาผู้ถือหุ้นยังไม่ทันพูดจบ ประตูใหญ่ห้องประชุมก็มีคนเปิดออก
ทั้งหมดมองไปที่ประตูใหญ่ มีเด็กสาวคนหนึ่งสวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาวเดินเข้ามาข้างในโดยถือเสื้อคลุมอยู่ในมือ เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังกลุ่มคนอย่างเงียบๆ