เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 211
“ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็มาเสียที!”
เมื่อป่าสะท้อนเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ หยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงซึ่งอยู่ใต้ดินที่ถูกรากต้นไม้ปกคลุมอยู่ก็เบิกตากว้างในทันใด
เมื่อเชื่อมจิตกับป่า หยุนเฟยรู้สึกว่าเจียงอี้ยังมีชีวิตอยู่และยังรู้สึกได้ว่าคนเหล่านั้นได้หลงอยู่ในห้วงมายาแล้ว ชัยชนะก็เริ่มเอียงไปข้างของพวกเขา
“เปิด!”
หยุนเฟยปล่อยเวทย์อาคมของนางทันทีเพื่อแยกรากต้นไม้ที่อยู่เหนือศีรษะโดยไม่ลังเล จ้านอู๋ซวงผู้เป็นสายเลือดของตระกูลเทพสงครามไม่กลัวการโจมตีทางวิญญาณ แต่หยุนเฟยนั้นไม่ใช่ หากนางไม่สามารถไปหาเจียงอี้ได้เร็วพอ นางก็จะกลายเป็นคนบ้าในที่สุด
“ฟึ่บ!”
เมื่อรากต้นไม้เปิดทาง เสียงกรุ๊งกริ๊งก็ดังขึ้น และความสับสนในดวงตาของหยุนเฟยนั้นรุนแรงขึ้น จ้านอู๋ซวงตื่นตระหนกขณะที่อุ้มเฟยและพุ่งเข้าไปหาเจียงอี้
“เจียงอี้!”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้พร้อมที่จะรีบบุกไปทางสุ่ยเชียนโหรว จ้านอู๋ซวงก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนรน นัยน์ตาสีแดงเลือดของเจียงอี้หันกลับมาพร้อมร่างกายที่สั่นเทา จากนั้นดวงตาสีแดงฉานของเขาก็หายไปในขณะที่เขารีบไปหาจ้านอู๋ซวง
“เพลิงโลกา!”
เขาควบคุมเพลิงโลกาสุดท้ายที่เหลืออยู่ในไข่มุกวิญญาณเพลิงออกมา เมื่อไข่มุกวิญญาณเพลิงใช้พลังงานลึกลับปกป้องเจ้าของ เขาก็ส่งก้อนพลังงานลึกลับนั้นลงไปที่ฝ่ามือของเขาทันทีและวางมันไว้บนศีรษะของหยุนเฟยเพื่อปล่อยให้พลังงานลึกลับเข้าสู่ดวงวิญญาณของนาง
“บุฟ“
ดวงวิญญาณของหยุนเฟยมีแสงสีทองในทันใด นางลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วซึ่งยังคงหลงเหลือความกลัวในดวงตาของนาง
“ฆ่า!”
เจียงอี้และจ้านอู๋ซวงมองตากันและพุ่งแยกกันออกไปคนละทาง เจียงอี้พุ่งตัวเหมือนลูกศรออกไปยังสุ่ยเชียนโหรวในขณะที่จ้านอู๋ซวงมุ่งหน้าไปยังผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวคนอื่นที่ยืนนิ่งอยู่
ดูเหมือนว่าทุกคนในป่าถูกสะกดด้วยมนตรา แต่ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ให้ได้ก่อน
หนึ่งร้อยเมตรข้างหน้าของเจียงอี้เห็นสาวงามที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวซึ่งล้อมรอบไปด้วยคนห้าสิบคนที่ดวงตาว่างเปล่า สุ่ยเชียนโหรวยังตกอยู่ในภวังค์เช่นกันและถูกทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้
“ฟึ่บ!”
เจียงอี้พุ่งเข้าหานางเหมือนจิ้งจอกวิญญาณและจ้องมองสุ่ยเชียนโหรวในขณะที่ไม่สนใจสตรีคนอื่นๆจากหอดาราสุ่ยเยว่ ดาบเกล็ดทมิฬเปรียบเสมือนมังกรที่พุ่งตรงไปข้างหน้าซึ่งทำให้ร่างของหญิงสาวห้าคนในนั้นระเบิดโลหิตออกมาอย่างฉับพลัน
“ตาย!”
ธิดาของนักสู้อันดับหนึ่งไม่ได้มีความหมายอะไรในสายตาของเจียงอี้ เขาเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน หากมีคนต้องการฆ่าเขา คนผู้นั้นจะต้องตระหนักถึงความตายแม้ว่าพวกเขาจะมีเทพเจ้าหนุนหลังก็ตาม และตอนนี้คือโอกาสที่จะได้ฆ่าสุ่ยเชียนโหรว เขาไม่มีความเมตตาใดๆผุดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อดาบเกล็ดทมิฬทะลวงผ่านอากาศ มันก็พุ่งตรงไปที่ใบหน้าของสุ่ยเชียนโหรว และนางกำลังจะถูกฆ่าด้วยดาบเล่มนี้ ความงามอันดับหนึ่งของทวีปนี้ยังไม่ทันได้พัฒนาเต็มที่และกำลังจะแตกสลายเหมือนหยกที่ยังไม่ถูกเจียระไน
“บุฟ“
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็สดใส เหมือนกับท้องฟ้าที่มืดสนิทถูกสายฟ้าผ่าทำลายลงมาในพื้นที่นั้นซึ่งทำให้ทุกคนในที่ราบหินผลึกพากันตกตะลึง หลังจากนั้นก็มีกลิ่นอายที่น่ากลัวปกคลุมทุกคนในที่ราบหินผลึก จอมยุทธหลายคนที่อยู่ระหว่างการต่อสู้อย่างดุเดือดกับศัตรูก็หยุดและมองไปยังท้องฟ้าที่น่ากลัวนั่น
“หืม?”
ร่างกายของเจียงอี้และจ้านอู๋ซวงก็แข็งทื่อเช่นกัน โดยเฉพาะเจียงอี้ที่สามารถรับรู้ถึงวิกฤติถึงตาย ราวกับสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามกำลังจ้องมองเขา เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายอย่างสยดสยองหากเขากล้าที่จะขยับร่างกายของเขาแม้เพียงนิดเดียว!
“ฮู่! ไหมปีศาจนภา!”
จิตใจของเขาหมุนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความกดดันที่น่ากลัวนี้จะทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถเคลื่อนที่ได้แต่เขาก็ยังสามารถปลดปล่อยไหมปีศาจนภาได้!
ด้วยความคิดในใจของเขา ดาบเกล็ดทมิฬก็หายไปจากมือและถูกแทนที่ด้วยผ้าไหมสีเงินซึ่งพุ่งออกมาห่อเอวสุ่ยเชียนโหรวไว้ เจียงอี้ดึงมันด้วยมือข้างหนึ่งอย่างฉับพลันเพื่อดึงร่างกายที่บอบบางของสุ่ยเชียนโหรวมาและคว้าคอของนางด้วยมือเดียว ไข่มุกวิญญาณเพลิงเปล่งประกายในมือของเขาและพร้อมที่จะปล่อยหินวิญญาณเพลิงทุกเวลา
“บุฟ“
ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆและท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มนั้นกลับกลายเป็นฟ้าสว่างเหมือนวันหิมะตกในขณะที่ร่างขนาดมหึมาเคลื่อนตัวอยู่กลางอากาศ มันคือหญิงงามที่สวมเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะและมีตัวตนที่เปรียบเสมือนผู้เป็นอมตะ ตอนนี้นางหยุดอยู่กลางอากาศทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่านางเป็นเทพธิดาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
สิ่งที่ประหลาดคือ … ท้องฟ้าเหนือเจียงอี้และคนอื่นๆถูกบดบังโดยป่าอาถรรพ์ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนสามารถเห็นร่างของผู้หญิงบนท้องฟ้าผู้นั้นได้อย่างชัดเจน ภาพนี้ไม่ได้ดูเหมือนว่ามันเกิดขึ้นอยู่กลางอากาศ มันปรากฏขึ้นในใจของทุกคนแทน เจียงอี้เห็นได้ชัดเจนว่าดวงตาของหญิงนางนั้นเพ่งเล็งมาที่เขาจากระยะไกล
“ฮะ…”
ในขณะนี้ เหล่าหญิงจากหอดาราสุ่ยเยว่ที่ตกอยู่ในภาพลวงตาก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในทันใด มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่ออกจากภาพลวงตาได้ ส่วนจอมยุทธของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนคนอื่นๆยังคงอยู่ในภาพลวงตาและยืนอยู่ที่เดิม
“ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!”
การแสดงออกของพวกนางทั้งหมดเปลี่ยนไปเมื่อพวกนางเห็นเจียงอี้อยู่ข้างๆและได้จับกุมสุ่ยเชียนโหรวไว้ พวกนางไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาทและคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “คารวะนายหญิง พวกเราทุกคนสมควรตายเจ้าค่ะ“
สุ่ยโย่วหลาน!
ชื่อของนางปรากฏขึ้นในใจเจียงอี้ จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟย พวกเขาไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก็รู้สึกถึงการปรากฏตัวของหญิงผู้นั้นที่อยู่กลางอากาศ แต่เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง ในใจของพวกเขาต่างพากันรู้สึกตกใจ
นักสู้อันดับหนึ่งของพิภพช่างน่าเกรงขามนัก!
สิ่งแรกที่พวกเขาสามคนคิดคือข่าวลือที่ว่าสุ่ยโย่วหลานกำลังบำเพ็ญอยู่ในเกาะดาวตกเป็นเวลาสิบปีและระยะทางระหว่างสถานที่นั้นกับที่ราบหินผลึกนี้นั้น อย่างน้อยก็ห่างกันห้าล้านกิโลเมตรได้ นอกจากนี้ ที่ราบหินผลึกก็มีอาคมยับยั้งที่ทรงพลังและนางยังสามารถสลายอาคมที่นี่ได้อย่างง่ายดาย? นางจะต้องทรงพลังขนาดไหนในการปลดปล่อยแรงกดดันที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ออกมา?
นางเป็นเทพเจ้าหรือ?
เจียงอี้คิดสิ่งนี้ในใจและไม่มีคำอธิบายใดๆกับพลังมหาศาลเช่นนี้
ในขณะที่เขายังคงตกใจ ดวงตาของสุ่ยโย่วหลานก็จ้องมองไปที่สุ่ยเชียนโหรวซึ่งปลุกสุ่ยเชียนโหรวให้หลุดออกจากภวังค์ในทันที
สุ่ยเชียนโหรวลืมตาของนางและรู้สึกว่ามีมือคว้าคอของนางไว้ เมื่อนางเห็นไข่มุกวิญญาณเพลิงซึ่งเปล่งแสงสีแดง ใบหน้าของนางก็ซีดลงทันที นางรับรู้ถึงบางสิ่งอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมองไปบนท้องฟ้า
ดูเหมือนว่านางจะทะลุป่าทึบเพื่อมองสุ่ยโย่วหลานและตะโกนออกมาด้วยความเสียใจ “ท่านแม่ ช่วยข้าเร็ว ช่วยข้าฆ่าเขาด้วย! เชียนโหรวเกือบถูกเขาฆ่าตายหลายครั้งเลยเจ้าค่ะ“
“เด็กคนนี้ คราวหน้าเจ้ายังกล้าที่จะแอบออกไปอีกหรือไม่? เจ้ารู้หรือยังว่าในโลกนี้ยังมีผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเจ้าอยู่เสมอ?”
หลังจากเสียงที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์สะท้อนออกมา สุ่ยโย่วหลานมองสุ่ยเชียนโหรวด้วยความอบอุ่นก่อนที่จะจ้องมองเจียงอี้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “หนุ่มน้อย ปล่อยลูกสาวของข้าไปเถอะ แล้วข้าจะไม่เอาความในเรื่องนี้“
จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยมองเจียงอี้ในเวลาเดียวกันด้วยดวงตาที่เศร้าสร้อย เมื่อสุ่ยโย่วหลานปรากฏตัว เขาจะไม่สามารถฆ่าสุ่ยเชียนโหรวได้ในตอนนี้ หญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเย่วเผยความโล่งใจบนใบหน้าของพวกนาง สุ่ยโย่วหลานเคยกล่าวไว้ว่า จะมีใครบนโลกนี้กล้าทำร้ายสุ่ยเชียนโหรว?
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ !”
ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงอี้จะหัวเราะออกมาในขณะที่เผชิญหน้ากับนางบนท้องฟ้า เสียงหัวเราะของเขามีความรู้สึกที่ไร้การควบคุมราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกที่สนุกที่สุดในโลก
ปากของเขาแสยะยิ้มออกมา เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่าเขากำลังสบตากับสุ่ยโย่วหลาน หลังจากที่เขาหัวเราะเสร็จแล้วเขาก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ปล่อยนางหรือ? เพราะอะไร? เพราะเจ้าคือนักสู้อันดับหนึ่งของโลก? บางทีโลกนี้อาจจารึกชื่อเจ้าไว้ แต่ … สำหรับข้าแล้ว มันไม่ได้มีค่าอะไรเลย!”