เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 212
“อึก! อึก!”
เมื่อฟังคำกล่าวที่ราวกับเย้ยฟ้าท้าดินของเจียงอี้ จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยต่างก็ลอบกลืนน้ำลายด้วยความกระอักกระอ่วน
ในความเป็นจริงแล้ว ร่างของทั้งสองคนกำลังสั่นสะท้านเพราะความกลัวจากสัญชาตญาณ สุ่ยโย่วหลานคือใคร? นางคือนักสู้อันดับหนึ่งของทวีป!
แม้แต่จักรวรรดิมังกรเวหาและเหล่าอาณาจักรบริวารทั้งหกก็ยังต้องแสดงความเคารพหญิงสาวผู้นี้ โดยไม่ต้องกล่าวถึงตัวเจียงอี้ เพราะแม้แต่บิดาของเขา เจียงเปี๋ยหลี ก็ยังไม่แน่ว่าจะกล้าพูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
ที่จริงแล้ว สุ่ยเชียนโหรวหาได้มีความแข็งแกร่งมากมายนัก ทักษะวิชาเองก็อยู่ในระดับทั่วไป อันที่จริงนางแทบจะไม่ใช้สมองในการต่อสู้
แต่ทำไมนางถึงสามารถมีชัยตลอดเส้นทางที่มุ่งลงมาจากอาณาจักรเป่ยเหลียง? ทำไมนางถึงสามารถทำให้นักสู้มากมายกลายเป็นคนพิการและเหยียบย่ำพวกเขาได้?
ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะว่ามารดาของนางคือ สุ่ยโย่วหลาน!
เพราะหากว่าเป็นคนอื่น เกรงว่าสุ่ยเชียนโหรวคงตายเป็นหมื่นครั้งแล้ว!
สุ่ยโย่วหลานคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถทำลายจีวรของนักบวชเฒ่าแห่งอารามเซนซึ่งมีชีวิตอยู่มานานกว่าหลายศตวรรษ!
“สามหาว!”
“ไอ้สารเลว!”
“เจ้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?!
เหล่าสตรีแห่งหอดาราสุ่ยเยว่ต่างก็เดือดดาลต่อคำพูดของเจียงอี้ ไม่เพียงแค่เขาจะดูหมิ่นสุ่ยโย่วหลานเท่านั้น แต่เขายังดูถูกหอดาราสุ่ยเยว่อีกด้วย
หากว่าสุ่ยเชียนโหรวไม่ได้อยู่ในกำมือของเขา เกรงว่าป่านนี้พวกนางคงจะเข้าห้ำหั่นกับเขาไปแล้ว
“หึหึ!”
ภาพฉายของสุ่ยเชียนโหรวที่อยู่บนท้องฟ้ายังคงไร้ซึ่งโทสะ กลับกัน นางยิ้มออกมาและกล่าวอย่างใจเย็น
“หนุ่มน้อย เจ้าช่างกล้าหาญทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเจ้าเถรตรงเกินไปซึ่งอาจจะทำให้เจ้าถึงจุดจบก่อนเวลาอันควร”
“ข้าคิดว่าสุภาษิตโบราณอย่าง ‘แข็งแกร่งแต่เปราะบาง’ ยังคงใช้กับเจ้าได้ เอาเถิด คำมั่นสัญญาที่ข้าให้ไปก่อนหน้านี้ยังคงมีผล ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเจ้าแล้ว”
เสียงของสุ่ยโย่วหลานดังก้องไปทั่วทั้งป่า แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครในที่ราบหินผลึกได้ยินเสียงของนาง พวกเขาทำได้เพียงแค่เห็นภาพฉายของนางเท่านั้น
ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกทำให้สับสน หากว่าภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานปรากฏขึ้นที่นี่ มันก็หมายความว่าสุ่ยเชียนโหรวกำลังอยู่ในอันตราย
หยุนเฮ่อมีกองทัพนักสู้อยู่นับพัน นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดี แค่คำถามคือ ผู้ใดกันที่สามารถแตะต้องสุ่ยเชียนโหรวซึ่งถูกปกป้องด้วยกองทัพเหล่านั้นได้?
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะขึ้นอีกครั้ง ภายในป่าอาถรรพ์ คำกล่าวของสุ่ยโย่วหลานอาจจะดูสงบนิ่ง แต่ในมุมมองของเขา มันกลับน่ากลัวจนขนหัวลุก
แข็งแกร่งแต่เปราะบาง? ไม่ใช่ว่านางกำลังข่มขู่หรือ? มันหมายถึงเขาจะตายก่อนวัยอันควรใช่หรือไม่?
ไข่มุกวิญญาณเพลิงที่อยู่ในมือของเจียงอี้ยังคงส่องแสง หากสุ่ยโย่วหลานคิดที่จะลงมือ เขาก็มั่นใจว่าสามารถปลดปล่อยหินวิญญาณเพลิงออกมาก่อนที่ตัวเขาจะตายได้
สุ่ยโย่วหลานเป็นนักสู้ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แต่ที่มาปรากฏตัวอยู่ตอนนี้เป็นเพียงแค่ภาพฉายของนางเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงยังเชื่อว่าตัวเองยังคงสามารถสังหารสุ่ยเชียนโหรวได้ตลอดเวลา
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเปิดปากเอ่ยอีกครั้ง “นายหญิงสุ่ย ข้าไม่รู้ว่าข้าจะตายก่อนวัยอันควรหรือไม่ ข้ารู้แต่เพียงว่าหากข้าตาย แม่นางสุ่ยธิดาของท่านก็จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้า… หากไม่เชื่อก็จงลงมือเถิด”
“หืม?”
ในที่สุดความดื้อรั้นของเจียงอี้ก็ทำให้สุ่ยโย่วหลานมีโทสะได้สำเร็จ ขณะนี้ดวงตาของนางเผยให้เห็นความเย็นชาพร้อมกับแรงกดดันอันน่าตกตะลึงที่ปะทุออกมา
ทุกสรรพชีวิตที่อยู่ในบริเวณห้าสิบกิโลเมตรของป่าอาถรรพ์ต่างก็กำลังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจียงอี้ จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆที่อยู่ในป่า
พวกเขารู้สึกราวกับว่ากระดูกภายในร่างกายสามารถแตกหักได้ทุกเมื่อและแทบจะไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป
แม้แต่ร่างอันบอบบางของสุ่ยเชียนโหรวก็ยังได้รับผลกระทบ สีหน้าของนางซีดขาวราวกับคนตาย เจียงอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็แทบจะทนไม่ไหวและเกือบจะกระอักเลือดออกมา
เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันมากที่สุด หัวเข่าของเขาแทบจะทนแรงกดดันไม่ไหวจนเกือบคุกเข่าลงกับพื้น แต่เพราะความดื้อรั้น เขาก็ยังคงดิ้นรนและตะโกนออกมาด้วยความยากลำบาก
“หนึ่ง!”
“กร็อบ!”
ทันใดนั้น แรงกดดันจากผู้ยิ่งใหญ่ก็ทำให้กระดูกเจียงอี้เกิดการปริแตก อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนัก โลหิตสีแดงฉากไหลออกมาจากมุมปากอย่างช้าๆและหยดลงบนคอเสื้อสีขาวของสุ่ยเชียนโหรว
แต่ถึงจะมีสภาพที่ย่ำแย่ปานใด ดวงตาของเขาก็ยังคงเผยให้เห็นความดุร้ายราวกับหมาป่าที่ไม่ยอมอ่อนข้อแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าราชสีห์ เขาจับจ้องไปยังสุ่ยโย่วหลานที่ยืนอยู่กลางอากาศอย่างไม่วางตาและตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“สอง!”
เมื่อเห็นว่าสุ่ยโย่วหลานยังคงมีสีหน้าเฉยชา มุมปากของเจียงอี้ก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเด็ดเดียว ในเวลาเดียวกัน ไข่มุกวิญญาณเพลิงก็เปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็ตะโกนเป็นครั้งสุดท้าย
“สาม! ตาย—!”
“ก็ได้ หนุ่มน้อย! เจ้าชนะ!”
หลังจากที่กล่าวจบ การแสดงออกของสุ่ยโย่วหลานก็กลับคืนสู่ความสงบ จากนั้นแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็จางหายไป
ร่างของสุ่ยเชียนโหรวสั่นสะท้านอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้ ใบหน้าของนางเผยให้เห็นความเศร้าหมอง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเฉียดใกล้ความตายมากขนาดนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากสุ่ยโย่วหลานไม่ยอมประนีประนอม ด้วยความบ้าคลั่งของเจียงอี้ นางจะต้องตายเป็นแน่แท้!
“หนุ่มน้อย ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะยอมปล่อยเชียนโหรว? ว่าเงื่อนไขของเจ้ามาได้เลย”
สุ่ยโย่วหลานกลับไปใช้น้ำเสียงสงบนิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับการขอความเมตตา
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นี่หรือว่านักสู้อันดับหนึ่งของทวีปกำลังขอร้องเจียงอี้? หากว่าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มันคงจะสร้างความโกลาหลให้กับยุทธภพไม่น้อยเลยทีเดียว!
โลหิตยังคงไหลรินออกมาจากมุมมากของเจียงอี้ แต่ภายในใจของเขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
เขาคาดเดาไว้แล้วว่าสุ่ยโย่วหลานอาจจะไม่สามารถลงมือช่วยเหลือสุ่ยเชียนโหรวได้ในยามนี้และจะต้องประนีประนอมในที่สุด
แต่ถ้าหากเมื่อครู่นางเอ่ยช้าไปแม้เพียงวินาทีเดียว ธิดาเพียงคนเดียวของนางก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยและเรื่องนี้ก็จะไม่ได้รับการแก้ไขอีกต่อไป
เมื่อสุ่ยเชียนโหรวตายไป เจียงอี้ก็จะต้องตายภายใต้ความโกรธแค้นของสุ่ยโย่วหลานอย่างแน่นอน
เขาใช้ชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันและท้ายที่สุดก็ได้รับชัยชนะ!
ในเมื่ออีกฝ่ายยอมประนีประนอม ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้มันเปรียบเสมือนการแข่งขันเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใดเหี้ยมโหดกว่ากัน แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าสุ่ยโย่วหลาน
เจียงอี้กวาดตามองไปรอบๆครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ประการแรก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกเหนือจากสุ่ยเชียนโหรว จะต้องไม่มีคนของหอดาราสุ่ยเยว่ไล่ล่าข้าอีก… หากว่าในอนาคต สุ่ยเชียนโหรวมีความสามารถมากพอและสามารถสังหารข้าได้ เช่นนั้นข้าก็คงทำได้เพียงกล่าวโทษในความอ่อนแอของตัวเอง”
สุ่ยโย่วหลานพยักหน้าและเอ่ยตอบ “นี่นับว่ายุติธรรมดี แต่ถึงเจ้าจะไม่เอ่ย ข้าก็ไม่คิดที่จะส่งใครไประรานเจ้าอยู่แล้ว ตัวข้า สุ่ยโย่วหลาน ไม่ใช่คนใจแคบและไม่ได้ถือหางคนของตัวเอง!”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ความขัดแย้งระหว่างข้ากับสุ่ยเชียนโหรวนั้นไม่ใช่ความผิดของข้า มันเป็นเพราะธิดาของท่านที่มาหาเรื่องข้าก่อนและยังต้องการชีวิตข้า ดังนั้นข้าก็ต้องขอสิ่งชดเชย!”
สุ่ยโย่วหลานหัวเราะเล็กน้อย นางรู้จักนิสัยของลูกสาวตัวเองดีและเชื่อว่าที่เจียงอี้กล่าวนั้นเป็นความจริง นางจึงไม่คิดที่จะโต้แย้งและพยักหน้าตกลง
“เจ้าต้องการอะไร? ตราบใดที่ไม่มากเกินไปพวกเราก็สามารถตกลงกันได้”
ดวงตาของจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยเป็นประกายเมื่อได้ยินคำตอบของสุ่ยโย่วหลาน แน่นอนว่าด้วยฐานะนักสู้อันดับหนึ่ง นางคงครอบครองสมบัติจำนวนมากใช่หรือมไม่?
แม้ว่าเจียงอี้จะเรียกร้องสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์สักสองสามชิ้น แต่มันก็คงไม่น่าจะมีปัญหา?
แต่ประโยคต่อไปที่เจียงอี้กล่าวออกมานั้นได้ดับไฟโลภของพวกเขาลงในทันที
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใด เพียงแค่อยากให้คนกลุ่มนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าในช่วงสงครามราชอาณาจักร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ข้าต้องการให้พวกนางช่วยข้าช่วงชิงอันดับหนึ่ง!”
“ไม่มีปัญหา”
ดวงตาของสุ่ยโย่วหลานเผยให้เห็นความชื่นชม จากนั้นนางก็หันไปมองสตรีทั้งสี่สิบคนที่เหลืออยู่ของหอดาราสุ่ยเยว่และออกคำสั่ง
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องฟังคำสั่งของเขาและช่วยให้เขาได้อันดับหนึ่งมาครอง แต่หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงแล้ว พวกเจ้าต้องนำคุณหนูของพวกเจ้ากลับมาทันที”
หลังจากที่กล่าวจบ ภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานก็เริ่มเลือนราง แต่ก่อนที่นางจะหายไป นางก็ได้ทิ้งถ้อยคำที่มีเพียงเจียงอี้เท่านั้นที่ได้ยิน
“เจ้ามีนามว่าเจียงอี้สินะ? อารมณ์ของเจ้าช่างเหมือนกับแม่นางเพียวเพียวไม่มีผิด หากว่าเจ้ามีเวลาก็สามารถมาเยี่ยมชมที่เกาะดาวตกได้ มารดาของเจ้าทิ้งของบางอย่างเอาไว้ที่หอดาราสุ่ยเยว่ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะสนใจมัน”